อ่าน(เรื่อง)รัก : อ่านรักจากวรรณกรรม

พระจันทร์เสี้ยวการละคร โดย สินีนาฏ เกษประไพ ศิลปินรางวัลศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดงปี ๒๕๕๑ ได้ชักชวนนักการละคร ๑๐ คน ที่สมัครใจร่วมโครงการ อ่าน(เรื่อง)รัก : อ่านรักจากวรรณกรรม มาร่วมกันสุมหัวเพื่อนำเสนอความรักหลากหลายมิติ เรื่องรักทั้ง ๑๐ สินีนาฏเปิดพื้นที่ให้กับคนทำละครทั้งสิบชีวิต คัดสรรนำมาอ่าน และนำเสนอชิ้นงานทั้งสิบอย่างอิสระ
สินีนาฏกล่าวว่า เหตุการณ์บ้านเมืองในปีที่ผ่านมา มีความตึงเครียด บรรยากาศของบ้านเมืองทำให้เกิดการแบ่งแยกและเกลียดชัง จึงอยากนำเสนอโครงการแรกจากพระจันทร์เสี้ยวด้วยเรื่องรัก เพื่อให้ผู้สนใจพูดถึงความอ่อนไหวในใจอย่างความรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ร่วมงานกับคนทำละครทั้งสิบ ทำให้เห็นมิติความหลากหลาย มุมมองความรัก หนังสือที่เขาชอบอ่าน การตีความที่มีต่อความรักและวรรณกรรม
แม้จะเป็นโครงการที่ไม่มีกระบวนการซับซ้อนเหมือนการทำละครเวที แต่ทั้งสินีนาฏและนักการละครอีกสิบคน มีการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้า แลกเปลี่ยนความเห็นกัน ๓ ครั้ง และเตรียมงานกันร่วมหนึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือนเศษๆ
สวนีย์ อุทุมมา, สายฟ้า ตันธนา, คานธี อนันตกาญจน์, อภิรักษ์ ชัยปัญหา, ปานรัตน กริชชาญชัย, เกรียงไกร ฟูเกษม, นพพันธ์ บุญใหญ่, ศรวณี ยอดนุ่น, เบญจ์ บุษราคัมวงศ์ และสุวรรณา พร้อมตั้งตระกูล คือนักทำละครทั้งสิบคนที่ยินดีเข้าร่วมโครงการครั้งนี้
ทุกคนต่างมีฉากและตอนที่ประทับใจในแง่มุมของความรัก จากหนังสือที่พวกเขาคัดมาแตกต่างกัน เรื่องรักทั้งสิบมีทั้งงานเขียนของนักเขียนไทยและนักเขียนต่างประเทศ
การนำเสนอ นักทำละครทั้งสิบจะนำเรื่องรักที่ตัวเองคัดตอนมาแล้ว มาอ่านให้ผู้เข้าชมฟัง พร้อมกับมีการแสดงประกอบไปด้วย วิธีการแสดงมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งนำเสนอแบบสื่อมัลติมีเดีย ฉายภาพเคลื่อนไหวประกอบ มีเสียงดนตรี การจัดฉากเล็กๆ เหมือนเล่นละครเวที ความรู้สึกเหมือนได้นั่งชมละครเวทีสั้น ๑๐ เรื่อง แต่ละครเวทีสั้นครั้งนี้ มีนักแสดงถือแผ่นกระดาษอ่านบทให้ฟังไปด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยอารมณ์รัก เศร้า สูญเสีย เป็นน้ำเสียงการอ่านที่มาจากอารมณ์อันเป็นแรงขับที่เกิดจากการรู้สึกไปกับงานเขียนทั้งสิบเรื่อง แต่ละเรื่องมีความยาวตั้งแต่ ๑๐ นาทีไปจนถึง ๒๐ นาที
