Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

อารมณ์ลึก ปรารถนาล้ำ – ฮารูกิ มูราคามิ

 

 

ในวงวรรณกรรมญี่ปุ่น เขาได้ชื่อว่าเป็นจักรพรรดิคนล่าสุด งานเขียนแนวละเลียดอารมณ์ของเขาเข้าถึงคนหนุ่มสาวทั่วโลก ตัวหนังสือมากมายสร้างความสะเทือนไหว บางครั้งให้ความรู้สึกเศร้าจนต้องนั่งร้องไห้อย่างเงียบงัน บางครั้งเขาทำให้เราต้องนั่งคิดครุ่นเพื่อค้นหาความหมายที่ซ่อนเร้นในความคลุมเครือมิอาจปฏิเสธ นักเขียนไทยบางคนพยายามเป็น ฮารูกิ มูราคามิ คนที่สอง หากถามว่านักเขียนผู้ใดมีอิทธิพลต่อนักเขียนรุ่นใหม่มากที่สุด เราคงไม่ผิดหวังที่จะได้เห็นชื่อของเขา เมื่อพลิกเปิดนวนิยายและเรื่องสั้นไทยหลายเรื่อง เราสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมูราคามิ นักเขียนเหล่านั้นได้อบร่ำตัวเองด้วยกลิ่นเช่นนั้นมันคือกลิ่นของความร่วมสมัย

หลายปีที่ผ่านมา นวนิยายของมูราคามิ ได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น สลับลมขับขาน, พินบอล 1973, แกะรอย แกะดาว, ด้วยรัก ความตาย และหัวใจ

สลาย, เริงระบำแดนสนธยา, บันทึกนกไขลาน, การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก และ

อีกมากมาย จนคนส่วนใหญ่คุ้นกับความเป็นมือนวนิยายของเขา แต่ในความเป็นจริง มูราคามิเขียนเรื่องสั้นไว้ไม่น้อย และล่าสุด เรื่องสั้นเหล่านี้ได้ถูกแปลเป็นภาษาไทยแล้ว โดยกลุ่มคนที่ประกาศตัวว่าเป็นแฟนมูราคามิ

“เส้นแสงที่สูญหาย เราร้องไห้เงียบงัน” หรือ Firefly, Barn Burning and other Stories เป็นเรื่องสั้นชุดแรกในสำรับที่จะออกมา 3 เล่ม งานชุดนี้บรรจุเรื่องสั้นไว้ 5 เรื่อง ได้แก่ เส้นแสงที่สูญหาย เราร้องไห้เงียบงัน, มือเพลิง, คนแคระนักเต้น, หลับใหลในโลกเลือน และสามเรื่องเยอรมันฝันเพ้อ

สำหรับคนที่เป็นแฟนมูราคามิเหมือนกับนักแปลทั้งห้า คงสมใจกับเรื่องเหล่านี้ แต่สำหรับคนที่ไม่ใช่แฟน(ทำแทนไม่ได้)นี่คงเป็นโอกาสดีที่จะทำความรู้จักกับเขาจะว่าไปแล้ว เรื่องสั้นของมูราคามิมีลีลาที่ไม่ต่างจากนวนิยายเลย เขาวางโครงเรื่องไว้เพียงหลวมๆ แต่เต็มเหยียดกับการพรรณนาภาพ ซึ่งสะท้อนถึงอารมณ์ห้วงลึกของตัวละคร

พูดถึงตัวละคร เขามักเขียนถึงคนเดินดินธรรมดา ทว่าคนเหล่านี้กลับมีบุคลิกบางอย่างที่สะกิดให้เราสนใจ ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มผู้รักความสะอาดและชอบออกกำลังกายยามเช้าใน “เส้นแสงที่สูญหายฯ”, ชายหนุ่ม(อีกคน)ผู้รู้สึกสนุกกับการเผาโรงนา และวางแผนที่จะวางเพลิงให้เป็นกิจวัตรใน “มือเพลิง”, บรรดาคนงานในโรงงานผลิตช้างใน “คนแคระนักเต้น”, เด็กหนุ่มผู้หูเสียไปข้างหนึ่งเพราะอุบัติเหตุใน “หลับใหลในโลกเลือน” เป็นต้น

ที่เด่นชัดก็คือ ตัวละครของเขาไม่เคยมีใครสมบูรณ์แบบ ทั้งด้านร่างกายและอารมณ์ พวกเขามักอาศัยอยู่บนโลกเก่าๆ ที่ดูน่าเบื่อ ใช้ชีวิตอย่างซ้ำซากจำเจ มีสิ่งที่โปรดปรานเพียงไม่กี่อย่าง แต่ละวันคล้ายย่ำเท้าอยู่กับที่ วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า ตามลำพัง เงียบเหงา เสมือนโลกปราศจากสิ่งมีชีวิตอื่นแต่แล้ววันคืนเดิมๆ ก็เปลี่ยนไปเมื่อมีจุดเปลี่ยนเล็กๆ ปรากฏขึ้น โดยมากมักเป็นความสัมพันธ์ที่โผล่เข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ผู้หญิงหรือผู้ชาย รวมทั้งสัมพันธภาพที่เกิดขึ้นในความฝัน

ใน “เส้นแสงที่สูญหายฯ” ชายหนุ่มได้พบกับหญิงสาว อดีตคนรักของเพื่อนสนิท เธอ เขา และเพื่อนคนนั้นเคยคลุกคลีกันอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเพื่อนเสียชีวิตลง การได้พบกันอีกครั้งโดยบังเอิญ นำมาสู่การเติมช่วงเวลาอันหงอยเหงาของกันและกัน แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อความสัมพันธ์เริ่มสุกงอม เขาและเธอร่วมหลับนอนกัน และนี่เองคือจุดที่เรื่องราวปิดฉากลงเธอหายไปจากชีวิตเขา มีเพียงจดหมายฉบับเดียวส่งมาถึง

