Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

“อ่าน” พื้นที่แห่งวัฒนธรรมวิจารณ์

 

 
คงต้องยอมรับกันตรงๆ ว่าวัฒนธรรมการวิจารณ์ศิลปะอย่างจริงจังในเมืองไทยในปัจจุบันค่อนข้างอ่อนแอ ทั้งที่ในสมัยหนึ่งเคยคึกคักและสร้างความเคลื่อนไหวในแวดวงได้ไม่น้อย 
 
เมื่อพิจารณาถึงต้นสายปลายเหตุ แม้จะมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็มีทรรศนะหนึ่งที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ "พื้นที่ที่ขาดหาย" 
 
เพราะแม้พื้นที่สาธารณะในการแสดงออกจะมากขึ้น โดยเฉพาะในโลกอินเตอร์เน็ต แต่ความจริงจังที่มาพร้อมความรับผิดชอบกลับลดลงไม่เหมือนพื้นที่สำหรับการเผยแพร่อย่างเป็นรูปธรรมในสื่อต่างๆ 
 
น่าดีใจที่วันนี้ "อ่าน" ได้เกิดขึ้น และเป็นอีกหนึ่งความหวังของแวดวง 
 
"จริงอยู่ที่นิตยสารของไทยมีหน้าวิจารณ์อยู่บ้างแล้ว แต่ในอ่านเราจะให้ความสำคัญกับการวิจารณ์อย่างเข้มข้นจริงจัง ไม่ได้เน้นติดตามหนังสือกระแสในตลาดทั่วไปสักเท่าไหร่ เพราะต้องการให้วารสารเล่มนี้เป็นเครื่องมือในการเปิดพื้นที่และพัฒนาการวิจารณ์ในสังคมไทยให้เข้มแข็ง" ไอดา อรุณวงศ์ บรรณาธิการคนเก่งของอ่าน ที่ผันตัวเองมาจากหน้าที่เอ็นจีโอมารับบทบาทในหน้านิตยสารน้ำดีอย่างเต็มตัว อธิบายด้วยรอยยิ้ม 
 
ก่อนที่จะบอกว่า งานวิจารณ์ในเล่มนี้ไม่ได้เน้นเพียงวรรณกรรมเท่านั้น เพราะอ่านต้องการเปิดพื้นที่ให้หนังสือทุกประเภทรวมถึงความรื่นรมย์แขนงอื่นอย่างดนตรี ศิลปะ และภาพยนตร์ด้วย 
 
"ที่ผ่านมา แม้จะมีโครงการว่าด้วยการวิจารณ์ที่ดีมากมาย แต่ก็จะถูกจำกัดอยู่ในโลกของวิชาการ เราอยากทำให้การวิจารณ์มีลักษณะร่วมสมัย มีชีวิต และเข้าถึงคนทั่วไปได้ เพราะรู้สึกว่าคนไทยอ่านหนังสือมากหรือน้อยเท่าไหร่ไม่ใช่ปัญหาสำคัญเท่ากับว่ามีคุณภาพในการอ่านยังไง และการวิจารณ์นี่ล่ะที่เป็นตัวชี้วัดหนึ่งได้ว่า คนอ่านสามารถคิดต่อและสัมพันธ์กับสิ่งที่อ่านได้ดีแค่ไหน และสามารถเปิดรับต่อคำวิจารณ์ที่แตกต่างได้รึเปล่า" 
 
ไอดามองว่า การวิจารณ์ต้องเปิดกว้างต่อกันทั้งตัวผู้สร้างงานและผู้วิจารณ์ และที่สำคัญคือ ต้องใช้ทุกองค์ความรู้รอบตัวมาเชื่อมโยงความคิด เพราะศิลปะนั้นไม่ได้แยกขาดจากสังคม การเมือง หรือวัฒนธรรม สามารถใช้ศิลปะทุกแขนงเป็นเครื่องมือสะท้อนสังคมได้ แต่ถ้ามองว่าการวิจารณ์ไว้ว่าต้องเป็นเรื่องเทคนิคทางวิชาการ ก็จะเป็นการสร้างกรอบโดยปริยายในแง่ของคนวิจารณ์และคนเข้าร่วม 
 
แต่สังคมไทยมีลักษณะบางอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อการวิจารณ์ นั่นคือระบบอุปถัมภ์และการยึดมั่นในระบบอาวุโส นับถือพี่น้อง ซึ่งสร้างความรู้สึกลำบากใจให้กับนักวิจารณ์บางคน โดยเฉพาะรุ่นใหม่ๆ ที่กำลังก้าวมาในแวดวงไม่น้อย เราสงสัย 
 
