อัศศิริ ธรรมโชติ นักเขียนเรื่องสั้นเงาสะท้อนสังคมไทย

บนถนนนักเขียนเรื่องสั้นของเมืองไทย อัศศิริ ธรรมโชติ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ เป็นผู้หนึ่งสร้างสรรค์ผลงานอันมีคุณค่าทางวรรณศิลป์อย่างต่อเนื่องมาตลอด 3 ทศวรรษ โดยเฉพาะรวมเรื่องสั้นชื่อ “ขุนทองเจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง” ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์แห่งอาเซียน (ซีไรท์) ปี พ.ศ. 2524 เป็นนักเขียนเรื่องสั้นของไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ “คนในวัฒนธรรม” นำเรื่องราวชีวิตและผลงานบางส่วนจากข้อมูลศิลปินแห่งชาติ National Artist เผยแพร่
อัศศิริ ธรรมโชติ เกิดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 เป็นชาวอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ช่วงการศึกษา เรียนที่โรงเรียนวังไกลกังวล โรงเรียนสาธุการ และ ม.ศ. 5 โรงเรียนผะดุงศิษย์พิทยา (พ.ศ.2511) ในรั้วมหาวิทยาลัยจบนิเทศศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2517)
ในช่วงที่ศึกษาอยู่รั้วจุฬาฯ อัศศิริได้เขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกเรื่อง “สำนึกของพ่อเฒ่า” เพื่อส่งเข้าประกวดวรรณกรรม “พลับพลามาลี” ของชุมนุมวรรณศิลป์ จุฬาฯ ได้รับรางวัลที่ 3 และไปพร้อมๆ กับการเขียนวิจารณ์ภาพยนตร์ โดยรวมกลุ่มกับ โดม สุขวงศ์ และเพื่อนๆ จัดทำหนังสือชื่อ “ฟิล์ม” และเมื่อเรียนจบแล้วก็ยังรวบรวมทุนทำนิตยสารรายสัปดาห์ “หนัง” ฉบับพิเศษแมงมุม (Spider Review) ปรากฏว่านิตยสาร “หนัง” ออกมาได้ฉบับเดียว ส่วน “แมงมุม” ออกได้ไม่กี่เดือนก็หมดทุน (ข้อมูลนักเขียนพี่เลี้ยง โครงการบ่มเพาะนักเขียนหน้าใหม่ – สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย, สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย)
ช่วงชีวิตการทำงาน เดินอยู่บนถนนสายอักษร นักหนังสือพิมพ์ ประชาชาติ สยามรัฐรายวัน – สัปดาหวิจารณ์ บีอาร์ มาตุภูมิ ทั้งเขียนบทเกี่ยวกับภาพยนตร์ ฯลฯ อย่างไรก็ดีในช่วงที่เป็นนักข่าวสยามรัฐเวลานั้น ทำคอลัมน์การเมืองและหน้าบันเทิง ใช้นามปากกา “ชะลอม” ซึ่งเอามาจากชื่อพี่ชาย ปัจจุบันเป็นนักเขียนคอลัมนิสต์ในสยามรัฐรายวัน – สัปดาหวิจารณ์
งานเขียนของเขา เรื่องสั้น นวนิยาย ความเรียง บทวิจารณ์ภาพยนตร์ ผลงานรวมเล่ม รวมเรื่องสั้น “ขุนทอง…เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง” “เหมือนทะเลมีเจ้าของ” “นักฟุตบอลบ้านนอก” “บ้านริมทะเล” “มหกรรมในท้องทุ่ง” “ทะเลร่ำลมโศก” เรื่องสั้นขนาดยาว “ขอบฟ้าทะเลกว้าง” “เด็ก ผู้หญิง คนแก่ แมว และผม” รวมบันทึกและความเรียง “หลายๆ ครั้งในชีวิต” “ทะเลและกาลเวลา” รวมบทความ “กวางดง หงส์บิน” ฯลฯ