เรื่องเล่าของมูราคามิมักเป็นแบบนี้ ไม่ได้มีเหตุผลหรือที่มาที่ไปอะไรมากมาย แต่ถ้าพิจารณาดีๆ เราจะเห็นถึงเหตุผลในความไร้เหตุผล คำพูดของตัวละครที่เอ่ยออกมาว่า “…ถ้าไม่รบกวนเกินไป เราพบกันอีกได้มั้ย ฉันรู้ว่าไม่มีเหตุผลอะไรพิเศษ…” (หน้า 26) แท้ที่จริงมีเหตุผลในตัวเองอยู่แล้ว นั่นก็คือความอ้างว้างแบบคนร่วมสมัย ที่ปรารถนาใครสักคนขจัดมันออกไป แม้ไม่อาจทำให้มันสลายไปได้ ทว่าเพียงบรรเทาเบาบางลงบ้างก็ยังดี การจากไปของหญิงสาวก็เช่นกัน ถ้าวันนั้นหลังการร่วมรัก เขาไม่ถามคำถามบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องจากคนรักเก่า (หรือ

เพื่อนรักของเขา) คนนั้น เธออาจไม่ก้าวเท้าออกไปจากชีวิตเขาก็ได้

อย่างไรก็ตาม ความคลุมเครือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งในงานวรรณกรรม พฤติกรรมของตัวละครในเรื่องสั้นชุดนี้ มีหลายอย่างที่ชวนฉงนฉงาย และทิ้งคำถามค้างคาอยู่ในใจ

แต่ในขณะเดียวกัน ระหว่างความฉงน ก็กลับมีความกระจ่างชัดควบคู่กันไปด้วย สิ่งหนึ่งที่ฉายชัดขึ้นมาก็คือ ด้านลึกของคนเรา ที่มีทั้งความละเอียดทางอารมณ์ และความมืดมิดที่ซ่อนเร้น

ใน “มือเพลิง” เขาชี้ให้เราพินิจถึงจิตใจที่มุ่งทำลายล้าง การเผาทำลายโรงนาในเรื่องนี้มีนัยที่น่าครุ่นคิด โรงนาที่ชายหนุ่มมุ่งหวังให้ถูกเผา แต่จนแล้วจนรอดมันก็ยังตั้งอยู่อย่างปลอดภัย สะท้อนถึงแรงปรารถนาด้านมืดของคนเรา สุดท้ายสิ่งที่ถูกเผาไม่ใช่โรงนา หากแต่เป็นจิตใจของคนคนนั้นนั่นเองเช่นเดียวกับใน “คนแคระนักเต้น” ที่เขย่าเราให้มองความจริง ว่าความลุ่มหลงในกามารมณ์ ทำให้คนมากมายยอมทำทุกอย่าง แม้กระทั่งเอาชีวิตเข้าแลก เรื่องสั้นเรื่องนี้ยังเสียดเย้ยโลกยุคอุตสาหกรรม ที่ทำสิ่งยิ่งใหญ่และซับซ้อนได้อย่างไม่น่าเชื่อ การสร้างช้างขึ้นมาด้วยระบบโรงงานเป็นสัญลักษณ์บอกว่า ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ ทว่าถึงที่สุดแล้ว สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ยังไม่อาจเอาชนะ ก็คือจิตใจตัวเอง

เรื่องที่มูราคามิเขียนได้สาแก่ใจผู้อ่านมากที่สุดคือ “สามเรื่องเยอรมันฝันเพ้อ” เขาซอยเรื่องสั้นนี้ออกเป็นเรื่องย่อยๆ สามเรื่อง โดยเล่าถึงสถานที่สามแห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ในฤดูหนาว, ป้อมปราการยุคสงครามโลก และสวนกลางอากาศ ทั้งสามสถานที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจ แต่เมื่ออ่านจบ มันก็ทำให้เราเกิดปัญญาว่า การสร้างสรรค์บางอย่างของมนุษย์ช่างงี่เง่าไร้สาระ และหลงตัวเองอย่างน่าขัน เรื่องเหล่านี้สะท้อนสันดานของมนุษย์ ด้วยน้ำเสียงเสียดเย้ยให้ได้อาย

จุดเด่นในงานเรื่องสั้นของมูราคามิก็คือ มันเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เขาได้ทดลองเขียนอะไรแปลกๆ และแตกต่างไปบ้างเหมือนเป็นการเอกเซอร์ไซส์ทางการเขียน ก่อนที่จะลงสนามจริงกับนวนิยาย บางเรื่องยังเป็นเหมือนแบบร่างก่อนที่จะนำไปขยายเป็นนวนิยายให้อ่านกันเต็มๆ

แม้โดยส่วนตัว เรื่องสั้นเหล่านี้จะไม่จุใจเหมือนนวนิยายของเขา เพราะดูเหมือนเขาเองก็ไม่ได้เต็มที่กับมันนัก แต่อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นอาหารว่างที่เอร็ดอร่อยไม่น้อยทีเดียว

สำหรับมูราคามิมาเนียทั้งหลาย คงต้องบอกว่าห้ามพลาด แต่สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มอ่าน อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเขามีดีแค่นี้เพราะถ้าได้อ่านเล่มอื่นๆ ของเขา จะรู้ว่าเขายังมีดีอีกเยอะ

 

 

โพสตทูเดย์ – Post Today (http://www.posttoday.com) 
9  พฤษภาคม พ.ศ. 2552 01:25 น.