สวนีย์ อุทุมมา นักทำละครจากกลุ่มมะขามป้อม คัดตอน ๔ หน้า ๔๒-๕๒ ของนวนิยายเรื่อง “ความรักของวัลยา” เขียนโดย เสนีย์ เสาวพงศ์ สวนีย์บอกว่า ชอบเรื่องนี้มากตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่น แม้ภาษาจะอุดมคติ แต่ก็ยังเลือกตอน ๔ ที่มีหญิงชราชาวฝรั่งเศส สนทนากับตัวเอกในเรื่องถึงความกล้าหาญของสตรีชาวฝรั่งในหน้าประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส ซึ่งเริ่มตั้งแต่การทำลายคุกบาสติลล์ไปจนถึงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ฝรั่งเศสถูกเยอรมนีรุกราน หญิงชราชาวฝรั่งเศสวัย ๖๐ เล่าถึงความกล้าหาญของสตรีฝรั่งเศสว่า มีบทบาทสำคัญในการนำพาประเทศไปสู่เสรีภาพและภราดรภาพ เธอเล่าถึงความกล้าหาญด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ และกระชากความสะเทือนผู้ชมว่า เธอสูญเสียลูกสาวไปถึงสองคนในสงครามเช่นกัน เธอเล่าและยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ซึ่งเป็นรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจที่มีลูกสาวกล้าหาญถึงสองคน แม้ทั้งสองจะเสียชีวิตในสงครามก็ตาม สวนีย์ต่ออีกว่า รอยยิ้มในความภาคภูมิใจนั้นอาจจะไม่ใช่อย่างเวลาที่แม่เห็นลูกขึ้นไปรับถ้วยรางวัล
แม้เรื่องนี้ภาษาจะอุดมคติ กลับสร้างความประทับใจให้แก่นักศึกษาที่เข้าฟังจำนวนมากในวันนั้น เรียกเสียงปรบมือเกรียวกราว ทำให้นักศึกษาฉุกคิดและตั้งคำถาม รวมถึงสะเทือนใจไปกับเหตุการณ์ที่หญิงชราชาวฝรั่งเศสเล่าออกมา …สงครามเป็นความสูญเสียที่สร้างความรู้สึกร่วมให้มนุษยชาติเสมอ แต่สงครามก็ยังไม่สิ้นสุด…หญิงชราพูดว่า “ฉันหวังว่าลูกสาวของฉันทั้งสองคนคงจะเป็นคนสุดท้ายที่ต้องเสียชีวิตไปในสงคราม”
เรื่องนี้อ่านโดย อาจารย์พรรัตน์ ดำรุง คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ คานธี อนันตกาญจน์ คัดเลือกตอนและกำกับการอ่านโดย สวนีย์ อุทุมมา
ไหม งานเขียนของ อเลซซานโดร บาริกโก แปลโดย งามพรรณ เวชชาชีวะ เป็นชิ้นงานที่สายฟ้า ตันธนา คัดเลือกมาอ่านพร้อมกับเพื่อนอีกสองคนคือน้ำผึ้งและคิ้ม โดยเลือกเอาตอนจบของเรื่องมานำเสนอ คือตอนที่แอรเว ฌองกรู (พ่อค้าไหม) รู้ว่าจดหมายฉบับนั้น เอแลน (ภรรยา) เป็นคนเขียน
คนทำละครที่มาอ่านงานทั้งสามคนออกมาในชุดสีดำสนิท สร้างบรรยากาศกดทับและอึงคะนึงแก่ผู้เข้าชม…น้ำเสียงของคิ้ม ให้ความรู้สึกกระเทือนใจและอาลัยอาวรณ์ในบางที การถ่ายทอดอารมณ์ในน้ำเสียงของคิ้มทำได้ดีไม่มีที่ติ
คิ้ม มินตา ภณปฤณ พูดถึงงานเขียนเรื่องไหมและตีความงานเขียนชิ้นนี้ว่า…ไหมเป็นการพูดถึงความรัก ความเจ็บปวด ความปรารถนา ที่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แสดงให้เห็นถึงดินแดนของผู้หญิงซึ่งไม่ว่าจะเป็นชาติหรือภาษาใดต่างก็มีจุดร่วมในความเป็นหญิงเหมือนกัน และผู้ชายในเรื่อง (แอรเว) ต้องเดินทางเข้าไปสู่ดินแดนของผู้หญิงทั้งหมดในเรื่อง การล่วงล้ำเข้าไปในเพศหญิง ในดินแดนของผู้หญิง แต่แอรเวกลับไม่เข้าใจสถานที่เหล่านั้นเลย…
สำหรับฉันในฐานะผู้ชมและได้อ่านหนังสือเล่มนี้ พลันอ่านจบ ฉันกลับรู้สึกอ้างว้างและรู้สึกว่าความรักแอรเวมีต่อภรรยา ช่างว่างเปล่านัก ตอนที่แอรเวบอกกับเอแลนว่า “ฉันจะรักเธอตลอดไป” เป็นคำบอกรักที่จืดชืดสนิท ฉันรู้สึกเหมือนแอรเวสักแต่พูดตามหน้าที่ เป็นคำบอกรักที่ไม่ชอบมาพากล เหมือนรักในสุญญากาศ เจ็บปวดที่ได้ยินมากกว่าจะอิ่มเอมใจ
