Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

อำนาจนักอ่าน’ หรือเป็นเพียงอุดมคติของนักฝัน?

 

 
เมื่อใดก็ตาม ที่ใครสักคนเปิดหนังสืออ่าน นั่นคือ เขาคนนั้นได้เปิดรับบางสิ่งบางอย่างให้เข้ามาหลอมรวมกับชีวิตแล้ว 
 
โลกของการอ่านราวมีมนตราเสมอ ทั้งยังแฝงกลิ่นอายโรแมนติกที่เย้ายวนให้เหล่าหนอนหนังสือมากต่อมาก ควักกระเป๋าเปิดร้านหนังสือ (เล็กๆ) หรือทำสำนักพิมพ์ (เล็กๆ) แต่เพียงพริบตา…สิ่งที่เจอกลับเป็นโลกธุรกิจ (จริง) ที่ทำลายความโรแมนติกล้มหายตายจากไปต่อหน้าต่อตา 
 
"เปิดโลกอักษรจากมุมมองนักอ่าน" และ "อำนาจนักอ่านหรือเป็นเพียงอุดมคติของนักฝัน?" สองวงเสวนาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน เทศกาลหนังสือของนักอ่าน ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 19-21 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป และกลุ่ม we change เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทำให้เราได้ขบคิดถึงการอ่านที่ทรงพลังต่อชีวิตและได้รับรู้ต่อความจริงอันย้อนแย้งระหว่างโลกธุรกิจกับ (การอ่าน) หนังสือ 
 
0เปิดโลกอักษรจากมุมมองนักอ่าน 
 
ในวงเสวนาเพื่อเปิดโลกเปิดความคิดของนักอ่านนั้นมี กฤช เหลือลมัย กองบรรณาธิการเมืองโบราณและกวีอิสระ, ไอดา อรุณวงศ์ บรรณาธิการวารสารอ่าน, ทราย เจริญปุระ นักแสดง นักอ่าน และคอลัมนิสต์มติชนสุดสัปดาห์ ดำเนินรายการโดย ศรัณย์ ทองปาน กองบรรณาธิการเมืองโบราณ 
 
กฤช เหลือลมัย กวีผู้เติบโตมาจากดินแดนภาคกลาง เริ่มจากที่แม่สอนให้อ่านออกเขียนได้ก่อนเข้าเรียน หยิบจับหนังสือของพ่อที่มีอยู่ในบ้านซึ่งน่าพิสมัยมากกว่าตำราเรียนมาอ่าน เขามองว่าหนังสือเล่มแรกๆ ของชีวิตที่แต่ละคนเลือกอ่าน อย่างไรเสียก็จะส่งผลต่อการเลือกอ่านแนวทางนั้นถึงปัจจุบัน 
 
ด้าน ทราย เจริญปุระ และไอดา อรุณวงศ์ มีจุดเริ่มอ่านอย่างคล้ายคลึงกัน นั่นคือ "ความเหงา" โดยดาราสาวมาจากที่ทุกคนในครอบครัวอ่านหนังสือกันหมดเพราะเป็นส่วนหนึ่งของงานด้านภาพยนตร์ที่ทำ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้อยู่กับโลกของตัวเองมากที่สุด ขณะที่บรรณาธิการสาวหยิบหนังสือในบ้านมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก จากการที่รอบตัวมีเพื่อนน้อย จากยุคที่ยังไม่มีกิจกรรมให้ทำมากนัก หนังสือก็มีน้อยกว่าตอนนี้ 
 
ไอดา เริ่มอ่านจากวรรณกรรมเยาวชนที่แปลโดยนักแปลรุ่นเก่าอย่าง อ.สนิทวงศ์, สุธัชริน, สุคนธรส, สุพรรณิการ์ กระทั่งวันหนึ่งเธอได้เคลื่อนเข้าสู่โลกของวรรณกรรมที่เน้นการครุ่นคิดอย่างจริงจัง ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตและทำให้เลือกเป็นอย่างวันนี้ 
 
