มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

อาชีพรับจ้างทั่วไป ของ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล

 

 
"ตกลงจะเป็นดาราจริงๆ แล้วใช่ไหม" คือคำถามแรกที่ทำให้ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล หลุดหัวเราะออกมา ระหว่างให้สัมภาษณ์โปรโมทหนัง 
 
เขาลุยเดี่ยวมาโปรโมทหนัง "อินทรีแดง" คนเดียว เพราะเช็คคิวแล้ว ว่างมากที่สุด อนันดาติดคิวหนังอีกเรื่อง ส่วนญารินดาก็ยังอยู่เมืองนอก "หมวดชาติ" เลยต้องเดินสายเหนื่อย 
 
ประเสริฐกุลคนเล็กไม่มีหมกเม็ดว่าก่อนหน้านี้ บทหมวดชาติถูกส่งไปให้ บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ แต่ไปๆ มาๆ บทก็มาหล่นใส่มือเขา ซึ่งถูกผู้กำกับเรียกเข้าไปแคสต์เป็นคนสุดท้าย และอาจจะพูดได้ว่านี่คือ หนังเรื่องแรกของเขา 
 
"จีทีเอช ก็เคยชวนไปแคสหลายเรื่องเหมือนกัน แต่ก็ไม่เห็นเคยได้เล่นเลย (หัวเราะ)" 
 
ถ้าเป็นนักแสดงทั่วๆ ไป อาจจะไม่ตอบแบบเปิดเผยอย่างนี้ แต่นี่คือวรรณสิงห์ ผู้ชายวัย 26 ปี ที่มีความสุขกับการทำอะไรทีละหลายๆ อย่าง ทั้งนักดนตรี (วงราโชมอน) นักเขียน พิธีกร นักธุรกิจเพื่อสังคม และล่าสุด…นักแสดง 
 
พูดแบบชาวบ้านๆ เขาอาจจะจับปลาหลายมือ แต่ "เอาอยู่" ในทุกๆ มือเพราะเขาตั้งใจทำ ในงานที่เขาเรียกรวมๆ ว่า "รับจ้างทั่วไป" 
 
 
ตอนนี้ยังไม่อยากเจาะจงว่าตัวเองจะเป็นอะไร 
 
เป็นทุกอย่างเลยก็ได้ ถ้าทำแล้วมันไม่ถึงขั้นห่วยสักอัน ผมก็ทำไปเรื่อยๆ แต่ถ้าวันดีคืนดี ทำแล้วสมาธิมันกระจายเกินไป หรือทำอะไรออกมาห่วย อาจจะต้องตัดบางอย่างทิ้งไป ให้ทุกอย่างที่ทำออกมาโอเคให้ได้ 
 
แล้วไม่อยากทำให้มันดีไปสักอย่างเลยเหรอ 
 
ก็มีบางคนที่บอกอย่างนั้น แต่อย่างผมถ้ามีโอกาสได้ทำทุกอย่างแล้วทำไมไม่ทำซะทุกอย่างเลยล่ะ ก็เป็นการใช้ชีวิตที่ต่างกันไปครับ ทำออกมาหลายๆ อย่างผมก็ได้รับคำชม และผมก็ตั้งใจทำทุกอย่าง เพราะทุกอย่างที่ทำก็ชอบหมด ตั้งใจทำทุกอย่างที่ชอบ เลยสนุกกับมันด้วย หาเงินได้ด้วยและได้พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ 
 
 
ถ้าต้องเลือกอย่างเดียวจริงๆ ก็ต้องเลือกไป แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเกิดมามีโอกาสเยอะกว่าคนอื่นเขา ตระหนักได้ถึงตรงนี้ไม่ได้หลงตัวเอง ไม่ได้คิดว่าฉันนี่ เจ๋งจริงๆ สร้างตัวเองมาได้จากศูนย์ ก็รู้ดีว่าฟ้าดินก็มีผลเยอะเหมือนกัน แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องฝืนโชคชะตาก็ได้ ถ้าอยู่ดีๆ เขายื่นโอกาสมาให้เราเยอะๆ ก็รับไว้ 
 
