Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

อาเธอร์ โชเปนฮาวเออร์ : ว่าด้วยภาษาและถ้อยคำ

 

 
 
ถ้อยคำคือสาระที่ยืนยงที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เมื่อใดที่กวีผู้หนึ่งดักเก็บความรู้สึกวูบไหวที่สุดเอาไว้ในถ้อยคำที่เหมาะสมที่สุดได้ เมื่อนั้น อารมณ์ที่กลายร่างเป็นถ้อยคำจะคงอยู่ต่อไปนับพันปี และจะเบ่งบานขึ้นใหม่ทุกครั้งในใจผู้อ่านที่ละเอียดอ่อนทุกคน… 
 
ใช่ว่าทุกถ้อยคำในภาษาหนึ่งมีคำแปลที่เทียบเท่ากันได้อย่างแท้จริงในอีกภาษาหนึ่ง เพราะฉะนั้น ใช่ว่าทุกมโนทัศน์ที่แสดงออกผ่านถ้อยคำในภาษาหนึ่งจะเป็นคู่แฝดกับมโนทัศน์ที่แสดงออกผ่านถ้อยคำในอีกภาษาหนึ่งได้… 
 
บางครั้ง ในบางภาษาก็ขาดถ้อยคำที่ใช้แทนมโนทัศน์บางอย่าง แม้ว่ามโนทัศน์นั้นอาจมีอยู่ในภาษาอื่น ๆ เกือบทุกภาษาก็ตาม ตัวอย่างที่ชอบอ้างกันบ่อย ๆ จนเฝือก็คือ การที่ภาษาฝรั่งเศสไม่มีคำที่เทียบเท่ากับคำว่า "to stand" ในอีกด้านหนึ่ง มีบางมโนทัศน์ที่มีถ้อยคำสำหรับแสดงออกอยู่ในภาษาใดภาษาหนึ่งเท่านั้น แล้วภาษาอื่น ๆ จึงรับไปใช้ตามบ้าง… 
 
มีบ้างเหมือนกันที่ภาษาต่างประเทศภาษาหนึ่ง ทำให้เราได้รู้จักมโนทัศน์ที่ผิดแผกออกไปเล็กน้อย ซึ่งไม่มีถ้อยคำที่แสดงออกได้เที่ยงตรงในภาษาของเรา เมื่อเป็นเช่นนั้น ใครก็ตามที่ใส่ใจถี่ถ้วนในการเสนอความคิดอย่างถูกต้องเที่ยงตรง ย่อมนำคำภาษาต่างประเทศคำนั้นมาใช้โดยตรง โดยไม่แยแสเสียงโวยวายของนักอนุรักษ์ภาษาเถรตรงทั้งหลาย 
 
ในทุกกรณีที่ถ้อยคำบางคำไม่สามารถหาคำคู่แฝดในอีกภาษาหนึ่ง ที่ให้มโนทัศน์เหมือนกันสนิทได้ พจนานุกรมจะเสนอคำพ้องหรือคำที่มีความหมายใกล้เคียงหลาย ๆ คำ ทุกคำกินความหมายของมโนทัศน์นั้น แต่ก็ไม่ถูกเผงเสียทีเดียว มันเพียงแต่ชี้ให้เห็นพรมแดนของความหมายที่ขีดเส้นอาณาเขตที่มโนทัศน์นั้นจะเคลื่อนไหวครอบคลุมได้… นี่คือสาเหตุที่การแปลย่อมมีความบกพร่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 
 
ยากยิ่งที่ประโยคที่มีลักษณะเฉพาะ กระชับและมีนัยสำคัญ จะโยกย้ายถ่ายโอนจากภาษาหนึ่งไปสู่อีกภาษาหนึ่ง จนสามารถสร้างผลลัพธ์ที่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิงในภาษาใหม่ แม้กระทั่งในประเภทร้อยแก้ว การแปลที่ใกล้เคียงความสมบูรณ์ที่สุด อย่างดีก็แค่เชื่อมโยงกับต้นฉบับในแบบเดียวกับที่บทประพันธ์ดนตรีท่อนหนึ่ง เชื่อมโยงกับการนำมาบรรเลงในอีกบันไดเสียงหนึ่ง นักดนตรีย่อมเข้าใจเรื่องนี้ดี 
 