"ตอนเด็กๆ อ่านวรรณกรรมเยาวชนแปล อ่านแล้วก็จินตนาการไปเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ว่าภูมิประเทศ ผู้คน ข้าวของแปลกๆ ที่อยู่ในหนังสือนั้นมันเป็นยังไง แต่เมื่อเริ่มโตขึ้น รับรู้โลกมากขึ้น การอ่านไม่ได้มาตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของเราต่อโลกและสรรพสิ่งแค่นั้นแล้ว อย่างช่วงมหาวิทยาลัยก็คิดว่าคงเหมือนหลายๆ คนที่อ่านเพื่อแสวงหาคำตอบบางอย่าง อยากรู้สัจธรรมชีวิตขึ้นมาบ้าง อยากเข้าใจในระดับที่เรารู้สึกว่ามันลึกซึ้งมากขึ้น ก็เริ่มอ่านวรรณกรรมรัสเซียทั้งหลาย เช่น พี่น้องคารามาซอฟ หรืองานของ เฮอร์มานน์ เฮสเส อ่านแล้วรู้สึกว่าทำไมมันช่างขุดค้นจิตใจได้ปานนั้น แต่พอผ่านวัยนั้นไป เริ่มเรียนรู้ว่าสัจธรรมนั้นถ้ามันมีอยู่จริงมันก็คงไม่ได้อยู่ในมือเรามั้ง ก็เริ่มอ่านหนังสือประเภทที่ตอกย้ำว่า เออ อะไรๆ มันคงไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่ หรืองานที่ตั้งคำถามซ้อนเข้าไปอีกว่าสิ่งที่เราเห็นมันใช่หรือไม่ใช่ เช่นงานของ มิลาน คุนเดอรา" 
 
เธอมองว่า "หนังสือแต่ละเล่มมันก็อยู่ของมันอย่างนั้น แต่เราเข้าไปอ่านมันโดยผ่านความคาดหวังในแต่ละช่วงวัย ซึ่งก็แปรผันไปตามความรับรู้ของเราต่อโลก ยิ่งโตขึ้น มีต้นทุนในตัวเองมากขึ้นเท่าไหร่ เรากลับไปอ่าน มานะ มานี แล้วอินไม่ได้เหมือนตอนเด็กแล้ว มันจะเกิดคำถาม เพราะเรามีต้นทุนบางอย่างในตัวเราที่ไปปะทะขัดแย้งกับมัน หรือเพราะคำตอบแต่ละช่วงในชีวิตมันต่างออกไปแล้ว การอ่านเลยเหมือนเป็นทั้งการเติมประสบการณ์และในอีกแง่ก็เป็นการเช็คตัวเองด้วยว่าคุณภาพในตัวเรามันเปลี่ยนไปในทิศทางไหน" 
 
เช่นเดียวกับที่การอ่านได้ก่อรูปวิธีคิดบางอย่างให้แก่ กฤช เหลือลมัย ผู้ที่ดำเนินอยู่ระหว่างโลกแห่งกวีนิพนธ์และงานเขียนวิชาการเชิงประวัติศาสตร์ โลกซึ่งข้อมูล เหตุผล ความเชื่อ จินตนาการ ทั้งที่อยู่ข้างนอกและภายในตัวตนล้วนสำคัญ 
 
 
"มันทำให้เราไม่ด่วนตัดสินทั้งหลายทั้งปวงที่เข้ามากระทบเรา เราได้อ่าน ได้รับสารนั้นจริง แต่เราไม่เชื่อทันที ตั้งข้อสงสัย สิ่งที่คนเขียนกำลังจะบอกเรา สามารถมองไปได้สองสามแง่ หรือคำพูดของคนที่เราต่างยอมรับว่าเป็นเอตทัคคะทางด้านใดด้านหนึ่ง เราก็ต้องตั้งคำถามว่าจริงแท้แค่ไหน น่าจะเป็นผลพวงเบื้องต้นที่ได้จากการอ่าน ทำให้เรากลับไปมองด้านอื่นด้วย" 
 