เสียงระหว่างเรา ที่คานธี อนันตกาญจน์ นำมาอ่าน เรียกความหวานของรักกลับคืนมา แม้ว่ารักของคนทั้งคู่กำลังจบลงด้วยความตายของอีกฝ่ายก็ตามที เสียงระหว่างเรา อยู่ในหนังสือเรื่องสั้น(ขนาดสั้น) เรื่อง ภวาภพ เขียนโดย อุเทน มหามิตร
เรื่องที่เลือกมาอ่านเป็นความผูกพันระหว่างคู่รัก ในอ้อมกอดของกันและกัน ในวาระสุดท้ายที่ฝ่ายชายกำลังจะตายไปจากหญิงใบ้ผู้เป็นที่รักของเขา คานธีอ่านคนเดียว พร้อมฉายภาพหญิงใบ้ที่เป็นใบ้จริงๆ ในเรื่องที่นำมาอ่าน บอกว่า คู่รักสื่อความหมายต่อกันด้วยภาษามือ แล้วผู้ชมก็ได้ร่วมดื่มด่ำไปกับเสียงเปียโนอันเพราะพริ้งจากปลายนิ้วของนักเปียโนรับเชิญ ภาพเคลื่อนไหวฉายให้เห็นเฉพาะนิ้วทั้งสิบที่กำลังกรีดกรายอยู่บนเปียโน เสียงเพลงเปียโนคลอเบาไปกับเสียงอ่านที่น่าฟังของคานธี เมื่ออ่านจบเสียงปรบมือจากผู้ชมดังเกรียวกราว
ผลงานซีไรท์เล่มล่าสุดของวัชระ สัจจะสารสิน รวมเรื่องสั้นชุด เราหลงลืมอะไรบางอย่าง เป็นงานเขียนที่ อภิรักษ์ ชัยปัญหา นำมาอ่านในครั้งนี้ โดยเลือกเรื่อง “หาแว่นให้หน่อย” ให้นักแสดงสองคนอ่านพร้อมแสดงประกอบ รักในวรรณกรรมเรื่องนี้ เร่าร้อนและดุเดือด เรียกเสียงหัวเราะให้กับผู้ชม แต่สะกิดต่อมความคิด นักเขียนซีไรท์อย่างวัชระเล่าเรื่องการปฏิวัติระหว่างการเมคเลิฟของสามีภรรยาคู่นี้ ประหนึ่งว่าเหตุการณ์บ้านเมืองเป็นกิจกรรมทางเพศชนิดหนึ่ง
หากใครอยากบ่มเพาะและรำลึกถึงความรู้สึกแบบรักแรก ปานรัตน กริชชาญชัย นำวรรณกรรมเรื่อง แวร์เธอร์ระทม จากวรรณกรรมเยอรมันเรื่อง Die Leiden des jungen Werther ของ โยฮันน์ โวลฟ์กัง ฟอน เกอเธ่ แปลโดย รศ.ถนอมนวล โอเจริญ
ปานรัตนชอบมุมมองการนำเสนอ “ความรักในความคิดฝัน” เป็นความรักแบบโรแมนติกหรือแบบ storm and stress โดยเลือกเอาช่วงกลางจนถึงจบเรื่อง(เอามาเฉพาะบางหน้า) ซึ่งเป็นตอนที่พระเอกพรั่งพรูถึงความรักที่มีมากมายเหลือคณากับนางเอก
ปานรัตนเลือกตอนนี้เพราะเป็นช่วงที่พระเอกได้กลั่นกรองทัศนะของความรักและความรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจออกมาชัดเจนที่สุด เป็นช่วงเคลิ้ม น่าใหลหลงในคำที่เขาเอ่ยออกมา ทำให้เห็นมุมมองของความรักที่มันเป็นความคิดฝันแบบสุดโต่ง ไม่เหลือที่ว่างให้กับความเป็นจริงและเหตุผลเลยแม้แต่น้อย เมื่อฟังแล้วชวนให้คิดคำนึงไปถึงวันแรกที่เราประสบพบพักตร์กับคนที่เรารัก และตัดสินใจที่ริจะรักเขา มันเป็นความอยากได้ใคร่ปรารถนาที่สวยงาม ทำให้หวนคิดว่าคนเรามีความสามารถที่จะมองความรักได้งามถึงปานนั้นเชียวหรือ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วก็น่าลองใช้ความสามารถทางความฝันเหล่านี้และอารมณ์รักแรกเริ่มมาเติมความรักในโลกของความเป็นจริงกันดูบ้าง เพราะถ้าชีวิตอยู่ได้ด้วยแรงแห่งความฝันฉันใด ความรักก็คงดำรงอยู่ได้ด้วยความคิดฝันฉันนั้นกระมัง