งานแปลทุกชิ้น ถ้าไม่ตายซากและใช้ลีลาสำนวนที่เค้น แข็งกระด้างและไม่เป็นธรรมชาติ มันก็ต้องสลัดตัวเองให้หลุดจากข้อจำกัดของการยึดติดกับภาษา และพอใจแค่ความหมายในแบบ ? peu pr?s ซึ่งฟังผิดไปจากเดิม ห้องสมุดงานแปลก็คล้ายกับห้องแสดงศิลปะที่มีแต่ภาพวาดที่เอามาพิมพ์ซ้ำ ดูอย่างการแปลงานประพันธ์ของนักเขียนสมัยโบราณสิ: มันเป็นได้แค่ของเลียนแบบชัด ๆ ไม่ต่างจากรากชิโครีคั่วที่ใช้ชงแทนกาแฟ กวีนิพนธ์นั้นแปลไม่ได้ ทำได้แค่เรียบเรียงใหม่ กระนั้นก็ยังกระโดกกระเดกเสมอ 
 
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเราเรียนรู้ภาษาใหม่ ปัญหาหลักจึงอยู่ที่การทำความเข้าใจมโนทัศน์ที่ภาษาต่างประเทศนั้นมีถ้อยคำแสดง แต่ในภาษาของเราหามีคำเทียบเท่าที่เที่ยงตรงไม่—ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น ดังนั้น ในการเรียนภาษาต่างประเทศ เราจึงต้องทำแผนที่สำรวจมโนทัศน์ใหม่ ๆ หลายประการซึ่งไม่เคยมีอยู่มาก่อนขึ้นมาในดวงความคิดของเรา ผลที่ตามมาก็คือ เราไม่เพียงเรียนรู้ถ้อยคำ แต่ยังได้มโนทัศน์มาด้วย 
 
นี่ยิ่งเป็นความจริงในการเรียนภาษายุคคลาสสิก เนื่องจากคนโบราณมีวิธีสื่อสารแตกต่างไปจากภาษาของเรามาก มากยิ่งกว่าที่ภาษาสมัยใหม่แตกต่างจากกันและกัน ประเด็นนี้ชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุดเมื่อต้องแปลไปเป็นภาษาละติน เราต้องใช้วิธีสื่อความหมายที่แตกต่างจากต้นฉบับโดยสิ้นเชิง อันที่จริง ความคิดต่าง ๆ ที่ต้องการโอนถ่ายไปเป็นภาษาละตินจะต้องนำมาจัดองค์ประกอบและขึ้นรูปใหม่ทั้งหมด เราต้องนำความคิดมาแตกย่อยเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สุด แล้วนำมาจัดขึ้นรูปเป็นภาษาใหม่ ด้วยกระบวนการเช่นนี้ ที่จิตจะได้ประโยชน์อย่างยิ่งยวดจากการเรียนภาษาโบราณ 
 
เราสามารถหยั่งซึ้งถึงจิตวิญญาณของภาษาที่ต้องการเรียน ก็ต่อเมื่อยึดกุมมโนทัศน์ที่ภาษานั้นบ่งชี้ผ่านถ้อยคำแต่ละคำได้อย่างถูกต้องแล้ว รวมทั้งสามารถเชื่อมโยงคำแต่ละคำเข้ากับมโนทัศน์ที่สอดรับในภาษาต่างประเทศได้ทันที เราไม่มีทางยึดกุมจิตวิญญาณของภาษาต่างชาติได้ ถ้าเราแปลแต่ละคำเป็นภาษาแม่ของเราก่อน แล้วเชื่อมโยงคำเข้ากับมโนทัศน์ที่ใกล้เคียงในภาษาของเรา —ซึ่งมักไม่ตรงกับมโนทัศน์ในภาษาต้นทาง— เมื่อทำเช่นเดียวกันกับทั้งประโยค ผลลัพธ์ก็ออกมาไม่แตกต่างกัน 
 