สำหรับดารานักอ่านอย่าง ทราย เจริญปุระ การอ่านนอกจากมีส่วนต่อโลกทัศน์ในงานวงการบันเทิงอันเป็นการสื่อสารกับมนุษย์ด้วยกันในรูปแบบหนึ่ง หนังสืออย่างเรื่อง คนนอก ของ อัลแบร์ กามู เรื่อง คำพิพากษา ของ ชาติ กอบจิตติ ก็ทำให้เธอได้มองคนอื่นๆ ในสายตาที่เป็นธรรมมากมากขึ้น แต่กับหนังสือเล่มเดียวกันนี้ กฤชกลับมองเห็นอีกด้าน ซึ่งอาจสะท้อนสิ่งที่ได้จากการอ่านของคนต่างวัยต่างวาระได้เป็นอย่างดี เมื่อผู้เป็นกวีบอกว่าเขาได้อ่านคำพิพากษาในวัยที่โตแล้ว และเมื่อได้ "อ่านใหม่" ก็กลับเกิดคำถามว่าใครกันแน่ที่ถูกพิพากษา 
 
"คำพิพากษามีความแรงโดดเด่นมาก เป็นซีไรต์ที่มีการวิจารณ์เยอะมากๆ กระทั่งสามารถมีงานวิจัยต่อคำวิจารณ์คำพิพากษาได้ออกมาเป็นหนังสือเล่มโต ตอนหลังก็มีการอ่านคำพิพากษาใหม่ โดยนักวิจารณ์รุ่นใหม่ก็จะอ่านกลับไปอีกด้าน อ่านจากมุมมองของสมทรง เฮ้ย! ที่จริงแล้วใครกันแน่โดนคำพิพากษา น่าจะเป็นสมทรงมากกว่า ไอ้ฟักต่างหากที่โคตรยินยอมสิ่งที่คนอื่นยัดเยียดให้ สมทรงต่างหากที่ขบถ หลังๆ ผมสนุกกับการอ่านใหม่จากหนังสือที่เคยอ่านแล้วมาตั้งแต่เด็กๆ เวลาผ่านไป กลับไปหามันอีกที ฉันเห็นแกไม่เหมือนเดิมแล้วนะ" 
 
ในฐานะกวี กฤช เหลือลมัย บอกว่าการได้อ่านบทกวีบางชิ้นซ้ำอีกเป็นเหมือน "ตัวช่วย" ของชีวิต 
 
"บางทีที่เรารู้สึกว่ากำลังต้องสู้กับอะไรบางอย่าง เรากำลังอ่อนแอ แล้วมันมีงานบางชิ้นที่เคยทำหน้าที่นั้น เมื่อได้เปิดอ่านมันอีกก็ทำให้ดีขึ้น เพราะถ้าจะต้องสู้กับอะไรบางอย่าง ไม่แน่ใจว่านี่ใช่หรือเปล่า เราก็หาตัวช่วย พลังของกวีนิพนธ์ที่ดีมันทำได้จริงๆ ทั้งการจุดไฟ การลงโทษหัวจิตหัวใจของเรา หรือบางทีเป็นอารมณ์หวิวไหวในเรื่องความรัก คิดว่าการอ่านซ้ำ สำหรับกวีนิพนธ์มันเป็นทางที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิดความรู้สึกอย่างรวดเร็ว ในเวลาอันสั้น ตอบโจทย์ตอนที่เรากำลังหมดเรี่ยวแรง ต้องการคำตอบบางอย่าง แต่ตอบไม่ได้ด้วยตัวเอง" 
 