มันยังไม่ถึงเวลาที่เราต้องเลือกด้วยใช่ไหม 
 
อืม แต่ก่อนผมก็เคยมีไดเลมมาว่า ชีวิตนี้เราต้องทำอะไรที่เราไม่ชอบบ้างไหมเพื่อให้รู้สึกว่าทำงานแล้ว เราต้องไปเข้าบริษัทไหม ต้องทำงานประจำไหม ตอนแรกก็เคยลอง สุดท้ายก็ตระหนักว่ามันก็ไม่จำเป็น ชีวิตสั้นแค่นี้ เราจะมาไขว่คว้าหาความมั่นคงทำไม เพียงเพื่อให้รู้ว่าเราเป็นสมาชิกที่ถูกต้องของสังคมแล้วหรือ เราอยากทำอะไรเราก็ทำ ขณะเดียวกันก็คืนให้สังคมด้วยวิธีการที่เราเชื่อและคิดว่ามันน่าจะมีผลจริงๆ คืองานใน change fusion 
 
คิดอย่างนี้ได้ เราต้องมีความมั่นคงเป็นทุนเดิมอยู่พอสมควร? 
 
ในเรื่องการเงิน ผมก็ไม่ได้รวยอะไรและก็ไม่ได้จนอะไร อยู่ได้ทุกวัน ไม่ได้คิดว่าอีก 5 ปีจะมีตังค์ใช้ คิดแค่ว่าพรุ่งนี้จะมีข้าวกินมั้ย ก็โอเคแล้ว ไม่ซื้อประกัน รถก็ไม่มีประกัน ไม่ใช่เป็นคนที่รับความเสี่ยงได้เยอะนะครับ เรียกกว่าเป็นคนไม่ค่อยแคร์ความเสี่ยงเท่าไหร่มากกว่า ความเสี่ยงมันทำให้คนวอรี่ วอรี่ปุ๊บก็ต้องหาอะไรมาจัดการ ผมไม่เคยมีความวอรี่เหล่านั้นเข้ามาในหัวเท่าไหร่ ไม่ได้รู้สึกว่าต้องดิ้นรนไปจัดการเท่าไหร่ 
 
คิดอีกทาง เราเองก็ไม่เชื่อในหลักประกันทั้งหลายด้วย? 
 
อย่าเรียกว่าไม่เชื่อเลย เรียกว่าไม่จำเป็นสำหรับเราจะดีกว่า เพราะเราไม่รู้สึกว่าต้องไปไขว่คว้าหาตรงนั้น บางคนรู้สึกไม่มั่นคงก็ต้องไปไขว่คว้าหาตรงนั้น ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมมั่นคง ผมแค่คิดว่าความไม่มั่นคงมันเป็นตัวแปรคงที่ ยังไงมันก็ไม่มั่นคงอยู่แล้ว ซื้อประกันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะมั่นคงเท่าไหร่ ผมเคยรถคว่ำเกือบตายไปรอบหนึ่งก็รู้สึกว่า เดี๋ยวมันก็ตายแล้วแหละ จะอะไรมากมาย อยากทำอะไรรีบทำเห๊อะ (เสียงสูง) 
 
อย่างนั้นความมั่นคงของคุณคืออะไร 
 
ถ้าจะมีความไม่มั่นคงอย่างหนึ่งในชีวิตของผม คือความกลัวการไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำ การปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ โดยที่ไม่ได้ทำอะไร อาจจะเรียกว่าความมั่นคงในการก้าวเดินของชีวิตก็แล้วกัน สร้างที่ให้ตัวเองอยู่แล้วก็ก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ 
 
วางแผนไกลที่สุดแค่ไหน 
 
(หัวเราะ) อาทิตย์หน้า เอ๊ย ไม่ใช่ ดูในตารางงานตอนนี้ก็ประมาณเดือนพฤศจิกายน หลังจากนั้นก็ไม่วางแผนอะไรเลย แต่เดี๋ยวคงไปเรียนต่อแหละครับ แต่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เรียนเมื่อไหร่ก็ได้ เรียนตอน 30 มันก็ไม่น่าเกลียดใช่มั๊ยครับ แต่งานพวกนี้มันทำตอนแก่ไม่ค่อยได้ด้วย ตอนแก่ๆ ผมก็ไม่มาเพลง เล่นหนังแล้ว ไปสนใจเรื่องอื่นดีกว่า 
ตอนนี้กำลังวิเคราะห์อยู่ว่า มีอะไรที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำบ้าง 
 
