Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

อัตลักษณ์ วรรณกรรมสุวรรณภูมิ

 

 
“สุวรรณภูมิ”ซึ่งมีความหมายว่า"แผ่นดินทอง"นี้เป็นชื่อเรียกดินแดนที่มีการกล่าวถึงในคัมภีร์โบราณหลายฉบับเช่นมหากาพย์รามายณะปุราณะวรรณกรรมสุวรรณภูมิ 
 
 
คำว่า “สุวรรณภูมิ” ในวันนี้คงไม่ใช่ชื่อที่แปลกหูของเราๆ ท่านๆ แต่อย่างใด เพราะได้กลายเป็นชื่อของสนามบินนานาชาติที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานไว้ แต่เราหากพิจารณาถึงนามพระราชทานนี้ให้ลึกเข้าไปอีกสักนิด เราคงจะได้ประจักษ์ถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ในการพระราชทานชื่อ “สุวรรณภูมิ” ให้เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางอากาศในภูมิภาคอุษาคเนย์แห่งนี้ 
 
ชื่อของ “สุวรรณภูมิ” ซึ่งมีความหมายว่า "แผ่นดินทอง" นี้ เป็นชื่อเรียกดินแดนที่มีการกล่าวถึงในคัมภีร์โบราณหลายฉบับ โดยเฉพาะคัมภีร์ในทางพุทธศาสนา และวรรณกรรมในศาสนาพราหมณ์หลายเรื่อง เช่น มหากาพย์รามายณะปุราณะ ระบุว่า พ่อค้าชาวอินเดียนิยมเดินทางมาค้าขายกับกลุ่มประเทศทางตะวันออก ซึ่งรู้จักกันในชื่อ “สุวรรณทวีป” หรือ “สุวรรณภูมิ” 
 
ในขณะที่จดหมายเหตุจีน ราวพุทธศตวรรษที่ 8 สมัยสามก๊กนั้น มีรายละเอียดว่าราชทูต 2 คน คือ คังไถและชูยิง ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองและอาณาจักรต่างๆ ในดินแดนสุวรรณภูมิไว้ และกิตติศัพท์ความมั่งคั่งของดินแดนสุอีก 2 เล่ม คือบันทึกการเดินเรือของชาวยุโรป (The Periplus of the Erythrean Sea) และหนังสือภูมิศาสตร์ของปโตเลมี (Ptolemy's Geography) 
 
ส่วนการปรากฏชื่อ “สุวรรณภูมิ” ในคัมภีร์ชาดก เช่น มหาชนกชาดก ได้กล่าวว่า พระมหาชนกเดินทางมาค้าขายที่สุวรรณภูมิ แต่เรือแตกกลางทะเล และในหนังสือทีปวงศ์และมหาวงศ์ซึ่งเป็นพงศาวดารของลังการะบุว่า หลังจากสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้วราว 276 ปี พระเจ้าอโศกมหาราช แห่งแคว้นมคธในประเทศอินเดียได้โปรดให้ทำการสังคายนาครั้งที่ 3 ที่กรุงปาฏลีปุตร และโดยพระราชประสงค์ที่จะให้พระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประโยชน์แก่ชาวโลก จึงทรงโปรดให้พระเถระเป็นสมณทูตแยกย้ายกันไปประกาศพระศาสนา ทั้งภายในและภายนอกประเทศอินเดีย 
 
พงศาวดารลังกา 2 ฉบับ คือทีปวงศ์และมหาวงศ์ ระบุว่าพระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งพระโสณะกับพระอุตตระมายังสุวรรณภูมิ โดยมีเรื่องที่เป็นรายละเอียดพิสดารว่า เมื่อท่านมาถึงดินแดนแห่งนี้ ได้ปราบผีเสื้อสมุทรที่ชอบเบียดเบียนชาวสุวรรณภูมิ ทำให้ชาวสุวรรณภูมิเลื่อมใส จากนั้นท่านก็ได้แสดงพรหมชาลสูตร ให้ผู้คนในสุวรรณภูมิฟัง 
 
