ห้วงคำหนึ่ง : ห้วงคำนึงของ ‘วิภว์ บูรพาเดชะ’

ในห้วงความคิดของแต่ละคนนั้น ไม่เหมือนกัน บางคนชอบคิดเป็นภาพ บางคนชอบคิดเป็นสัญลักษณ์ บางคนชอบคิด
เป็นตัวเลข บางคนชอบคิดเป็นประโยค แต่มีผู้ชายอยู่คนหนึ่ง ในห้วงความคิดของเขานั้นกลับคิดเพียงแค่คำหนึ่งคำ แต่คำหนึ่งคำ
ของเขานั้น สามารถบ่งบอกถึงเรื่องราวได้อีกนับไม่ถ้วน โดยผู้ชายคนนั้นมีนามว่า ‘วิภว์ บูรพาเดชะ’ เจ้าของผลงานรวมเรื่องสั้น
‘ห้วงคำหนึ่ง’
‘ออล แม็กกาซีน’จึงไม่พลาดที่จะขอนัดพบกับเขาในบรรยากาศสบายๆเพื่อปลดปล่อยตัวตนและบอกเล่าถึงชิ้นงานในห้วงคำนึง
ของผู้ชายคนนี้อย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด แล้วคุณจะได้รู้ว่า ผู้ชายคนนี้มีความคิดและห้วงคำนึงที่ไม่ธรรมดา
all : จบการศึกษาด้านสถาปัตยกรรมมา แต่ทำไมกลับมาทำงานด้านการเขียน เป็นทั้งบรรณาธิการ คอลัมนิสต์ นักเขียน รวมถึง
นักแต่งเพลง
วิภว์ : การเขียนและการอ่าน เป็นสิ่งที่ผมชอบอยู่แล้วครับ (ยิ้ม) ตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่น ก็จะเริ่มจากการหัดแต่งเพลง เขียนบันทึก
แล้วก็เริ่มเขียนเรื่องสั้นเล่นๆแต่สถาปัตย์เป็นสิ่งที่ผมเรียนมาตอนจบมาก็ลองทำในสิ่งที่ตัวเองเรียนมาอยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าไม่ได้เข้า
กับตัวเองมากเท่าไหร่ แต่ตอนหลังได้มีโอกาสลองทำอะไรหลายต่อหลายอย่าง ลองไปแต่งเพลง ลองไปทำเว็บไซต์ ลองเป็น
นักเขียนฟรีแลนซ์ เขียนเรื่องสั้นส่งไป ถึงเริ่มรู้สึกว่า งานเขียนนี่มันค่อนข้างจะถูกกับนิสัยของผม ตอนหลัง ‘พี่โหน่ง – วงศ์ทนง
ชัยณรงค์สิงห์’ ชวนไปเป็นบรรณาธิการนิตยสาร ‘Hamburger’ เลยมีอาชีพเป็นนักเขียน เป็นคนทำหนังสือเต็มตัวซึ่งทำให้ผม
รู้สึกว่า อาชีพนี้เป็นอาชีพที่เหมาะกับผมมาก เป็นไลฟ์สไตล์ที่ผมชอบ ดูหนังก็สามารถเป็นงานได้ ฟังเพลงก็สามารถเป็นงานได้
เช่นเดียวกัน
all : ได้นำเอาสิ่งที่เรียนและศึกษามาใช้ในการเขียนของตัวเองบ้างหรือเปล่า
วิภว์ : ถ้าในแง่ของสิ่งที่เรียนหรือสิ่งที่เป็นความรู้นั้นอาจจะไม่ค่อยมากแต่ที่ได้เลยคือวิธีคิดเพราะสถาปัตย์จะสอนเรื่องของดีไซน์
สอนเรื่องการคิดธีมหรือการดีไซน์องค์ประกอบต่างๆ ให้เป็นไปตามธีมนั้น เพราะฉะนั้น วิธีคิดในการทำหนังสือ หรือว่าในการเขียน
เรื่องสั้นของผมก็จะเป็นอย่างนั้นคือผมจะวางโครงก่อนแล้วค่อยมาคิดประเด็นว่าจะสื่อสารอะไรออกมา แล้วค่อยมาวางลำดับเรื่อง
ทีหลัง
all : เป็นเวลาถึง 8 ปีที่คลุกคลีอยู่กับการเขียนเรื่องสั้น งานเขียนประเภทนี้มีแรงดึงดูดใจอย่างไร