หากคน ๆ หนึ่งยึดกุมจิตวิญญาณของภาษาต่างประเทศได้มั่นเหมาะ คน ๆ นั้นย่อมก้าวกระโดดก้าวใหญ่ เข้าสู่ความเข้าใจในชนชาติที่พูดภาษานั้น เพราะดังเช่นบุคลิกย่อมเชื่อมโยงกับจิตของปัจเจกบุคคลฉันใด ภาษาย่อมเชื่อมโยงกับจิตของชนชาติฉันนั้น ความเป็นนายเหนือภาษาอื่นอย่างสมบูรณ์เกิดขึ้นเมื่อคน ๆ นั้นไม่เพียงสามารถแปลหนังสือ แต่สามารถแปลตัวเองเข้าไปอยู่ในภาษาอื่น ทั้งที่ไม่ได้สูญเสียปัจเจกภาพของตัวเองไป ก็ยังสามารถสื่อสารในภาษานั้นได้ทันที และสร้างความพอใจให้แก่ชาวต่างชาติได้เท่า ๆ กับเพื่อนร่วมชาติของตน 
 
คนที่มีความสามารถทางปัญญาจำกัด จะเชี่ยวชาญในภาษาต่างชาติได้ไม่ง่ายนัก คนประเภทนี้เรียนรู้ถ้อยคำได้ก็จริง แต่พวกเขาใช้ถ้อยคำเพียงแค่ในความหมายที่เทียบเคียงอย่างหยาบ ๆ กับภาษาแม่ของตนเท่านั้น และยังคงใช้วิธีสื่อความหมายและประโยคที่ผูกติดอยู่กับภาษาแม่เสมอ ไม่สามารถบรรลุถึง "จิตวิญญาณ" ของภาษาต่างชาติได้ 
 
เรื่องนี้อธิบายได้จากความจริงที่ว่า การคิดของคนประเภทนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากสารัตถะในตัวเอง แต่ส่วนใหญ่เป็นการหยิบยืมมาจากภาษาแม่ โดยหยิบเอาสำนวนและการสื่อความหมายในขณะนั้นมาใช้แทนความคิดของตน ดังนั้น พวกเขาจึงรู้จักแต่สำนวนการพูดที่ใช้กันจนเกร่อ (วลีคร่ำครึ phrases banales) ในภาษาของตน แล้วจับมาผสมรวมกันอย่างขัดเขิน จนรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาเข้าใจความหมายที่ตัวเองกำลังพูดเพียงพร่องแพร่ง และการคิดทั้งหมดของพวกเขามีเกินกว่าแค่การรู้จักพูดจาเพียงเล็กน้อย ไม่ต่างจากการพูดอย่างไร้ความคิดของนกแก้วนกขุนทองสักเท่าไร 
 
ในทางตรงกันข้าม หากคน ๆ หนึ่งสามารถสร้างความแปลกใหม่ในการสื่อความหมายและรู้จักใช้รูปแบบเฉพาะตัวที่เหมาะสม นั่นย่อมเป็นข้อบ่งชี้ถึงจิตที่เหนือกว่าอย่างไม่มีทางผิดพลาดไปได้ 
 
จากทั้งหมดที่พรรณนามาข้างต้น เห็นได้ชัดว่ามโนทัศน์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เพื่อให้ความหมายแก่สัญญะใหม่ ๆ ยิ่งกว่านั้นยังเห็นชัดด้วยว่า มโนทัศน์ต่าง ๆ ที่รวมกัน ใช้อธิบายถึงมโนทัศน์ที่ใหญ่กว่าและคลุมเครือกว่า เนื่องจากมีคำเพียงคำเดียวที่ใช้แทนมันได้ ก็ยังสามารถขัดเกลาโดยเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่าง และความเชื่อมโยงที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนจะถูกค้นพบ เพราะภาษาต่างชาติย่อมสื่อถึงมโนทัศน์โดยอาศัยภาษาภาพพจน์หรือการอุปมาอุปไมยที่มีอยู่ดั้งเดิมในภาษานั้น ดังนั้น ความใกล้เคียง ความคล้ายคลึง ความแตกต่าง และความสัมพันธ์ที่มีอยู่นับไม่ถ้วนระหว่างวัตถุต่าง ๆ จึงผุดขึ้นมาอยู่ในระดับของจิตสำนึก โดยเป็นผลพวงมาจากการเรียนภาษาใหม่ และทำให้เราประจักษ์ถึงมุมมองหลายชั้นหลายเชิงของปรากฏการณ์ทั้งหมด 
 
