เขียนอย่าง ‘อาข่า’ สิบปากว่าหรือจะสู้หนึ่งตัวอักษร

ด้วยกลัวว่าวัฒนธรรมจะเลือนหาย ชาวอาข่าบนดอยช้าง จึงร่วมใจกันสร้าง "ภาษาเขียน" จากภาษาพูดขึ้นมา เพราะสิบปากว่าคงไม่เท่ากับ 1 ลายลักษณ์อักษร
รากเหง้าจำนวนมาก มีอันต้องล้มหายตายจากไปเพียงเพราะไม่มี "ภาษาเขียน" มาคอยเก็บคำและความไว้ให้เป็นหลักฐาน
แต่ชาวอาข่าหัวก้าวหน้าบนยอดเขาบ้านดอยช้าง ต.วาวี จ.เชียงราย ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น พวกเขาลุกขึ้นปกป้องรักษา "โข่วอื๊อ-ฮง้ออื๊อ" หรือวัฒนธรรมและวิถีชีวิตดั้งเดิมของบรรพบุรุษที่นับวันจะลางเลือน ไว้อย่างสุดตัว
1.
เด็กชายชาวเขาเผ่าอาข่าสองคนกำลังนั่งดูดกาแฟเย็นในแก้วพลาสติกอย่างเอร็ดอร่อย แกล้มด้วยขนมขบเคี้ยวบรรจุซอง ที่พ่อแม่ไปซื้อหามาจากร้านของชำในหมู่บ้าน อาข่าตัวน้อยเหล่านี้ไม่ต่างจากเด็กชาวเขารุ่นพี่อีกหลายคนที่ยังพูดภาษาอาข่าซึ่งเป็นชาติกำเนิดของตนเองและคนในชุมชนไม่ได้ เพราะที่โรงเรียนคุณครูสอนให้ฝึกพูดภาษากลางตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดหลักสูตรภาคบังคับเอาไว้
ชุติมา มอเลกู่ หรือ หมี่จู หญิงชาวอาข่าบ้านดอยช้าง ในฐานะนายกสมาคมศูนย์รวมการศึกษาและวัฒนธรรมของชาวไทยภูเขาในประเทศไทย(IMPECT) เป็นอาข่าหัวก้าวหน้าคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันแก้ปัญหาความสูญสลายของวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าของตนเองอยู่ โดยระบุสาเหตุของความล่มสลายทางวัฒนธรรมอาข่าที่ก้าวคืบใกล้เข้ามาทุกขณะนั้นว่า มีมาจากหลายทาง
"จำได้ว่าตอนอายุ15 ปี หมี่จูต้องไปทำบัตรประจำตัวประชาชน เจ้าหน้าที่อำเภอบอกว่าชื่อ "หมี่จู" นั้นเขียนและอ่านออกเสียงยาก ขอให้ตั้งชื่อเป็นภาษาไทย เมื่อนึกอะไรไม่ออกจำได้แต่เพียงว่านางสาวไทยปีนั้นชื่อ ชุติมา นัยนา ตัวเองก็เลยนึกเอาชื่อชุติมามาตั้งเป็นชื่อของตัวเอง ทั้งๆ ที่คำว่า 'หมี่จู' นั้นมีความหมายมาก เพราะชาวอาข่าจะนำเอาชื่อสุดท้ายของพ่อมาตั้งเป็นชื่อแรกของลูก อย่างพ่อของตนชื่ออาหมี่ ตนก็เลยมีชื่อว่าหมี่จู และเด็กชาวอาข่าทุกคนก็ตั้งชื่อเป็นภาษาไทยกันหมด ทำให้การสืบสายตระกูลขาดช่วงไป"
หมี่จูบอกว่าตอนนี้เด็กๆ และเยาวชนอาข่ารุ่นหลังที่เติบโตมาแทบจะพูดภาษาอาข่าเพื่อสื่อสารกับคนในชุมชนไม่ได้ ตรงนี้ถือเป็นวิกฤติที่หนักหน่วงสำหรับชาวอาข่าในปัจจุบันมาก นอกจากนี้ยังพบว่าชาวอาข่าร้อยละ 70-80 ได้หันไปนับถือศาสนาอื่นเช่น คริสต์ ทั้งคริสเตียนและแคธอลิก หรือ พุทธโดยละทิ้งการนับถือผีหรือบรรพบุรุษ ทำให้ไม่มีโอกาสเรียนรู้วัฒนธรรมของตัวเอง ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่กว่าคืออาข่ารุ่นหลังจะไม่สามารถเรียนรู้สืบทอด
ภูมิปัญญาวัฒนธรรมของชนเผ่าอาข่าที่มีอยู่ไว้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้เฒ่าผู้แก่และผู้นำหมู่บ้านจึงวิตกกังวลอย่างมาก ด้วยเกรงว่าวัฒนธรรมอาข่าดั้งเดิมจะสูญหาย