เมื่ออ่านมุมมองที่ปานรัตนอยากนำเสนอ ฉันเองก็มาตั้งคำถามว่า …เราจะสามารถรักคนที่เรารักได้ดั่งวันแรกที่รักเขาได้ตลอดไปหรือไม่?…
แวร์เธอร์ระทม งดงามด้วยนักแสดงหญิงที่สวยมาก และนักแสดงชายอีกสองคนที่มาอ่านร่วมกัน การจัดฉากและแต่งกายแบบย้อนยุค นักแสดงที่เล่นเป็นเกอเธ่ยังเดี่ยวกีต้าร์ร้องเพลงรักสดๆ เพื่อเผยความรู้สึกแรกที่มีต่อนางเอกในเรื่องให้ผู้ชมได้หวานกัน
เมื่อสักห้าปีก่อน(กระมัง) นวนิยายของนักเขียนญี่ปุ่นนาม ท์ซึจิ ฮิโตนาริ เขียนหนังสือออกมาสองเล่มคู่กัน คือ BLU เยือกเย็น กับอีกเล่ม (จำไม่ได้) เกรียงไกร ฟูเกษม เลือก BLU เยือกเย็น แปลโดย สมเกียรติ เชวงกิจวณิช มานำเสนอ
ตะเกียงเลือกตอนที่เป็นการพูดถึงการเลือกที่จะดำเนินชีวิตของจุนเซ (ตัวละครหลัก) ที่จะยังคงจมอยู่กับสัญญาในอดีต และตามหาร่องรอยความรักในอดีตของหญิงที่ตนเคยรัก จะมองไกลออกไปสู่อนาคตกับเมมิ สาวน้อยลูกครึ่งอิตาลีกับโตเกียว และการที่จะยังคงเลือกเป็นนักซ่อมภาพศิลปะ หรือจะเป็นผู้วาดงานศิลปะขึ้นมาใหม่
เรื่องนี้ใช้ผู้อ่านเพียงคนเดียว โดยเลือกบทบาทให้ผู้อ่านเป็นนักพิสูจน์อักษร ที่มานั่งอ่านและแก้ไขเรื่องนี้ให้ผู้ชมฟัง
เสียงกรี๊ดและเสียงหัวเราะดังสนั่นเมื่อนพพันธ์ บุญใหญ่ นำเสนองานเขียนเรื่อง ความลับในความรัก เขียนโดย จอห์น อาร์มสตรอง แปลโดย จิระนันท์ พิตรปรีชา…
นพพันธ์นำเสนอ ความลับในความรัก ตามขนบวิธีคิดนอกกรอบในแบบที่เป็นตัวเขาเอง และดำเนินเรื่องอย่างสนุกสนานด้วยการเขียนละครซ้อนบทประพันธ์ชิ้นนี้ขึ้นมา เหมือนตั้งคำถามว่า ความลับในความรักคืออะไร อย่างตอนที่พูดถึง เวลาคนมีความรักมักจะใส่แว่นตาอีกอัน หรือการเล้าโลมทางเพศด้วยคำพูดของสามีภรรยาคู่หนึ่งในร้านอาหาร และคู่รักนักประกาศข่าวที่ทะเลาะกันแล้วจบลงด้วยการเมคเลิฟ …นพพันธ์มักทำอะไรไร้กรอบ แต่ไม่ไร้ความคิด…
หากจะหัวเราะกันดังลั่นกับ การแสดงของผู้อ่านทั้งสี่คน แต่อย่าหัวเราะเพลินจนลืมกลับเอาเก็บไปคิด เพราะนพพันธ์เขาไม่ได้เฉลยว่า หนึ่งบวกหนึ่งแล้วเท่ากับสอง
ศรวณี ยอดนุ่น ชอบเรื่อง The Missing Piece Meets the Big O หรือ การเดินทางของส่วนที่หายไป มาอ่าน เพราะให้ความรู้สึกว่า ความรักไม่จำเป็นต้องแสวงหา มันมีอยู่แล้วในตัวเอง ถ้าเรารักตัวเองให้ได้ก่อน ก่อนที่จะให้คนอื่นมารักเรา เราก็จะมีความสุขมากๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นส่วนที่ขาดหายไปของใคร เพราะเรานั้นสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว แต่เราเพียงแค่อยากมีเพื่อนกลิ้งไปด้วยกันก็เท่านั้น
ศรวณีอ่านให้ฟัง และมีเพื่อนอีกสองมากลิ้งไปกลิ้งมาเป็นวงกลมระหว่างที่อ่านไป ก็จะเห็นนักแสดงอีกสองคนกลิ้งไป
งานเขียนของปราบดา หยุ่น เรื่อง แพนด้า เป็นเรื่องที่เบญจ์ บุษราคัมวงศ์ เลือกมาอ่าน และมีเพื่อนอีกสองคนร่วมแสดงและร่วมอ่าน เขาเลือกตอนที่เป็นบันทึกครั้งที่ ๑๐ เป็นการบันทึกการเดินทางของแพนด้าจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่