อัศศิริ เป็นนักเขียนที่มีความสามารถเชิงวรรณศิลป์อย่างสูง มีศักยภาพในการใช้ภาษาอย่างละเมียดละไมงดงาม มีลีลาในเชิงพรรณนา ในเรื่องสั้นที่เขาเขียนราวกับบทกวี ด้วยความที่เป็นนักเขียนที่ใช้ข้อมูลและประสบการณ์จริงมาเป็นวัตถุดิบในงานเขียนของเขาจากความเป็นนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ และการลงพื้นที่ ประสมประสานกันเป็นข้อมูลสะสมทำให้เขาผลิตผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยเฉพาะงานเขียนค่อนไปทางผูกพันกับทะเล ซึ่งมาจากทุนเดิมของครอบครัวมีอาชีพประมงเรือตังเก
จิตใจของเขาเป็นคนอ่อนโยน มองโลกอย่างละเอียดอ่อนลึกซึ้งและบริสุทธิ์ใจ สะท้อนออกมาทางงานเขียนอันหลากหลายด้วยชั้นเชิงทางวรรณศิลป์ เขาเสนอคุณงามความดีของสรรพชีวิตด้วยมุมมองที่ลออละเอียดละเมียดละไมเพื่อความเข้าใจในสังคม
งานเขียนของอัศศิริ มิใช่เป็นเพียงหนังสืออ่านเล่นประเทืองอารมณ์เท่านั้น หากยังเป็นบันทึกปรากฏการณ์ของชีวิตและสังคมที่เผยให้เห็นความเป็นจริงโดยไม่ปรุงแต่ง ทำให้ผู้อ่านมีจิตใจอ่อนโยนปลุกปลอบให้เกิดกำลังใจ มีพลังที่จะเผชิญปัญหาต่างๆ อย่างไม่ระทดท้อรับรู้ความทุกข์ยากเดือดร้อนของเพื่อนร่วมสังคมด้วยความเห็นใจ
อย่างเรื่องสั้น “ทะเลร่ำลมโศก” เนื้อหาบางส่วนพรรณนา “เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ขณะที่เขากำลังกระโดดจากเรือลำหนึ่งไปอีก ลำหนึ่งที่มุ่งสู่เรือของเขาที่ลอยลำอยู่ไกลออกไป แว่วได้ยินเสียงเด็กที่คุ้นเคยฝ่าเสียงลมร้องเรียกเขา เมื่อหันมาก็พบว่าลำแขนเล็กๆ นั้นยื่นซองโทรเลขเลขส่งให้ "จากบ้านไต้ก๋ง มาถึงเดี๋ยวนี้แหละฮะ" เด็กน้อยว่าแล้วจากไป ปล่อยให้เขายืนเลาะกรอบกระดาษแก้วไหวลมมือสั่นโดยลำพัง คิดถึงแม่ที่บ้าน เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อรู้ข้อความในโทรเลข "โธ่เอ๋ย…แม่" เขาครางในใจ "ที่ดินกระเเบะมือเดียวจะขายได้สักเท่าไหร่" เขาพับซองโทรเลขยัดลงกระเป๋าเสื้อ เรือกำลังจะออกทะเลแล้วและลูกเรือรอเขาอยู่
ระหว่างที่เรือแหวกคลื่นท้องทะเลอันดามันที่เขียวดังมรกตลัดเลาะเกาะใหญ่น้อยอยู่ในยามบ่ายของวันที่ปราศจากแววสังหรณ์ใดๆ ซองโทรเลขฉบับนั้นทำให้เขานึกถึงแม่ผู้ชรา…”
อัศศิริ กล่าวถึงเรื่องสั้นนี้ (คำนำ) “เป็นงานรวมเล่มของผมในช่วงที่บ้านเมืองกำลังเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจ สังคมตื่นตัวอยู่กับตลาดหุ้น และราตาที่ดินที่มีราคาสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ชีวิตคนไทยทั้งในเมืองและชนบท ได้รับผลกระทบมากมายจากความมั่งคั่งจอมปลอม อย่างที่เรียกกันว่า "ฟองสบู่" เกิดภาพมายามากมาย ที่ทำให้ผู้คนใฝ่ฝัน สับสนและอลเวง อยู่ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงจากวิถีชีวิตดั่งเดิม
แผ่นดินแม่ถูกขายกลายเป็นที่ตั้งของโรงงาน โรงแรม สนามกอล์ฟ…แหล่งทรัพยากรธรรมชาติหลายแห่ง ทั้งบนบก และในน้ำ ถูกยื้อแย่งทำลาย…การเมืองเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร ที่เรียกวันว่า รสช. ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า พฤษภาทมิฬ ตามมา… บ้านเมืองทุกวันนี้มีหลายอย่างที่เปลี่ยนไปแล้ว…” (ข้อมูลศิลปินฯ National Artist)