นอกจากนี้เขายังมีข้อสังเกตน่าคิดต่อพื้นที่ของกวีนิพนธ์และรูปแบบงานเขียนในยุคนี้ที่ดูจะค่อยๆ กลืนกลายเข้าหากัน 
"ตอนนี้หาอ่านได้ทั่วไปแล้ว โดยเฉพาะโลกไซเบอร์มีเว็บไซต์เกี่ยวกับกวีหลายแห่ง แต่งแล้วไปโพสต์เอาไว้ คิดว่าอยากชวนให้มาสนใจกวีนิพนธ์ที่มีความซ่อนเร้น ซับซ้อน ไม่ใช่ความหมายแบบโจ่งแจ้ง และงานเขียนในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม สารคดี นิยาย กวี ผมคิดว่าเริ่มมีการข้ามพรมแดนระหว่างกันมากขึ้น ซึ่งทำให้หลายงาน มันไม่สามารถนิยามได้ว่าคืออะไรกันแน่ เช่น งานของ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ เล่มที่มีชื่อเสียงของเขามาก คือ ในที่เกิดเหตุ มันเป็นอะไรกันแน่ สารคดี หรือบทสัมภาษณ์ หรือความเรียง บทความ 
 
ผมคิดว่ามันเป็นนิมิตหมายที่ดีเมื่อเกิดงานข้ามพรมแดนให้เราได้มีทัศนะคติต่อการอ่านได้มากขึ้น มันน่าจะทำให้ได้สร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา อย่างการที่เรารู้กันว่าสารคดีต้องมีข้อมูล ความถูกต้อง แต่จะมีอารมณ์บ้างได้มั้ย หรือกวีนิพนธ์ก็พูดกันแต่ว่าต้องมีอารมณ์ความรู้สึก มีเหตุผลไม่ได้เชียวแหละ หรือไม่มีข้อมูลทางวิชาการสนับสนุน แต่การข้ามพรมแดนมันก็ทำให้มีกวีที่แต่งจากการใช้ข้อมูลหรือสารคดีที่มีวิธีการนำเสนอดีๆ อย่างงานของ คุณศรัณย์ ทองปาน ก็เยอะ" 
 
 
0อำนาจนักอ่านหรือเป็นเพียงอุดมคติของนักฝัน? 
 
เสวนาวงนี้คุยกันแบบข้นๆ ถึงอำนาจนักอ่านที่ไม่พ้นไปการกำหนดทิศทางหนังสือจากกลุ่มธุรกิจด้านนี้ที่ส่วนมากก็ครอบคลุมทั้งการทำสำนักพิมพ์ หน้าร้าน สายส่ง ฯลฯ แล้วที่ทางอำนาจต่อรองของนักเขียน สำนักพิมพ์เล็กๆ นักอ่านอย่างเราๆ จะอยู่ตรงไหนกัน โดยวิทยากรหลายรุ่นทั้งนักอ่านและผู้ที่คลุกคลีในแวดวงหนังสือคือ มกุฏ อรฤดี บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนหนังสือ, สฤณี อาชวานันทกุล นักอ่าน นักเขียน คอลัมนิสต์ เจ้าของสำนักพิมพ์คนชายขอบ และบรรณาธิการเว็บไซต์ onopen.com, กิตติชัย งามชัยพิสิฐ จากสถาบันต้นกล้า กลุ่ม we change ผู้จัดงานเทศกาลหนังสือของนักอ่าน และดำเนินรายการโดย ทวีศักดิ์ พึงลำภู จากสำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก 
เปิดเสวนาด้วยประเด็นเบาๆ จากจุดเริ่มอ่านของวิทยากรแต่ละคน แต่สำหรับ มกุฏ อรฤดี ได้กล่าวข้ามไปว่าพออายุมากจะไม่ค่อยนึกแล้วว่าเริ่มอ่านอย่างไร จะนึกถึงอนาคตด้วยความเป็นห่วงมากกว่า จากสิ่งที่พบเจอทำให้เห็นว่าการอ่านของไทยเปลี่ยนไปมาก กระทั่งน่าวิตกว่าจะหลงเหลือหนังสือดีๆ สักกี่เล่ม คนทำหนังสือดีๆ จะเหลือสักกี่คน 
 