“แพนด้า” หนุ่มวัย ๒๗ ปี มีรูปร่างคล้ายกับหมีในประเทศจีน เขามีความคิดว่าเขาและมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ล้วนเกิดมาผิดดวงดาว เป็นเหตุที่ทำให้โลกใบนี้เสียสมดุลและเกิดความวุ่นวาย การเดินทางของเขาในครั้งนี้คือการเดินทางกลับไปดาวบ้านเกิด โดยมีผู้ร่วมการเดินทางไปด้วยอีกคนหนึ่งคือ “หยิน” สาววัย ๒๒ ปีที่พร้อมจะเคียงข้างไปกับแพนด้า โดยที่ไม่รู้ปลายทางคือที่ใด
เบญจ์บอกว่า ที่เลือกตอนนี้เพราะเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองคนได้ถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อกัน เป็นมุมมองความรักที่แสดงถึงการยอมรับกัน และสุดท้ายจบลงด้วยการเดินทางครั้งใหม่
เรื่องนี้นำเสนอได้น่ารัก ผู้แสดงก็ยังสดใส เรื่องจึงเต็มไปด้วยความใส และรอยยิ้มใสๆ
เขาไม่นับเธอ เขียนโดย ไฮนริช เบิล แปลโดย อำภา โอตระกูล เป็นเรื่องที่ สุวรรณา พร้อมตั้งตระกูล เลือกมาอ่าน
ชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่วันๆ เอาแต่จดจ่ออยู่กับตัวเลขสถิติจำนวนผู้ใช้สะพาน เพื่อไปรายงานต่อบริษัทเปลี่ยนไป เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านสะพาน ชีวิตของเขามีความหมาย ไม่ซังกะตาย และทุกครั้งที่เธอเดินผ่านมา เขาไม่สนใจที่จะนับจำนวนผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนสะพาน ตัวเลขสถิติหยุดลง และเขาไม่นับเธอให้เป็นหนึ่งในตัวเลขทางสถิตินั้น
วันธรรมดาของเขาในแต่ละวัน กลายเป็นวันแห่งการรอคอยที่จะไม่ได้นับเธอ ชีวิตมีความหมายเมื่อได้คอยใครสักคน แล้วตัวเลขและเวลาก็ประหนึ่งจะหยุดลง เมื่อการรอคอยได้สิ้นสุด
การอ่านเรื่องนี้ขอชมนักแสดงที่มาอ่านว่า แสดงออกทางอารมณ์ได้ดีทีเดียว ทำให้รู้สึกอึดอัด กระวนกระวายใจระหว่างที่รอเธอคนนั้น และหัวใจเบ่งบานเมื่อในที่สุดเธอก็เดินผ่านมา
ทั้งสิบเรื่องของโครงการนี้ ทำให้ผู้เข้าชมที่ยังเป็นนักศึกษา เกิดความรู้สึกอยากอ่านหนังสือทั้ง ๑๐ เล่ม และกิจกรรมครั้งนี้ยังสามารถเป็นการปูพื้นฐานให้กับนักศึกษาด้านละครเวที นำไปปรับใช้กับการเขียนบทละครเวทีได้อีกด้วย
การกระตุ้นการอ่านวรรณกรรม และหนังสือครั้งนี้ เป็นการเชื่อมต่อกันระหว่าง นาฏกรรมและวรรณกรรมได้อย่างลงตัว และคงทำให้มีคนรักการอ่าน อยากอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นอีกพอสมควร ยิ่งเมื่อผู้เข้าชมได้รับฟังการตีความของคนทำละครทั้ง ๑๐ ที่มีต่อเรื่องที่พวกเขานำเสนอ เชื่อแน่ว่า ความคิดเห็นของคนทำละครจะเป็นประกายที่ช่วยจุดไฟในการรักการอ่าน และอยากอ่านวรรณกรรมดีๆ
นงค์ลักษณ์ เหล่าวอ
ผู้เข้าชมทั้ง ๑๐ เรื่องรักจากวรรณกรรม
อ่าน(เรื่อง)รัก
เสาร์ที่ ๗ และอาทิตย์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
crescentmoon space
สถาบันปรีดี พนมยงค์