"ที่ผ่านมาชาวอาข่าเราใช้วิธีสืบทอดวัฒนธรรมดั้งเดิม (โข่วอื๊อ-ฮง้ออื๊อ) ทั้งพิธีกรรม ประเพณี ศิลปะ งานและการเกษตร โดยบันทึกผ่านคำบอกเล่าบอกต่อและการจดจำจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งเป็นหลัก"
หมี่จู ชี้ให้เห็นปัญหาว่าอยู่ที่ "ภาษาเขียน" จดบันทึกความเชื่อและสิ่งต่างๆไว้ ซึ่งชนเผ่าอาข่ายังไม่มีเป็นของตัวเอง
"การมี 'ภาษาเขียน' เฉพาะขึ้นมาจึงเป็นเครื่องมือจำเป็นสำหรับการจดจารเรื่องราวและสิ่งที่ต้องสืบทอดกันไป ซึ่งมีอยู่หลายอย่างตั้งแต่พิธีเกิด พิธีแต่งงาน โดยเฉพาะการจัดพิธีศพของชาวอาข่าที่มีความซับซ้อนทั้งพิธีการและบทสวดซึ่งมีแต่คนเฒ่าคนแก่เท่านั้นที่ประกอบพิธีกรรมนี้ได้"
ยังมีความเชื่ออีกหลายอย่างทั้งการนับไล่สายตระกูลของชาวอาข่าทั้งหมดเอาไว้ ความเชื่อที่ว่าสามีห้ามเรียกชื่อจริงของภรรยาตัวเอง จะเรียกได้ครั้งเดียวคือในพิธีศพ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้หมี่จูบอกว่า จำเป็นต้องสืบทอดไว้ ส่วนสิ่งไหนจำเป็นต้องปรับก็คงต้องปรับกันไปตามความเหมาะสม
"เช่น ความเชื่อเดิมที่ว่าห้ามมิให้ผู้หญิงเป็นผู้กระทำการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ ทางผู้เฒ่าผู้แก่และผู้นำชุมชนได้มีการหารือเพื่อเตรียมปรับเปลี่ยนประเพณีบางอย่างเพื่อยืดหยุ่นความยึดถือลงไปเพราะบางครอบครัวทั้งตระกูลเหลือเพียงทายาทที่เป็นหญิงก็ต้องปรับเพื่อให้สามารถไหว้ผีบรรพบุรุษได้"
2.
หมี่จู เล่าว่า จากความวิตกดังกล่าวประกอบกับมีโอกาสได้ทำงานด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมชนเผ่าในระดับนานาชาติ ทำให้ได้แลกเปลี่ยนแนวคิดกับคนใกล้ชิดและตัวแทนชาวอาข่าจากหลายประเทศ และต่อมาเธอได้คบหาและแต่งงานกับสามีคือ เจี้ยนขวา หวัง(Jianhua Wang) หนุ่มอาข่าหัวก้าวหน้าจากจีนยูนนาน ที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านมนุษยวิทยา จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอเนียร์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งทำงานเป็นผู้ประสานงานภูมิภาคเครือข่ายอาข่าลุ่มน้ำโขง(MAPS)
เมื่อทั้งคู่กลับมาลงหลักปักฐานอยู่ที่หมู่บ้านอาข่าที่บ้านดอยช้าง ต.วาวี จ.เชียงราย จึงร่วมกันทำงานต่อสู้ผลักดันการอนุรักษ์วัฒนธรรมอาข่า ภายใต้โครงการ "อนุรักษ์ฟื้นฟูและสืบทอดวัฒนธรรมอาข่าบ้านดอยช้าง ต.วาวี จ.เชียงราย" อันเป็นที่มาให้นายเจี้ยนขวา พร้อมด้วยชาวอาข่าบ้านดอยช้างร่วมขับเคลื่อนและผลักดันสร้างภาษาเขียนของชนเผ่าขึ้น เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการใช้เป็นเครื่องมือจดบันทึกวัฒนธรรมของชาวอาข่าดั้งเดิมเอาไว้ โดยมีการประสานความร่วมมือกับเครือข่ายชาวอาข่าในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงนานาประเทศ
"ทั่วโลกขณะนี้มีชาวอาข่าอาศัยอยู่ทั่วโลกรวม 5 ประเทศ คือไทย พม่า ลาว จีนและเวียดนาม แต่เวียตนามไม่ได้เข้ามาร่วมเป็นเครือข่ายโครงการฯด้วย เบื้องต้นอาข่า 4 ประเทศได้มีการประชุมตกลงกันว่าจะใช้อักษร "โรมัน" มาเป็นภาษาเขียนร่วมของชาวอาข่า เพราะที่ผ่านมาอาข่ามีเพียงภาษาพูด ที่จริงมีความพยายามกันมาเป็น 10 ปีแล้ว แต่เพิ่งจะตกลงกันได้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2552 ที่ผ่านมา โดยตัวแทนหัวหน้าชนเผ่าไปประชุมตกลงกันที่ประเทศจีน เห็นตรงกันเพื่อมุ่งหวังให้ลูกหลานได้เรียนรู้สืบทอดภูมิปัญญาของบรรพบุรุษเอาไว้"
โครงการ "อนุรักษ์ฟื้นฟูและสืบทอดวัฒนธรรมอาข่าบ้านดอยช้าง ต.วาวี จ.เชียงราย" ได้รับการสนับสนุนทุนส่วนหนึ่งจากกองทุนเอกอัครราชทูตเพื่อการอนุรักษ์ทางวัฒนธรรม สถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย
ซูซาน สตีเวนสัน กงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา ประจำจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวระหว่างเดินทางมาในฐานะผู้แทนนายเอริค จี. จอห์น เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย เพื่อมอบทุนให้กับชุมชนชาวอาข่าบ้านดอยช้าง ว่า เหตุผลสำคัญของการเป็นลมใต้ปีกคราวนี้ เพราะปัจจุบัน วัฒนธรรมอาข่า กำลังเข้าสู่ภาวะใกล้สูญพันธุ์
"ที่ผ่านมามีโครงการในไทยที่ได้รับทุนส่วนใหญ่จะเป็นการอนุรักษ์จิตรกรรมภาพเขียน สถาปัตยกรรมสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่และเรื่องราวของผู้คน แต่ครั้งนี้เป็นการให้ทุนเพื่อการสืบทอดอนุรักษ์วัฒนธรรม ที่เป็นมรดกตกทอดทั้งประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ รวมทั้งภาษาเขียน ซึ่งรัฐบาลสหรัฐเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก จึงตัดสินใจที่จะให้ทุนสูงสุดในภูมิภาคเอเชียสำหรับปีนี้"
เจี้ยนขวา หวัง ผู้ประสานงานภูมิภาคเครือข่ายอาข่าลุ่มน้ำโขง(MAPS) กล่าวว่า ภาษาเขียนจะเป็นสิ่งสำคัญในการสืบทอดเรื่องราวพิธีกรรมวัฒนธรรมชนเผ่าอาข่าผ่านการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรลงในหนังสือ
"หลังได้รับทุนสนับสนุน เราจะจดบันทึกเรื่องราวไว้ในรูปของหนังสือ นิทาน การ์ตูน คำคมให้เหมาะสมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่จะได้เรียนรู้ถึงภูมิปัญญาที่เราจะถ่ายทอดเก็บบันทึกผ่านสื่อต่างๆ ไว้อย่างน่าสนใจ"
แต่เนื่องจากเรื่องราวพิธีกรรมต่างๆ ของชนเผ่าอาข่ามีอยู่เป็นจำนวนมากและหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ทำให้การเก็บบันทึกรายละเอียดต่างๆเหล่านี้ต้องใช้เวลานานพอสมควร เจี้ยนขวา วางเอาไว้ว่าจะค่อยๆ ทยอยทำให้สมบูรณ์ที่สุดภายในระยะเวลา 2 ปี
