Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ฮารูกิ มุราคามิ… และปรากฏการณ์ “1Q84”

 

 
เมื่อปี 1974 ขณะที่สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดต้องผิวกายอย่างแผ่วเบา "ฮารูกิ มูราคามิ" ที่กำลังนั่งดูเบสบอลอยู่ ก็เกิดความรู้สึกอยากจะเขียนหนังสือขึ้นมาอย่างทันทีทันใด และนั่นก็เป็นจุดกำเนิดของนวนิยายเล่มแรก Hear the Wind sing ซึ่งต่อได้รับรางวัลหนังสือดีเด่นจากนักเขียนหน้าใหม่ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของไตรภาค Trilogy of the Rat ที่ทำให้ชื่อของฮารูกิ มูราคามิ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในเวลาอันรวดเร็ว
 
 
มูราคามิเกิดที่เมืองเกียวโต แต่เติบโตที่เมืองโกเบ พ่อและแม่ของเขาสอนวิชาวรรณกรรมญี่ปุ่น ทว่า มูราคามิถูกหล่อหลอมให้โตมาท่ามกลางวัฒนธรรมตะวันตกตั้งแต่วัยเยาว์ โดยเฉพาะผ่านงานศิลปะอย่างวรรณกรรมและดนตรี เขาอ่านงานของนักเขียนตะวันตกมากมาย อาทิ ริชาร์ด โบรติกัน, เคิร์ท วอนกุต
 
หนังสือเล่มโปรดตลอดกาลของเขาคือ The Great Gasby จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลงานของเขาจะมีกลิ่นอายที่แตกต่างจากนักเขียนญี่ปุ่นชาวอื่นๆ เพราะความเป็น "สากล" ที่ "ร่วมสมัย" นี่เอง
 
 
มูราคามิยืนยันตลอดมาว่าเขาเป็น "นักเขียนญี่ปุ่น" แม้ว่าความนิยมในบ้านเกิดต่อผลงานของเขาจะมีสองกระแสที่ขัดแย้งกันมาโดยตลอดทั้งชื่นชอบและชิงชัง ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกวิพากษ์จากนักเขียนที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งว่างานของมูราคามิเป็นงานขยะ ไร้คุณภาพ และมีคุณค่ามากที่สุดเพียงข้าวโพดคั่วทางตัวอักษร
 
 
"ผมเป็นนักเขียนญี่ปุ่น เกิดที่ญี่ปุ่นและใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ญี่ปุ่น ผมคิดและเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มองโลกแบบสากล มองอย่างที่มนุษย์ไมว่าจะเป็นเชื้อชาติ ภาษา หรือศาสนาใดก็มองและรู้สึกร่วมกับมัน ใครหลายคนอาจจะคิดว่าผมได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมากเกินไป แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผม และผมเชื่อว่าเพลงแจ๊ซ เพลงคลาสสิค หรือสปาเกตตีก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องประหลาดอะไรสำหรับทุกคน"
 
 
หลังจากเรียนจบวิชาศิลปะการละครที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ โตเกียว พ่อแม่ของเขาคาดหวังให้ทำงานในบริษัทมิตซูบิชิ ทว่า เขากลับแต่งงานตั้งแต่ยังหนุ่ม เปิดแจ๊ซคลับ "ปีเตอร์ แค็ต" และเขียนหนังสือ
 
 
"หลายคนมักคิดว่าวรรณกรรมเป็นศิลปะชั้นสูง และก็ควรจะอยู่ในกลุ่มที่สามารถซาบซึ้งหรือเข้าใจกับวรรณกรรมได้จริงๆ แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมไม่เสียใจและยิ้มรับเสมอแม้ว่าบางคนอาจมองว่างานของผมไม่มีคุณค่า และผมยินดีทุกครั้งที่มีการนำงานไปถ่ายทอดสู่วงกว้าง อาทิ ในโทรทัศน์ ภาพยนตร์ วิทยุ หรือแม้แต่วิดีโอเกม เพราะผมไม่ต้องการให้สิ่งที่เขียนตายไปพร้อมกับความสูงส่งที่ถูกกำหนดจากภายนอก"
 
 
ซึ่งนวนิยายเล่มล่าสุดของเขา "1Q84" ก็ก่อเกิดปรากฏการณ์ให้โลกต้องตะลึง
 
 
"ครั้งสุดท้ายที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้คือจากเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์" มิเรียม โรบินสัน พนักงานของร้านหนังสือแห่งหนึ่งในลอนดอนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
 
 
เหตุการณ์ที่ว่าคือการต่อคิวตั้งแต่เที่ยงคืน เพื่อรอซื้อหนังสือในตอนเช้าวันแรกที่หนังสือส่งมาจากโรงพิมพ์
ที่ประเทศฝรั่งเศสยอดพิมพ์ครั้งแรกของสำนักพิมพ์คือ 70,000 ฉบับ และพิมพ์ซ้ำครั้งที่ 2 ภายในอาทิตย์เดียว
ความนิยมก็ไม่มากมายหรอก แค่พิมพ์ไป 42 ภาษาทั่วโลก!! รวมถึงภาษาไทยโดย สนพ.กำมะหยี่ และติดอันดับขายดีในแทบทุกประเทศที่มีวัฒนธรรมแตกต่าง อาทิ เกาหลีใต้ เยอรมนี จีน ออสเตรเลีย
 
 
แถมเพลงที่ถูกกล่าวถึงในนิยายอย่าง "Sinfonietta" ซึ่งแต่งโดยนักดนตรีชาวเช็ก "ลีโอส์ จานาเชค" ก็พลอยได้รับอานิสงส์ให้ขายดิบขายดีตามไปด้วย
 