แล้วได้คำตอบไหม 
 
ยัง รู้สึกว่าได้ทำหมดแล้ว เลยอาจจะเปลี่ยนมาเป็น ทำสิ่งที่ทำอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น ก็อาจจะตัดบางสิ่งที่ไม่ได้รักมากเท่ากับสิ่งที่เหลือไป 
 
กับงานพิธีกร สารคดีพื้นที่ชีวิต 
 
ผมทำชุดแรก ชื่อชุดว่าสำรวจศรัทธา 13 ตอน เดินทางไปหลายประเทศมาก ล่าสุดเพิ่งกลับจากกัมพูชา แล้วสุดท้ายจะไปปิดที่สวนโมกข์ สุราษฏร์ 
 
 
ถ่ายเสร็จก็น่าจะหมดแล้ว ปีนี้ผมไม่ได้อยู่บ้านเลย เดินทางตลอดเวลา อยากอยู่กับที่บ้าง ตอนแรกที่ได้เดินทางสนุกมาก แต่ทุกอย่างย่อมมีจุดอิ่มตัวของมัน เลยกลายเป็นคนทำอะไรอย่างเดียวนานๆ ไม่ได้ จะเบื่อ 
 
ชื่อชุดสำรวจศรัทธา ก่อนหน้านั้นคุณสนใจในศาสนาหรือเรื่อง "ข้างใน" มากน้อยแค่ไหน 
 
จริงๆ ผมชอบเรื่องปรัชญา เรื่องที่เกี่ยวกับความคิดของคน เช่น ความหมายของชีวิต อารมณ์ต่างๆ มันมีผลต่อเรายังไง ควบคุมมันได้ยังไงบ้าง แต่ผมไม่เคยศึกษาศาสนาพุทธอย่างเป็นจริงเป็นจังมากนัก พิธีกรรมอะไรก็ไม่เคยยุ่ง ไม่เคยไปวัด 
 
แต่ถ้ามีช่องให้กรอก ก็เขียน "พุทธ" ลงในช่องศาสนา? 
 
นั่นก็คือ ไม่รู้จะกรอกอะไร แต่เรื่องความศรัทธาในพิธีกรรมก็ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ใช่ว่าแอนตี้ศาสนา แต่ก็ไม่ได้ศรัทธา 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เป็นคนที่สงสัยในสิ่งที่ศาสนาบอก ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ปฏิเสธคำตอบทั้งหมด 
 
 
ระหว่างทางก็ได้เข้าใจอะไรมากขึ้น ว่าสิ่งที่เราคิดก็ไม่ได้ต่างจากศาสนาพุทธมากนัก ยกตัวอย่างเวลาโกรธ น้อยใจ ผมจะมองตัวเองจากบุคคลที่สาม คือแทนที่จะโกรธและน้อยใจอย่างเดียว เราพยายามถอยห่างออกมาแล้วดูว่าเรากำลังเป็นอย่างนี้อยู่นะ ทำไมไอ้สิงห์ถึงเป็นแบบนี้ เหตุผลคืออะไร มันกำลังอ่อนแอเองหรือเกิดจากความผิดของคนอื่นจริงๆ ถ้าเราอ่อนแอเองเราจะควบคุมมันอย่างไรได้บ้าง แล้วพอได้คุยกับคนที่เชี่ยวชาญศาสนาจริงๆ เราก็ได้รู้ว่า จริงๆ แนวคิดเหล่านี้ก็ไม่ได้ต่างจากที่พระพุทธเจ้าสอนมากเท่าไหร่ 
 
ผมได้คุยกับคนทุกศาสนา ได้เข้าใจว่าศรัทธา เป็นเซ็ตใหญ่ แล้วศาสนาเป็นซับเซ็ตเล็กๆ อยู่ในศรัทธาอีกที และความเชื่อความศรัทธา ไม่ใช่ว่าผมไม่มี แต่แค่ไปตรงกับศาสนาพุทธบ้าง อิสลามบ้าง บางอย่างไม่ตรงกับศาสนาไหนเลยก็มี ก็เลือกหยิบกันมา ไม่ต้องหยิบทุกอัน 100 เปอร์เซ็นต์ก็ได้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งอธิบายบางอย่างว่ามันคืออะไร เราแค่รู้อยู่ของเราก็พอแล้ว 
 
 
คุณศรัทธาในอะไร 
 
นั่นแหละ มันเป็นสิ่งที่เราบอกไมได้ เรียกว่าเป็นยำความเชื่อ เช่น เรารู้ว่าปรัชญาของพุทธศาสนาน่าสนใจ แต่การหลุดพ้นคนเดียวมันพอแล้วเหรอ มันเห็นแก่ตัวหรือเปล่า การให้ก็สำคัญ ความรักก็สำคัญ ไม่ใช่ว่าจะหลุดพ้นไปคนเดียว แล้วหายไปเลยจากโลก 
 
ค่อนข้างไปในทางเดียวกับคุณพ่อ? 
 