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตอนปราบผีเสื้อสมุทร ท่านได้สวดพระปริตรป้องกันเกาะสุวรรณภูมิไว้ จึงมีคำเรียก สุวรรณภูมิ อีกชื่อหนึ่งว่า สุวรรณทวีป ซึ่งแปลว่า เกาะทอง ส่งผลให้มีการตีความเกี่ยวกับดินแดนแห่งนี้เป็น 2 นัย กล่าวคือ หากเรียกชื่อ “สุวรรณภูมิ” จะหมายถึงดินแดนที่เป็นผืนแผ่นดินใหญ่ แต่หากเรียกชื่อ “สุวรรณทวีป” จะหมายถึงส่วนที่เป็นเกาะที่อยู่ติดกับผืนแผ่นดินสุวรรณภูมิ 
 
นอกจากนี้กิตติศัพท์ของสุวรรณภูมิยังมีอยู่ในชาดกหลายเรื่อง เช่น มหาชนกชาดก สังขพราหมณ์ชาดก สุสันธีชาดก และสุปารกชาดก ส่วนรายละเอียดที่ตั้งของดินแดนสุวรรณภูมิจากวรรณกรรมต่างๆ ประกอบกับการศึกษาหลักฐานด้านเอกสารและด้านโบราณคดีนำไปสู่ข้อสรุปได้ว่า สุวรรณภูมิอยู่ทางทิศตะวันออกของอินเดีย และสุวรรณภูมิรวมทั้งสุวรรณทวีปคือดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด 
 
ส่วนสาเหตุอันเป็นที่มาของฉายา “สุวรรณภูมิ” ของดินแดนแห่งนี้ นักวิชาการปัจจุบันได้ประมวลข้อสมมติฐานความเป็นไปได้ไว้ 3 ประการ 
 
ประการแรก คือเป็นเพราะดินแดนแห่งนี้อุดมไปด้วยแร่ทองคำ ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่หายากและมีค่ามาก ดังนั้นเมื่อมีข่าวลือว่ามีทองคำในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้พ่อค้าตื่นตัวที่เดินทางมาค้าขายเพื่อแสวงหาทองคำ 
 
ประการที่สอง สุวรรณภูมิอาจหมายถึงดินแดนที่มีแหล่งผลิตเครื่องใช้สำริดที่มีส่วนผสมของดีบุกในปริมาณสูง ทำให้ผิววัตถุมีสีเหลืองคล้ายสีทอง เป็นที่นิยมของชาวอินเดีย สันนิษฐานว่าพื้นที่ด้านตะวันตกของภาคกลางประเทศไทย น่าจะเป็นแหล่งผลิตเครื่องมือเครื่องใช้สำริดเนื่องจากขุดพบเป็นจำนวนมากจากแหล่งโบราณคดีบ้านดอนตาเพชร อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี 
 
ประการสุดท้าย สุวรรณภูมิอาจสื่อความหมายในเชิงเปรียบเทียบว่า หมายถึงดินแดนที่อุดมไปด้วยทรัพยากรต่างๆ โดยเฉพาะเครื่องเทศและของป่า ซึ่งเป็นสินค้าราคาแพง ดังนั้นเมื่อพ่อค้าเดินทางมาค้าขายในบริเวณนี้แล้วจะร่ำรวยกลับไป จึงเปรียบเป็นดินแดนแห่งทอง 
 