ในวันรับมอบทุนมีตัวแทนอาข่าจาก 4 ประเทศเพื่อนบ้าน คือ พม่า ลาว จีนและเวียดนาม มาร่วมสังเกตการณ์ แลกเปลี่ยน พร้อมกล่าวคำทักทาย "อูดูทาม๊ะ" แปลว่า "สวัสดี" กันทั่วหน้า และยังมีพี่น้องจากทุกชนเผ่าในประเทศไทย ทั้งมูเซอ(ลาหู่) ปกาเกอะญอ เมี่ยน(เย้า) ลีซอ ไทยใหญ่ ฯลฯ ในประเทศไทยหลั่งไหลเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับอาข่าไทยกันอย่างคับคั่ง เพราะอาข่าไทยวันนี้ถือเป็นต้นแบบของการริเริ่มที่จะมีภาษาเขียนเฉพาะของชนเผ่าสำหรับใช้ในการสืบทอดอนุรักษ์วัฒนธรรมขึ้นมาเป็นครั้งแรก
นาย เมนยู (Min Kyu) ตัวแทนอาข่าจากพม่า เผยรู้สึกและเหตุผลที่เดินทางมาว่า ต้องการมาแสดงความยินดีกับอาข่าของไทย อีกอย่างโครงการนี้เป็นความร่วมมือและการทำงานทุกขั้นตอนร่วมกันของพี่น้องชาวอาข่าทุกประเทศคือพม่า ไทย จีนยูนานและลาว
"ที่ผ่านมาเราร่วมมือกันเดินหน้าจัดอบรมเยาวชนทั้ง 4 ประเทศให้ตระหนักรู้ถึงคุณค่าของการรักษาวัฒนธรรมอาข่าไว้ ซึ่งในพม่าเองขณะนี้มีชนเผ่าอาข่าอาศัยอยู่ในแถบเชียงตุงและเขตต่างๆ รวมกว่า 2 แสนคน"
อีกคน สมพัด สอจำปา ตัวแทนอาข่าจากบ้านพี่เมืองน้องประเทศลาว อายุ 28 ปี ปัจจุบันเป็นนักศึกษาแพทย์ปี 5 ที่เวียงจันทน์ เดินทางมาร่วมยินดีเช่นกัน เขาบอกเล่าแลกเปลี่ยนว่า ปัจจุบันที่ลาวมีอาข่าประมาณ 1 แสนคน อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของลาวคือที่ปางสะหรี แขวงอุดมชัย หลวงน้ำทา บ่อแก้ว
"ในแง่ของวัฒนธรรมแล้วอาข่าไทยกับลาวนั้นไม่แตกต่างกัน จะต่างในแง่ของการนับถือศาสนาที่อาข่าไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสเตียน แคธอลิคและศาสนาพุทธ แต่อาข่าลาวนั้นยังคงนับถือบรรพบุรุษหรือผีกันอยู่ ส่วนการริเริ่มจนเกิดการสร้างภาษาเขียนอาข่าขึ้นตามโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูและสืบทอดวัฒนธรรมอาข่าบ้านดอยช้าง ต.วาวี จ.เชียงรายน่าจะเป็นเรื่องดีกับอาข่าที่อยู่ทั่วโลก เพราะการเรียนรู้ต่างๆ ที่ผ่านความทรงจำย่อมตกหล่นและสูญหาย แต่เมื่อมีการบันทึกด้วยตัวอักษรก็จะเท่ากับเป็นการรักษาสิ่งที่บรรพบุรุษมีมาช้านานไว้ได้อย่างสมบูรณ์"
ตลอดทั้งวันที่รับมอบทุน คนอาข่าบนดอยวาวีแสดงออกถึงความสุขผ่านใบหน้าเปื้อนยิ้มของพวกเขา แววตาอิ่มเอมทุกครั้งที่ผู้นำหมู่บ้านประกาศผ่านไมโครโฟนให้ออกมาโชว์ชุดการแสดงอาข่าที่จัดเตรียมไว้ ทั้งเต้นระบำกระทุ้งไม้ไผ่ เดินไม้ไผ่โกงเกง เป่าใบไม้ สลับช่วงกันไปมาอย่างร่าเริง ปิดท้ายด้วยการโล้ชิงช้าที่ผาดโผนโยนตัวสูงเสียดฟ้าอย่างสุดกำลังของหนุ่มชาวดอย
คนที่ดูจะมีความสุขมากที่สุดในวันนั้นก็คือคู่เต้น "ฉ๊อหม่อ-ฉ๊อคา" หรือผู้เฒ่าผู้แก่ชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งมีอายุรวมกันเฉียด 200 ปี สีหน้าของคนทั้งคู่บ่งบอกถึงความปิติสุขอย่างยิ่ง เพราะมั่นใจแล้วว่างาในวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ลูกหลานอาข่าพร้อมใจกันออกมาขานรับให้สัญญากับคนรุ่นเขาว่าจะรักษาวัฒนธรรมและดำรงวิถีเผ่าพันธุ์อาข่าที่สืบทอดกันมาอย่างเคร่งครัดมิให้ดับสูญ…
โดย : ขวัญดาว จิตรพนา
Life Style
วันที่ 15 กันยายน 2553
By : bangkokbiznews.com