ไอดาเองก็พยักหน้าเห็นด้วย และยังบอกอีกว่าไม่ใช่มีเพียงแค่ที่เราคิด เพราะสังคมไทยมีปริมณฑลต้องห้ามอยู่เยอะในทางการเมืองและวัฒนธรรม 
 
"บางอย่างเรื่องเชิงกฎหมายยังไม่ซีเรียสเท่าเชิงจารีต เพดานการวิจารณ์ในไทยค่อนข้างต่ำ เพราะจารีตนี่ล่ะ การวิจารณ์ผู้ใหญ่ สถาบัน อำนาจทางการเมืองมีข้อจำกัดอยู่เยอะ บางอย่างถ้าอิงกฎหมายหมิ่นประมาทเป็นเกณฑ์สากลที่เข้าใจกันได้ แต่ในสังคมไทยมีมากกว่านั้น ความตั้งใจของเราคือ หวังจะขยับเพดานเข้ามาทีละนิดๆ" 
 
แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่วารสารวิจารณ์เต็มขั้นจะก้าวผ่านอุปสรรค 
 
"ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าจะมีคนเห็นความสำคัญแค่ไหน แต่เข้าไปดูในเว็บบอร์ดและบล็อกต่างๆ ก็เห็นคนเขียนรีวิวเยอะมาก เลยคิดว่าสังคมไทยอาจไม่หมดหวังเกินไปนักที่จะนำการวิจารณ์สู่พื้นที่ทางการ คล้ายกับค่อยๆ ขยับพรมแดนเข้ามา และการเขียนบทความตีพิมพ์อย่างมีศิลปะการนำเสนอด้วยท่วงทำนองหลากหลาย เท่ากับเรียกร้องความรับผิดชอบและเพิ่มคุณภาพการวิจารณ์ด้วย" 
 
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่กังวล โดยเฉพาะในประเด็นการขาย เพราะวางแนวทางไว้ตั้งแต่เริ่มแรกว่าอยากทำหนังสือที่ไม่ต้องประนีประนอมกับตลาดมากนัก จึงไม่รับโฆษณา เพราะหวังจะเป็นส่วนหนึ่งในการชี้นำบางอย่างให้สังคม หากต้องประนีประนอมตั้งแต่เริ่มแรก มาตรฐานก็คงลดลง วิธีที่ช่วยได้นั้นคือ การหารายได้จากทางอื่นมาเลี้ยงตัว รวมถึงหวังว่าระบบสมาชิกจะช่วยให้ดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ถ้าที่สุดไม่ไหวจริง ไอดาก็บอกว่า อย่างน้อยก็คงเป็นตัวชี้วัดได้ถึงความพร้อมของสังคมไทย 
 
"แต่เราไม่ได้ปฏิเสธหนังสือทั่วไปว่าจะไม่มีการวิจารณ์ เพราะนั่นคือปรากฏการณ์ทางสังคมที่ต้องสนใจ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่หนังสือ แต่อยู่ที่คุณอ่านอย่างไรและได้อะไร ทุกเล่มทุกประเภทสามารถสะท้อนความคิดของสังคมได้ การสร้างวัฒนธรรมให้เข้มแข็งต้องไวต่อการเปลี่ยนแปลง อย่างตอนนี้การเปลี่ยนแปลงที่ชัดและน่าสนใจคือ เราเรียกร้องให้ย่อยทุกอย่างลง ลดความซับซ้อน มันทำให้เห็นถึงอะไรบางอย่าง" 
 
ฟีดแบ๊คที่กลับมาหลังจากวางแผงไปหลายเดือนถือว่าน่าพอใจ เจอกันสามเดือนครั้งกับคอลัมนิสต์ประจำอย่าง ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์, คำ ผกา, เรณู ปัญญาดี, มุกหอม วงษ์เทศ รวมถึงคอลัมนิสต์จากแวดวงต่างๆ ก็กำลังดี 
 
ส่วนสาระจากตัวอักษรนั้น ดูจากชื่อคอลัมนิสต์ประจำแล้ว คงไม่ต้องพูดอะไร 
 
ขอเปิดประตูต้อนรับพื้นที่วิจารณ์ที่หวังเป็นส่วนหนึ่งในการก่อร่างสู่วัฒนธรรม 
 
วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11158 
มติชนสุดสัปดาห์