นี่เป็นการยืนยันว่า คนเราคิดแตกต่างกันไปในทุกภาษา การคิดของเรามีการปรับเปลี่ยนและถูกปรุงแต่งใหม่ในระหว่างการเรียนรู้ภาษาต่างชาติแต่ละภาษา และการรู้หลายภาษา นอกจากข้อได้เปรียบที่เห็นชัด ๆ มากมายแล้ว ยังเป็นวิธีการให้ความรู้แก่จิตโดยตรง แก้ไขและปรับปรุงการรับรู้ของเราให้สมบูรณ์ขึ้น โดยอาศัยความหลากหลายที่ปรากฏให้เห็นและการขัดเกลามโนทัศน์ 
 
ในขณะเดียวกัน การรู้หลายภาษาช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้การคิด เพราะโดยกระบวนการเรียนรู้หลาย ๆ ภาษา มโนทัศน์จะแยกขาดออกจากถ้อยคำมากขึ้นเรื่อย ๆ การเรียนภาษาในยุคคลาสสิกยิ่งส่งผลในด้านนี้มากกว่าภาษาสมัยใหม่ เพราะมันแตกต่างไปจากภาษาของเรา ความแตกต่างนี้ไม่เหลือที่ให้กับการแปลแบบคำต่อคำ แต่บังคับให้เราแตกแยกย่อยความคิดทั้งหมดและประกอบมันขึ้นมาใหม่ในรูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิม หรือ (หากจะขอนำการเปรียบเทียบในวิชาเคมีมาใช้) 
 
ขณะที่การแปลภาษาสมัยใหม่ภาษาหนึ่งไปเป็นภาษาสมัยใหม่อีกภาษาหนึ่ง เราเพียงแต่แตกประโยคที่ต้องการแปลออกเป็นองค์ประกอบย่อย แล้วจับมันมารวมกันใหม่ ส่วนการแปลเป็นภาษาละตินมักจะต้องแยกย่อยประโยคออกเป็นองค์ประกอบที่พื้นฐานที่สุดอย่างละเอียด (นั่นคือ เนื้อหาทางความคิดล้วน ๆ) แล้วจึงนำมาสร้างเป็นประโยคขึ้นใหม่ในรูปแบบที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง 
 
ดังนั้น บ่อยครั้งที่คำนามในข้อความของภาษาหนึ่งต้องย้ายไปเป็นคำกริยาในอีกภาษาหนึ่ง หรือไม่ก็กลับกัน ยังมีตัวอย่างอื่น ๆ อีกมาก กระบวนการแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นเช่นกัน เมื่อเราแปลภาษายุคคลาสสิกเป็นภาษาสมัยใหม่ มันจึงช่วยเผยให้เห็นถึงระยะห่างของความสัมพันธ์ที่เรามีกับนักประพันธ์ในยุคคลาสสิก โดยอาศัยการแปลนั่นเอง… 
 
Arthur Schopenhauer : On Language and Words (13) 
แปลเป็นภาษาอังกฤษโดย Peter Mollenhauer 
บทความ: มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน http://www.midnightuniv.org 
กลางวันคือการเริ่มต้นเดินทางไปสู่ความมืด ส่วนกลางคืนคือจุดเริ่มต้นไปสู่ความสว่าง- เที่ยงวันคือจุดที่สว่างสุดแต่จะมืดลง เที่ยงคืนคือจุดที่มืดสุดแต่จะสว่างขึ้น