วิภว์ : จริงๆมันอาจจะเป็นแรงบันดาลใจที่ได้มาตั้งแต่ตอนเด็กๆ เพราะว่าหนังสือเล่มแรกที่ผมชอบ อ่านแล้วโดนใจผมมากเลยคือ
ผลงานของคุณ ‘วาณิช จรุงกิจอนันต์’ เรื่อง ‘ซอยเดียวกัน’ หลังจากนั้นมา ผมก็จะชอบอ่านเรื่องสั้นเรื่อย ๆ อย่างของคุณ
‘อัศศิริ ธรรมโชติ’เรื่อง‘ขุนทองเจ้าจะกลับมาเมื่อฟ้าสาง’ก็เป็นอีกเล่มหนึ่งที่ผมชอบมากเวลาผมอ่านหรือพลิกดูหน้านิตยสาร
ในสมัยก่อน อย่างนิตยสาร ‘ขวัญเรือน’ ของคุณแม่ ผมก็จะชอบอ่านเรื่องสั้นภายในนั้น และเริ่มรู้ว่าเป็นงานเขียนในแบบที่ตัวเอง
ชอบ เพราะว่ามันมีความสั้น(หัวเราะ) สามารถอ่านให้จบได้ แต่ในความสั้นนั้น ก็ไม่ได้สั้นจนเกินไปที่จะไม่มีรายละเอียด บางเรื่อง
อ่านแล้วกระทบใจของผมได้อย่างรุนแรง ผมเลยรู้สึกว่า ‘มันท้าทายดี’ พอคิดและเริ่มที่จะเขียน อย่างแรกเลยคือ เขียนเรื่องสั้น
และผมก็ติดมันเลยเขียนต่อมาเรื่อยๆยังไม่เคยมีเวลาว่างขนาดนั่งเขียนนิยายส่วนงานประเภทอื่นอย่างบทความ ก็ได้เขียนอยู่บ้าง
แต่ว่าเรื่องสั้น มันคงเป็น ‘รักครั้งแรก’ สำหรับผมจริง ๆ
all : กว่าจะเป็นรวมเรื่องสั้นเล่มหนึ่งที่มีชื่อของตัวเองปรากฏอยู่ มีความยากง่ายอย่างไรบ้าง
วิภว์ : มีความนานครับ (หัวเราะ) เพราะว่าเรื่องสั้นเป็นงานที่ผมทำด้วยใจรักมาโดยตลอด เพราะฉะนั้น ผมจะไม่รีบ บางทีเรื่อง
เรื่องหนึ่งเขียนเป็นเดือน ๆ เลยก็มี บางเรื่องเขียนเป็นครึ่งปีก็มี มันเลยมีความช้าอยู่ บางช่วงที่ผมยุ่ง ผมก็จะไม่ได้ทำ บางช่วง
ที่ทำได้ต่อเนื่อง ผมก็จะทำแบบไม่ได้รีบอยู่ดี มันมีความช้าอยู่ครับ หรือบางทีมีความรู้สึกว่า ไม่อยากให้มันจบเร็ว เพราะผมสนุก
กับการเขียนมาก ผมก็แต่งไปเรื่อย ๆ เรื่องสั้นส่วนใหญ่ของผม ผมจะค่อย ๆ ตบ ค่อย ๆ แต่ง ค่อย ๆ เปลี่ยนจนกว่าผมจะพอใจ
มันเลยนาน เพราะกว่าจะรวมเล่มได้ก็นานหลายปี อย่างเล่มแรกนี่นานหลายปีอยู่เหมือนกันครับ แต่ก็จะมีการวางแผนไว้ในใจ
เสมอว่า แต่ละเล่มจะเป็นอย่างไร และค่อย ๆ ทำไปอย่างช้า ๆ
all : ผลงาน ‘ห้วงคำหนึ่ง’ มีห้วงคำนึงเริ่มต้นมาจากอะไร
วิภว์ : มันเริ่มต้นมาจากเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นผมกำลังอยู่ในช่วงของวัยหนุ่มสาวที่อยากพูดในประเด็นเกี่ยวกับเรื่อง ‘ความรัก’
ซึ่งเป็นประเด็นที่คนพูดถึงกันเยอะ ผมอยากลองพูดในมุมมองของตัวเองบ้าง เลยคิดว่าจะทำเรื่องสั้นที่เป็นรวมเรื่องสั้นที่พูดถึง
‘ความรัก’ในหลายๆ มุม ซึ่ง ‘ความรัก’ มีมุมให้พูดถึงเยอะ เพราะผมก็เคยพบเจอกับเรื่องของตัวเอง เรื่องของเพื่อน เรื่องของคน