"เกือบ 40 ปีมาแล้วที่รัฐร่วมกับยูเนสโกเพื่อส่งเสริมการอ่าน กระทั่งตั้งหน่วยงานศูนย์พัฒนาหนังสือแห่งชาติเพื่อที่จะพัฒนาการอ่าน แต่ทฤษฎีที่เรานำไปใช้คือการอ่านต้องเริ่มกับครอบครัว หลับตานึกภาพดูสิ ถามว่าครอบครัว 90% ของไทยเป็นใคร อ่านหนังสือออกมั้ย มีเงินรายได้วันละเท่าไหร่ พอจะซื้อหนังสือให้ลูกได้สักเล่มมั้ย พอบอกการอ่านเริ่มจากครอบครัวมันผิดตั้งแต่ต้น ไปถามรัฐมนตรีแล้วกันว่ามีครอบครัวไหนบ้างที่อ่านหนังสือให้ลูกฟังก่อนนอน" 
 
สิ่งที่ผู้อยู่ในวงการหนังสือมาเกือบตลอดชีวิตได้ถ่ายทอดออกมา ล้วนเป็นความจริงที่หากจะคุยกันถึงเรื่องการอ่าน (แบบลงลึก) ก็ไม่อาจข้ามเลี่ยงไปได้ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นปัญหาของหนังสือบริจาคที่เป็นการให้เพราะอยากโละทิ้ง เลยไม่ได้สนใจว่าจะเป็นประโยชน์กับคนปลายทางแค่ไหน ปัญหาหนังสือเก่ากับผลเสียต่อสุขภาพ ปัญหาการอ่านที่เกี่ยวพันกับระดับนโยบาย ปัญหาวัฒนธรรมการลดราคาหนังสือ ฯลฯ ซึ่งแม้จะออกตัวว่าไม่ได้อยากนำเรื่องวิตกมาให้รู้ แต่สิ่งที่นำเสนอบอกเล่าคงไม่พ้นไปจากนี้ได้ เพราะเขาเจอแต่เรื่องน่าวิตกมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานั่นเอง 
 
"ผมได้ทำสำรวจเรื่องระบบหนังสือหมุนเวียนในโรงเรียน ออกสำรวจโรงเรียนต่างจังหวัดที่ห่างกรุงเทพฯ ไม่ถึง 100 กิโล หนังสือที่ อบจ.ส่งไปให้โรงเรียนคืออะไรรู้มั้ย หากเราไม่ทราบเรื่องพวกนี้ เราไม่อาจทำเรื่องวาระแห่งชาติได้ คือส่วนมากเป็นหนังสือเย็บปักถักร้อย ซึ่งสำนักพิมพ์ขายไม่ออกในหลายปีที่ผ่านมา แล้วนำไปเสนอ อบจ.แล้วก็พวกหนังสือที่ลอกมาจากอินเทอร์เน็ตทั้งหลาย งบประมาณมากมายที่ อบจ.มีมันหมดไปกับหนังสือไม่ได้ความ ไม่ได้ช่วยในการเติบโตของเด็กเลย นี่เป็นสิ่งที่เราต้องคิดกัน เงินภาษีของเราก็ไปอยู่กับเขา" 
 