แต่ต้นมาเราคงจะรับรู้แต่เพียงว่า มีวรรณกรรมเรื่องใดที่กล่าวถึงสุวรรณภูมิบ้าง แต่ใครจะรู้บ้างว่าในดินแดนแห่งนี้ก็มีวรรณกรรมที่สำคัญเป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นอยู่ไม่น้อยไปกว่าดินแดนแห่งอารยธรรมใดๆ ในโลก และเป็นที่น่าสังเกตว่า บรรดาวรรณกรรมสำคัญที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง คือมีอยู่ในทุกประเทศในภูมิภาคนี้ บางประเทศกลับมีบทบาทเป็นเพียงวรรณกรรมพื้นบ้านที่ถูกละเลยในการรับรู้เท่านั้น 
วรรณกรรมที่ถือได้ว่าเป็นมหากาพย์ของสุวรรณภูมิ เห็นจะได้แก่เรื่อง “ท้าวฮุ่ง-ท้าวเจือง” หรือ “ท้าวฮุ่ง-บาเจือง” (ภาพ www.sujitwongthes.com/.) วีรบุรุษในตำนานสองฝั่งโขงที่ข้ามพรมแดนทางชาติพันธุ์ คนในชนเผ่าชาติพันธุ์ต่าง ๆ บริเวณสองฝั่งโขงต่างยกย่องเป็นบรรพบุรุษของพวกตน ทั้งในตระกูลลาว – ไทย และข่าแจะ โดยที่ข่าแจะนี้ เป็นชื่อเรียกพวกข่าทุกเผ่าอย่างรวม ๆ เช่น พวกลัวะ พวกขมุ ในตระกูลมอญ – เขมร 
 
ท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง เป็นเรื่องราวตามคำบอกเล่าอยู่ร่วมสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ขณะนั้นยังไม่ได้เป็นใหญ่อยู่ทะเลสาบ แต่หลังจากนั้นจะสถาปนาปราสาทนครวัดเมื่อราว พ.ศ. 1650 ต่อมาท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง ขยายอำนาจได้เป็นใหญ่เหนือเมืองเงินยางเชียงแสน (ถิ่นเชียงแสน จังหวัดเชียงราย) จนถึงสิบสองพันนาในประเทศจีน แล้วแผ่ข้ามแม่น้ำโขงเข้าไปทางฟากตะวันออกถึงภาคเหนือของลาวกับภาคเหนือของเวียดนาม พวกแถน กับพวกแมน ที่อยู่ทางเหนือของลาวกับเวียดนามร่วมกันต่อต้านท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง แล้วฆ่าท้าวฮุ่ง ท้าวเจืองตาย 
 
ที่สำคัญท้าวฮุ่ง ท้าวเจืองเป็นต้นเค้าให้เกิดวรรณคดีประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่อย่างน้อย 2 เรื่อง คือ เรื่อง พระเจ้าพรหม กับเรื่อง พระลอ และนาม ฮุ่ง ตรงกับ รุ่ง ความหมายเดียวกับ ร่วง ในชื่อ พระร่วง รัฐสุโขทัย แสดงว่าวัฒนธรรมและความเชื่อของสองดินแดนนี้ต้องมีความเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกันอย่างปฏิเสธไม่ได้ 
 
วรรณกรรมอีกเรื่องหนึ่ง เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในสุวรรณภูมิ คือ “พระสุธน-มโนห์รา” ซึ่งเมื่อไปปรากฏในแต่ละประเทศก็จะมีชื่อเรียกแตกกต่างกันไป อาทิ นางมโนห์รา สุธนู นางนกยูง ฯลฯ 
 
เรื่องย่อตำนานพระสุธน-มโนห์รา มีว่า นายพรานบุณฑริกชาวเมืองปัญจาลนครเข้าไปล่าสัตว์ในป่าลึก พบกลุ่มนางกินนรพี่น้องเจ็ดตนมาเล่นน้ำที่สระอโนดาต นายพรานจึงแอบเก็บปีกหางของนางกินนรไว้ชุดหนึ่ง เมื่อนางกินนรทั้งเจ็ดเล่นน้ำเสร็จก็กลับขึ้นมาใส่ปีกใส่หาง นางมโนห์ราน้องสาวคนสุดท้องหาปีกหาหางของตนไม่พบจึงไม่สามารถบินกลับได้ พี่ๆ ทั้งหกก็จำต้องทิ้งนางไป พรานบุณฑริกจึงนำบ่วงมาคล้องนางไปและนำไปถวายพระสุธน 
 