เรื่องสั้น “ขุนทอง…เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง” เนื้อหาบางส่วน "ขุนทอง" ชื่อนี้สำหรับคนวัยกรี๊ดอาจจะฟังดูเชยๆ หรืออาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย แต่คนจำนวนมากก็รู้จัก "เจ้าขุนทอง" เป็นอย่างดีจากบทเพลงกล่อมเด็กจากบทกวี จากเรื่องสั้น ขุนทอง-ไม่ว่าจะอยู่ในเพลงกล่อมเด็ก บทกวีเรื่องสั้น เรื่องราวของเขากลายเป็นตำนานสืบทอดและต่อเนื่องจากอดีตถึงปัจจุบันยากจะลืมเลือน
อัศศิริ ถ่ายทอดความรู้สึก (คำนำ) “พูดถึง "เจ้าขุนทอง" หลายคนก็แว่วเสียงเพลง "วัดโบสถ์"ซึ่งคนภาคกลางร้องกล่อมลูกหลานมาหลายชั่วอายุคน ผมเขียนเรื่องสั้นทุกเรื่องด้วยความรู้สึกเหมือนเขียนหนังสือถึงเพื่อน ถึงญาติพี่น้องที่คุ้นเคยใกล้ชิด แน่นอนคนเหล่านี้เป็นชาวบ้านสามัญชนที่มีสถานะที่เสียเปรียบทั้งในทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศ ผมอยากคิด อยากพูด แทนพวกเขาบ้าง เขียนถึงเรื่องราวของพวกเขาในบางจังหวะของชีวิต เพื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ เข้าใจและเห็นใจ
พวกเขาเหล่านี้บางคน ผมได้มีโอกาสได้พบและรู้จักแถวหมู่บ้างกลางหุบเจาอันไกลโพ้น สมัยเมื่อมีหน้าที่เป็นทางการในการออกไปสำรวจหมู่บ้านในทางจังหวัดของภาคอีสาน บางคนก็ได้พบกันด้วยความบังเอิญในช่วงเวลาอันสั้นของชีวิตประจำวันแล้วก็ผ่านไป แต่บางคนเป็นเพื่อนที่เคยวิ่งเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เรายังเป็นเด็ก เราต่างเป็นลูกชาวบ้านที่มีรั้วบ้านติดกันโตขึ้นผมไปทางหนึ่ง ส่วนเขายังทำงานหนักและเหนื่อยอยู่ในไร่ในท้องนา หรือไม่ก็ในทะเลกว้างที่เต็มไปด้วยอันตราย…”
งานเขียนของเขาแม้ผ่านล่วงเวลาของบ้านเมือง แต่เมื่อหยิบขึ้นมาอ่านก็ยังเห็นเงาของบ้านเมืองเวลานั้นตกทอดมาถึงปัจจุบัน ที่ ณ เวลานี้เขาเองอายุ 64 ปีแล้วก็ตาม ซึ่งอัศศิริพูดถึงนักเขียนเรื่องสั้นหน้าใหม่ พ.ศ.นี้
“นักเขียนรุ่นใหม่มีมุมมองของเขา แต่เขาคงไม่อ่านเจ้าขุนทอง เพราะเขาไม่ได้สนใจเรื่องการเมือง แต่จะสนใจในเรื่องที่อยากเขียนเรื่องส่วนตัวหรือพูดถึงกลุ่มเพื่อนของเขามากกว่า แต่จะนำเสนอเรื่องสังคมนั้นมีน้อย ยิ่งสังคมด้อยพัฒนาอย่างบ้านเราด้วยแล้ว นักเรียนแทบไม่ได้แสวงหาอ่านเรื่องประวัติศาสตร์ อย่างเหตุการณ์ 2475 หรือแค่ 14 ตุลา 6 ตุลา พฤษภาทมิฬก็ไม่รู้แล้ว แม้แต่บุคคลสำคัญๆ ระดับชาติก็แทบไม่รู้จักชื่อ ก็เพราะบ้านเราขาดการเรียนการสอนตรงนี้” (บ่มเพาะนักเขียนหน้าใหม่ 26 ก.พ.54)
ในส่วนของงานวรรณกรรมเพื่อชีวิต “ยังไม่ตาย มันก็อยู่ของมัน แต่ไม่มีเรี่ยวแรง ผิดแต่ก่อนที่มีความจำเป็น” อัศศิริ ธรรมโชติ สะท้อนของความเป็นยุคสมัยวรรณกรรม
เรื่อง : ชมวง พฤกษาถิ่น
ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ : สยามรัฐ