 
นอกจากการขับเคลื่อนเพื่อสร้างวัฒนธรรมการอ่านที่จริงจัง ด้วยความอยากเห็นหนังสือดีๆ ยังมีอยู่ในอีกหลายสิบปีข้างหน้า นอกจากเปิดโรงเรียนสอนการเป็นบรรณาธิการ ก่อตั้งโรงเรียนวิชาหนังสือ การผลิตหนังสือแปลชั้นดีอย่างประณีตของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ตอนนี้พญาผีเสื้อหรือนักเขียนรุ่นใหญ่อย่าง มกุฏ ยังเริ่มดำเนินการสร้างห้องสมุดหนังสือดี 100 แห่ง โดยเริ่มจากมัสยิดที่ถือเป็นชุมชนเข้มแข็ง 50 แห่ง และตามร้านหนังสือให้เช่าอีก 50 แห่ง ทั้งเขายังมองว่าวัฒนธรรมการลดราคาหนังสือที่เป็นแนวทาง "ส่งเสริมการอ่าน" ยอดนิยม กลับเป็นสิ่งที่ส่งผลลบต่อการอ่านและธุรกิจหนังสือ คล้ายกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่พยายามจะนึกกลไกอื่นเอาเลย ขณะในต่างประเทศบางประเทศถึงกับมีกฎหมายห้ามลดราคาหนังสือใหม่ในระยะเวลา 1-2 ปีแรกด้วยซ้ำไป 
 
ส่วนในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ นักเขียน นักอ่านที่มีพลังล้นเหลืออย่าง สฤณี อาชวานันทกุล สะท้อนให้เห็นไปถึงภาพตลาดหนังสือในต่างประเทศที่เป็นข้อต่างจากในไทย คือ ร้านหนังสือใหญ่ๆ ไม่ได้วางแต่หนังสือที่ได้รับความนิยม แต่ยังคำนึงถึงความหลากหลายที่จะเกิดประโยชน์ต่อคนอ่านด้วย 
 
"ในเมืองไทยมันแย่ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าร้านหนังสือก็ทำสำนักพิมพ์ด้วย ลองไปดูสิว่าบางร้านเบสท์เซลเลอร์หนึ่งถึงสิบของเขาคืออะไร ถ้าสังเกตดูมันจะเป็นสำนักพิมพ์เดียวกับที่เป็นเจ้าของร้านซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์จะเรียกว่ามันเป็นการบิดเบือนข้อมูล คนอ่านก็อยากเห็นเบสท์เซลเลอร์เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง แต่ตามร้านมักถูกครอบงำโดยหนังสือที่ทำยอดขายได้เยอะ ซึ่งมักเป็นสำนักพิมพ์ของเขาเอง อุตสาหกรรมหนังสือในไทยเป็นธุรกิจมักง่ายและค่อนไปทางผูกขาด" 
 
แต่ในความน่าวิตกเธอยังมองเห็นกลไกทางเลือกอื่นที่จะขับเคลื่อนคู่ไปกับกลุ่มที่ทำเชิงนโยบาย อย่างการที่คนอ่านสามารถเปิดมุมมองด้วยตัวเอง ผ่านการอ่านบทวิจารณ์แนะนำหนังสือแทนที่จะไปดูจากยอดขายของร้านอย่างเดียวหรือการขายทางตรงจากผู้เขียนหรือสำนักพิมพ์เล็กๆ เอง ซึ่งไม่ต้องเจียดไปให้กับสายส่งก็จะทำให้ขายได้ในราคาสมเหตุสมผลและได้น้ำได้เนื้อมากกว่า รวมทั้งเมื่อสำนักพิมพ์ทำความรู้จักลูกค้าขาจรจากการออกบูธตามเทศกาลลดราคาหนังสือก็นำมาสร้างเป็นกลุ่มลูกค้าประจำผ่านการสื่อสารทางอีเมลอย่างต่อเนื่องได้ หรืออย่างการบอกข่าวคราวโปรโมชั่น หนังสือออกใหม่ต่างๆ ซึ่งกลายมาเป็นรายได้หลักมากกว่าการหว่านขายไปเรื่อยๆ หรือถูกนำไปวางอยู่ด้านในสุดของร้านหนังสือที่คนซื้อแทบมองไม่เห็น 
 