ที่ผมเคยได้ยินมาเรื่องของคนที่ผมรู้จักซึ่งมีเรื่องที่น่าบอกเล่ามีอะไรบางอย่างที่น่าบอกต่อ ก็เลยคิดว่าจะทำรวมเรื่องสั้นเล่มหนึ่ง
ซึ่งเกี่ยวข้องกับ‘ความรัก’ โดยคอนเซ็ปต์ของเล่มคือ ผมมีความรู้สึกว่า ‘ความรัก’ มีความหลากหลายในตัวของมันเองเยอะมาก
บางคนก็มองในแง่ของความโรแมนติค บางคนก็มองในแง่ของคำที่นำไปใช้โปรโมทในคำโฆษณา บางคนก็มองไปในแง่ของ
คำสัญญาบางคนก็มองไป ในแง่ของความรับผิดชอบซึ่งผมมองว่าการเล่นกับคำนี่มันสนุกดี แล้วผมก็ขยายออกมาว่า แล้วการใช้
ถ้อยคำของผู้คนนั้น มันมีความยอกย้อนในตัวของมันอยู่บางทีเราพูดคำคำหนึ่ง แต่ความหมายของแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน
และโดยเฉพาะคำว่า ‘รัก’ นั้น ถือเป็นคำที่มีความหมายหลากหลายมากคำหนึ่งที่แต่ละคนพูดกัน บางทีคนคนเดียวพูดคำว่า ‘รัก’
ในหลาย ๆ บริบท ยังมีความหมายแตกต่างกันเลย ทำให้รู้สึกว่า เรื่องสั้นเล่มนี้กำลังเล่นเกี่ยวกับคำว่า ‘รัก’ อยู่ และพยายาม
จะตั้งชื่อเรื่องให้เป็นคำอื่น ๆ ที่สามารถโยงกับคำว่า ‘รัก’ ได้ด้วย ซึ่งชื่อเรื่องสั้นภายในเล่มก็เลยเป็นคำคำเดียวทุกเรื่องครับ
all : ‘ห้วงคำหนึ่ง’ ใช้เวลาค่อยๆ เขียนอยู่ร่วม 10 ปี ทำไมถึงใช้เวลานานขนาดนั้นในการเขียนและการรวบรวม
วิภว์ : เป็นความไม่รีบของผมเองครับ(หัวเราะ)ค่อยๆทำไปคืออย่างที่บอกว่าบางอารมณ์ผมก็ไม่อยากให้มันจบเร็ว เพราะยังสนุก
กับการทำอยู่ เลยเขียนนานหน่อย และอีกอย่างเป็นช่วง 10 ปี ที่ผมยุ่งด้วย เพราะว่าตอนนั้นเริ่มทำนิตยสาร Hamburger
แล้วก็มาต่อด้วย Happening ซึ่งการทำหนังสือมันยุ่งตลอดเวลาและไม่ค่อยมีเวลาว่าง คนทำหนังสือบางคนแทบจะไม่ค่อยมี
วันหยุดเลยและการที่จะมาเขียนแต่ละเรื่องนั้นก็ค่อนข้างที่จะใช้เวลาพอสมควร กว่าจะได้แต่ละเรื่องจึงค่อนข้างนานอยู่ บางเรื่อง
จะเขียนเมื่อมีคนขอให้เขียน กว่าจะรวมได้ครบก็ใช้เวลาประมาณ 10 ปี จากคอนเซ็ปต์แรกที่ผมมองเกี่ยวกับเรื่อง ‘ความรัก’
พอผ่านมา 10 ปีแล้ว ผมก็มองเรื่องของ ‘ความรัก’ ต่างออกไปเยอะเหมือนกัน ก็เลยทำให้ตัวเองมีมุมมองในชีวิตที่หลากหลาย
มากขึ้น
all : เรื่องราวใน ‘ห้วงคำหนึ่ง’ บอกอะไรแก่ผู้อ่าน
วิภว์ : อยากให้ผู้อ่านได้ฉุกคิดเกี่ยวกับคำคำนี้ครับ มันเป็นคำที่พูดไปแล้ว เราหมายความว่าอะไรกันแน่ อย่างเรื่องสั้นของผม
ผมลองแทนคำว่า ‘รัก’ ด้วยคำอื่น ๆ หลาย ๆ คำ ก็พอจะแทนได้ทุกคำเลย พอผู้อ่านได้ลองอ่านแล้ว น่าจะคิดได้นิดหนึ่งว่า
จริง ๆ แล้ว เราพูดถึงหรือเอ่ยคำนี้ออกไปให้ใครฟัง แล้วมันสามารถแทนด้วยคำคำอื่นได้อีกหรือเปล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนุกดี
และยังทำให้ผมมองเรื่อง ‘ความรัก’ ได้กว้างมากขึ้น หรือมองในมุมกลับ อาจจะทำให้ผมจริงจังกับความรักมากขึ้น หรือจริงจัง
น้อยลงก็ได้ อย่างบางคนเอ่ยคำคำหนึ่งออกมา แต่ความหมายมันอาจไม่ได้แปลตรงตามคำคำนั้นก็ได้ ซึ่งตรงนี้ แล้วแต่ผู้อ่าน
แต่ละคนจะมองครับ
all : ‘ ห้วงคำหนึ่ง ’ เป็นเรื่องราวที่อยู่ในห้วงคำนึงคุณหรือเปล่า เพราะดูเหมือนจะสอดแทรกเรื่องราวชีวิตของตัวเองลงไป
ค่อนข้างมาก
วิภว์ : จริง ๆ แล้ว มีส่วนที่เป็นชีวิตของตัวเองค่อนข้างน้อย คือเอามาจากเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตของตัวเอง ประมาณสักเรื่อง
ถึงเรื่องครึ่ง(หัวเราะ) ไม่เกินนี้ ที่เหลือเป็นจินตนาการหมด พอผมเริ่มมีประเด็นในการเขียนเรื่องสั้น มันสนุกที่จะจินตนาการต่อไป
เพราะบางเรื่องเกิดจากประเด็นที่ผมไปพบเห็นมาแค่นิดเดียวเอง อย่างเช่นเรื่องที่ผมชอบมาเรื่องหนึ่งคือเรื่อง ‘ห่อ’ เพราะผมแค่
รู้สึกว่าอยากเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับคนที่มีอาชีพห่อของขวัญ ซึ่งผมเคยเข้าไปใช้บริการ แล้วรู้สึกว่าชีวิตเขาน่าสนใจดี เพราะวัน ๆ
เขาอยู่แต่กับการห่อของขวัญ อีกทั้งผมก็เป็นคนชอบให้ของขวัญคนอื่น ผมเลยเอาความคิดในมุมนั้นมาเขียน เพราะคิดว่าการ
ห่อของขวัญนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งเหมือนกัน เลยเอาประเด็นทั้งหมดนี้มาหลอมรวมกัน แล้วเขียนเป็นเรื่องสั้นเรื่องนี้ครับ
หรืออย่างเรื่องบางเรื่องมันไม่ได้มีโครงเรื่องมาก่อนแต่มีบางสิ่งบางอย่างมาโดนใจผมผมก็เอาตรงนั้นมาเขียนเรื่องสั้น อย่างเรื่อง
‘กรน’ ที่เป็นเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีคุณพ่อนอนกรน ซึ่งมันเริ่มมาจากความคิดที่ว่า การนอนกรนเป็นสิ่งที่มีความน่าสนใจ
ในตัว เพราะว่าคนที่นอนกรนมักจะไม่ค่อยรู้ตัว แล้วคนที่รู้ตัวว่าเขาเป็นคนนอนกรน ก็คือคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ เขา ซึ่งมันก็เป็นนัย
ที่บ่งบอกถึงความไม่รู้จักตัวเอง แต่คนข้าง ๆ กลับรู้จักตัวเรา ถ้าเราอยากที่จะเป็นแฟนกับใคร หรืออยากจะเป็นคู่รักกับใคร
เราจะไม่รู้หรอกว่าเขานอนกรนหรือไม่นอนกรน จนกว่าจะได้นอนกับเขา อย่างเรื่อง ‘มัด’ ก็เหมือนกันที่ผมอยากลองเขียนเรื่อง
ที่เป็นเชิงสัญลักษณ์บ้าง ภายในเรื่องราวสื่อถึงเรื่อง ‘ความรัก’ และการผูกมัด เป็นมุมมองความสัมพันธ์แบบหนึ่งที่ผมเคยเจอ