คุณพ่อเขาสนใจในศาสนาพุทธ แต่ผมเองไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ อาจจะยังไม่ถึงเวลาก็ได้ ทุกวันนี้ยังไม่ปล่อยวาง ยังคงก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ไม่เคยบอกว่าพอแล้วเว้ย ยังสนุกกับชีวิตแบบนี้อยู่ ถึงวันหนึ่งอาจจะอยากอยู่กับที่ ค่อยว่ากันอีกที 
 
ในนาม change fusion ทำโครงการไอเดียประเทศไทย ต้องทำงานร่วมกับรัฐบาล มีถูกชวนไปทำงานการเมือง หรือในพรรคบ้างไหม 
 
มีครับ (ตอบทันที) แต่ผมไม่ อย่างหนึ่งที่ผมไม่ยุ่งเด็ดขาดคือการทำงานการเมือง เราไม่สนุกกับมัน ไม่สนุกเลย ทุกวันนี้แค่อยู่ตรงนี้ก็มีคนลากเข้าไปยุ่งกับการเมืองเยอะมากแล้ว ก็ไม่ค่อยอยากแล้ว เพราะสิ่งที่ผมสนใจจริงๆ คือสังคม ไม่ใช่การเมือง ผมสนใจว่าทำยังไงให้สังคมพัฒนาเป็นรูปธรรมได้บ้าง ส่วนการเมืองมีคนสนใจและมีความรู้เยอะอยู่แล้ว การเมืองไม่ใช่หน้าที่ผม ผมไม่ยุ่ง ผมทำส่วนที่ผมทำได้ 
 
ตอนนี้คิดว่าตัวเองดังหรือยัง 
 
(หัวเราะ) มันเป็นคำถามประเภทไหน เอ่อ.. ตอบยังไงดี(วะ) คิดว่ามีคนรู้จักอยู่บ้าง รู้ตัวว่าไม่ได้ดังถึงขั้นทุกคนต้องรู้จัก แต่ก็มีคนรู้จักพอที่จะสามารถชักจูงความคิดคนบางกลุ่มได้ รู้สึกทั้งรับผิดชอบ ขณะเดียวกันก็ใช้ประโยชน์จากจุดนี้ในการสร้างเรื่องใหม่ คิดเรื่องใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ 
 
ทำหลายอย่าง มีอะไรไหมที่คิดว่าต้องทำมันต่อไปอีกนาน 
 
เรื่องสังคม จะเป็นตัวแปรคงที่ในชีวิตผม และอาจจะเป็นหนังสือที่นานๆ จะเขียนที 
 
เรื่องสังคมคงจะทำเรื่อยๆ เปลี่ยนรูปได้ ไม่ยึดติด ผมเหลือที่ว่างให้การเปลี่ยนแปลงเสมอ ทุกวันนี้เลยไม่มีจุดยืนตายตัว ถ้ามีคนถามผมว่าจุดยืนคืออะไร ผมจะบอกว่าผมมีเส้นทางมากกว่า คือเดินไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ แล้วปล่อยให้มีการเปลี่ยนแปลงทางความคิดไปเรื่อยๆ ดีกว่า ดีกว่ามายึดว่าฉันเป็นคนแบบนี้ ฉันต้องคิดแบบนี้ 
 
เพราะหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในสังคม ผมก็เรียนรู้มากมาย จากนี้ไปผมก็ไม่คิดจะวิจารณ์ใครโดยไม่เข้าใจอีกต่อไปแล้ว คิดว่าจะเรียนรู้จากเขามากกว่าทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อยากศึกษามากกว่าที่จะไปวิจารณ์ 
 
 
 
โดย : ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ 
Life Style 
วันที่ 3 ตุลาคม 2553 
By : bangkokbiznews.com