เมื่อพระสุธนต้องยกทัพไปปราบข้าศึกที่ยกมาตีเมืองปลายเขตแดน พราหมณ์ปุโรหิตผู้หนึ่งซึ่งเคยแค้นเคืองใจกับพระสุธนก็แกล้งเพ็ดทูลพระเจ้าอาทิตยวงศ์ว่า นางมโนห์ราเป็นกาลกิณี ควรจะจัดบูชายัญเพื่อให้บ้านเมืองเป็นสุข พระเจ้าอาทิตยวงศ์ไม่เต็มพระทัย แต่ขัดข้อเสนอแนะของเสนาอำมาตย์ไม่ได้ จึงจำพระทัยจัดพิธีบูชายัญ แล้วนางมโนห์ราก็ขอปีกขอหางเพื่อร่ายรำบูชา แล้วก็บินหนีกลับไปยังถิ่นที่อยู่ ณ เขาไกรลาส 
 
ครั้นพระสุธนกลับมา รู้ว่านางมโนห์ราหนีไปก็เสียพระทัยมาก จึงรีบติดตามนางมโนห์รา โดยต้องใช้เวลาถึงเจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน จึงสามารถตามนางคืนกลับมาครองราชย์สมบัติที่เมืองปัญจาลนครได้ 
 
"พระสุธน มโนราห์" ได้รับการเผยแพร่ผ่านงานศิลปะหลากหลายรูปแบบในภูมิภาคนี้ ทั้งในรูปของงานจิตรกรรม ประติมากรรม และบทละครในการแสดง อาทิ การเล่น “โนรา” ในภาคใต้ของไทย การแสดงฟ้อน “กิงกะหล่า” ซึ่งหมายถึงกินรี ในวัฒนธรรมไทใหญ่ 
 
ส่วนนางมโนราห์ของสิบสองปันนา ไม่ใช่ "กินรี" แต่เป็น "นกยูง" และสิ่งที่พัฒนาสืบต่อมาจากเรื่องพระสุธน มโนราห์ คือการประดิษฐ์ท่ารำที่ขึ้นชื่อที่สุดคือ "ระบำนกยูง" และอีกประเทศที่นิยมเรื่อง พระสุธน มโนราห์ ก็คือกัมพูชา ที่นำเสนอในวรรณกรรมเรื่องนี้ในรูปแบบของละครรำ 
วรรณกรรมสุวรรณภูมิยังมีอยู่อีกเป็นอันมาก ทั้งที่เป็นนิทาน อย่างเรื่อง “น้ำเต้าปุง” ที่เป็นนิทานแห่งการสานความเป็นเครือญาติของผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ในภูมิภาคนี้ กบกินเดือน ปลาบู่ทอง รวมทั้งตำนาน คำสอน พงศาวดาร ตำรา ตลอดเลยไปจนถึงวรรณกรรมทางศาสนา อาทิ อุรังคธาตุ สุวรรณสังข์ชาดก หรือ สังข์ทอง แต่น่าเสียดายว่าในวงการวรรณกรรมไทยนั้นยังใส่ใจวรรณกรรมสุวรรณภูมิน้อยเกินไป 
 
มิเช่นนั้นแล้วเราคงใช้ประโยชน์จากสาระของวรรณกรรมมาช่วยเป็นสื่อสร้างสรรค์ความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีกับเพื่อนบ้านได้แน่นแฟ้นกว่าที่เป็นอยู่นี้อีกไม่น้อย
 
เรื่อง : ดร.วัฒนะ บุญจับ bjwattana@gmail.com 
ข่าววันที่ Tue, 01/06/2010 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