ต่อประเด็นเศรษฐกิจที่น่าจะทำให้คนอ่านควักกระเป๋าซื้อหนังสือน้อยลงกว่าเดิม แต่จากที่เธอเคยคุยกับเจ้าของร้านหนังสือบางร้าน ทำให้เห็นว่ายอดขายนั้นขึ้นกับประเภทหนังสือมากกว่า อย่างหนังสือธรรมะจะขายดีขึ้น แต่หนังสือวรรณกรรมก็มีกลุ่มคนอ่านน้อยมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เธอเห็นว่าที่น่าตกใจแบบตลกร้าย คือ ยอดพิมพ์ตอนที่นักเขียน "ศรีบูรพา" ทำหนังสือสุภาพบุรุษคือ 2,000 เล่ม ซึ่งก็เกือบครึ่งศตวรรษมาแล้ว ตอนนี้เราก็ยังพิมพ์หนังสือด้วยยอดเท่านี้กันอยู่เลย 
 
นอกจากนี้ สิ่งที่สามารถทำคู่ขนานกันไปกับการขับเคลื่อนในระดับนโยบาย คือ การสร้างพื้นที่อื่นในบรรยากาศอื่นที่ต่างไป กิตติชัย งามชัยพิสิฐ ผู้เป็นต้นคิดงาน "เทศกาลหนังสือของนักอ่าน ครั้งที่ 1" ลองชักชวนนักอ่านมาร่วมทำซึ่งเขายอมรับว่าไม่ได้พุ่งไปไปที่รัฐหรือต้องการให้กระทบกับระบบใหญ่อย่างทันทีทันใด และไม่ใช่ว่าทุกคนในโลกต้องชอบหนังสือ คนไม่อ่านหนังสือมากนักก็อาจจะมีชีวิตที่ดีได้ แต่เขายังอยากสร้างบรรยากาศของการอ่านให้เกิดขึ้น เป็นตลาดของนักอ่านกับนักอ่านกันเอง 
 
 
"พื้นที่แบบนี้ทำให้คนอ่านสร้างบรรยากาศการพูดคุยกัน แลกเปลี่ยนถกเถียง เป็นการพบระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภค ผมเชื่อว่าอำนาจนักอ่านคนหนึ่ง มีพลังทำให้อีกคนอ่านด้วยได้ อย่างผมเองก็เริ่มสร้างบรรยากาศแบบนี้ในออฟฟิศ ในภาคสังคมผมว่ามันจะขยายตัวในอนาคตได้แน่ๆ แต่จะเคลื่อนตัวได้ทันความรวดเร็วของธุรกิจหรือเปล่า" 
 
จะเคลื่อนตัวได้ทันความรวดเร็วของธุรกิจหรือเปล่า หรือจะสร้างกลไกอะไรที่สามารถสร้างสมดุลทางธุรกิจให้เกิดต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ นักอ่าน นักเขียน สำนักพิมพ์ ร้านหนังสือ ฯลฯ ถึงแม้จะเป็นธุรกิจแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นธรรมไม่ได้เลย และเราในฐานะผู้อ่านก็น่าจะได้เริ่มจากการอ่านหนังสือที่อยากอ่านจริงๆ ไม่ใช่เพราะโปรโมชั่นล่อตา กระแสรอบข้างล่อใจ รวมทั้งการขับเคลื่อนเพื่อเปลี่ยนแปลงในระบบ ทั้งด้านกฎหมาย การออกนโยบายที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ ยังเป็นเรื่องสำคัญ 
 
เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นเหตุปัจจัยหนึ่งต่อปัญหาทางธุรกิจหนังสือและวัฒนธรรมการอ่านของไทยที่ปรากฏเวลานี้นั่นเอง 
 
 
โดย : นางนวล 
Life Style : Read & Write 
วันที่ 23 กรกฎาคม 2552 
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