 
"มูราคามิเป็นนักเขียนญี่ปุ่นคนแรกที่สามารถทลายมุมมองที่ตะวันตกเคยมีต่องานประพันธ์ของตะวันออกอย่างสิ้นเชิง" แอนนา เซียลินสกา-อีเลียต ให้ความเห็นไว้
 
 
1Q84 อ่านว่า Ichi-Kyu-Hachi-Yon แปลว่า 1984 เพราะเลข 9 นั้นออกเสียงในภาษาญี่ปุ่นว่า Kyu หรือ คิว ซึ่งตรงกับตัวอักษร Q ในภาษาอังกฤษ
 
 
1Q84 เป็นนวนิยายที่มีความยาว 1,000 หน้า และจัดพิมพ์เป็น 3 เล่ม โดยใช้เวลากว่า 3 ปีในการสร้างสรรค์
กว่าจะได้ผลงานเล่มนี้นั้น มูราคามิต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ในแทบทุกเช้า เขียนหนังสือจนถึงเที่ยงวัน ใช้เวลาช่วงบ่ายฝึกซ้อมสำหรับการแข่งมาราธอน เดินหาอะไรเพลินๆ ที่ร้านแผ่นเสียงเก่า และเข้านอนตอน 3 ทุ่มพร้อมภรรยา
นี่คือสิ่งที่เขากำหนดเป็นกิจวัตรประจำวันให้ตัวเองในช่วง 3 ปี ของการเขียนหนังสือเล่มนี้
 
 
"นี่เป็นหนังสือเล่มหนาที่สุดที่ผมเคยเขียนมา หนังสือทุกเล่มของผมเป็นเรื่องรักประหลาดๆ และเล่มนี้จะเป็นเรื่องรักประหลาดๆ ที่ยาวมาก" เขาว่า
 
 
"และถ้าคุณต้องเขียนหนังสือทุกวันติดต่อกัน 3 ปี คุณก็ต้องแข็งแรงพอ และคุณก็ต้องมีสภาพจิตใจที่แข็งแรงด้วย มันเป็นเรื่องสำคัญมาก คุณต้องแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ"
 
 
1Q84 เป็นเรื่องของชายหญิงคู่หนึ่งที่ต่างก็มีใจให้กันตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าชะตาชีวิตกลับทำให้ทั้งคู่ต้องพลัดพรากจากกันไป แต่ในโลกคู่ขนาน โลกแห่ง 1Q84 โลกที่มีพระจันทร์สองดวง โชคชะตาก็ดึงคนทั้งคู่ให้กลับมาใกล้กันอีกครั้ง
 
 
ท่ามกลางบรรยากาศที่กรุ่นกลิ่นอายฆาตกรรม ประวัติศาสตร์ ศาสนาแบบคัลท์ ความรุนแรง ความหมองหม่น และความรัก 1Q84 เป็นงานแนวเมจิคอล เรียลลิสต์อันซับซ้อนและเซอร์เรียล ชวนให้ถกเถียงกับตัวเอง
 
 
เสน่ห์ดึงดูดที่สำคัญของนิยายเรื่องจึงอยู่ที่ คนอ่าน 1 ล้านคน อาจตีความได้ 1 ล้านแบบ
 
 
เดอะเจแปนไทม์สกล่าวไว้ว่า 1Q84 จะเป็นหนังสือที่ต้องอ่านเพื่อทำความเข้าใจวัฒนธรรมญี่ปุ่นร่วมสมัย
 
 
"ผมไม่คิดว่าผมเป็นศิลปินนะ" มูราคามิในวัย 63 เอ่ยอยู่เสมอในการสัมภาษณ์
 
"ผมเป็นเพียงผู้ชายที่เขียนหนังสือได้เท่านั้น" เขากล่าวอย่างถ่อมตัวตามวิสัย
 
 
"เวลามีใครสักคนเข้ามาคุยกับผมเรื่องเขียนหนังสือ เขาหวังว่าผมจะต้องพูดในสิ่งที่มีพลัง สร้างสรรค์ หรือพูดถึงงานศิลปะ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากพูด อาจเพราะงานของผมดูเป็นจินตนาการที่เหนือจริง นั่นเกิดขึ้นเพราะผมเชื่อว่าความมหัศจรรย์และพลังของเรื่องเล่า สามารถสร้างกำลังใจและความตื่นตาตื่นใจให้มนุษย์ได้ ผมเดินทางเข้าไปในจิตใต้สำนึกที่สับสนวุ่นวายของตัวเองก็จริง แต่ผมก็เดินออกมา ผมอยากบอกว่าไม่ว่าคุณจะเขียนอะไรก็ตาม คุณต้องอยู่บนโลกของความเป็นจริง"
 
 
เวลานี้มูราคามิอาศัยอยู่ที่ฮาวายพร้อมกับภรรยาที่ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันมากว่า 40 ปี
 
ทุกๆ วันเขาอ่านหนังสือ ฟังเพลง วิ่ง เขาเป็นสมาชิกสโมสรนักวิ่งที่ฮาวายด้วย
 
แม้ตอนนี้จะไม่ได้เลี้ยงแมว แต่ขอให้ได้เห็นแมวก็มีความสุขมากแล้ว
 
 
เป็นความสุขเล็กๆ ของชายผู้ก่อปรากฏการณ์ล่าสุดทางตัวอักษรของโลก
 
บันเทิง มติชน 20 พ.ย.2554