โดยเป็นคู่รักที่เข้าใจกันว่าลงตัวกันแล้ว เมื่อถึงจุดหนึ่งจึงพยายามหาทางผูกมัดเข้าหากัน แต่งงานกัน หรือว่าเริ่มหางานที่มั่นคง
เพื่อสร้างครอบครัวด้วยกัน บางทีคำว่า ‘มัด’ ก็แทน ‘ความรัก’ ได้เหมือนกัน นั่นก็คือ การผูกมัด
all : คำไหนใน ‘ห้วงคำหนึ่ง’ ที่ประทับใจเป็นพิเศษ
วิภว์ : จริงๆค่อนข้างชอบทุกเรื่องครับเพราะผมคลุกคลีกับแต่ละเรื่องนานทีเดียวแต่ว่าถ้าให้ผมเลือกผมชอบมากๆอยู่ 2 – 3 เรื่อง
คือเรื่อง ‘ห่อ’ ซึ่งเป็นเรื่องที่ลงตัวดี และเขียนเป็นเรื่องท้าย ๆ เพราะเป็นมุมมองของผมที่ใกล้กับตัวผมในปัจจุบัน และอีกเรื่อง
ที่รู้สึกว่าภาคภูมิใจกับมันมาก นั่นก็คือ ‘…’ โดยเป็นเรื่องที่ผมเขียนหลังสุด เขียนยากมาก ๆ และคิดไว้แล้วว่าจะต้องเป็น
เรื่องสุดท้ายของเล่ม เพราะเขียนนานเกือบ 2 ปี ก็ยังไม่ได้เลย คือพยายามเขียนแล้วเริ่มใหม่ เขียนแล้วเริ่มใหม่ จนได้ออกมา
เป็นเรื่องนี้ในที่สุด
all : ‘คำหนึ่งคำ สามารถเล่าเรื่องราวได้เป็นล้านเรื่อง’ เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้หรือไม่
วิภว์ : เห็นด้วยครับ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับคนที่รับสารด้วยนะ คือถ้าเขาไม่คิดต่อ บางทีก็อาจจะไม่ถึงล้านเรื่อง(หัวเราะ) มันก็เหมือน
การดูงานศิลปะ คือบางทีเราเห็นภาพภาพหนึ่ง ก็รู้สึกว่า เออ มันสวยดี แต่ถ้าไม่คิดต่อ มันก็แค่สวยดี แต่ถ้าเรามาตีความต่อว่า
มันสวยแล้ว เราชอบมันเพราะอะไรหรือผู้เขียนพยายามสื่อสารอะไร เรารู้สึกอย่างไร แล้วมันสะท้อนชีวิตอย่างไร อย่างเช่นคนที่
ชอบสีส้ม เพราะเหมือนสีของกระติกน้ำตอนเด็กที่เราชอบ ซึ่งมันก็จะมีเรื่องราวมากขึ้นในการสื่อสารระหว่างคนที่ทำงานศิลปะ
กับคนที่เสพงานศิลปะ
all : สิ่งที่คุณได้รับจากการทำงานในวงการหนังสือคืออะไร
วิภว์ : เป็นงานที่ทำให้ผมเติบโตขึ้น การทำหนังสือ คือการได้ออกไปเจอคน สัมภาษณ์คน และได้คุยกันคนที่ผมอยากคุยด้วย
ซึ่งบางทีเขาคนนั้นก็เป็นไอดอลของผมหรือเป็นคนเก่งที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน อย่างเช่น ได้คุยกับผู้กำกับหนังบางคนที่ผมชอบ
หรือบางทีได้คุยกับศิลปินนักร้องที่มีความคิดดีๆเจ๋ง ๆ พอผมนำกลับมาเขียนบทความ หรือเขียนบทบรรณาธิการ มันทำให้ผม
ได้ทบทวนได้นั่งคิดว่า เราคิด เรารู้สึก หรือเรามีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งมันสามารถมองได้ทั้ง2ทาง คือได้รู้ถึงมุมมอง
ของคนอื่นและมุมมองของตัวเองด้วย และเรื่องที่เป็นผลพลอยได้ก็คือ การเขียนจนเป็นอาชีพนี่แหละครับ ถือเป็นสิ่งที่ทำให้ผม
มีกินมีใช้จนถึงปัจจุบันนี้
all : ‘ห้วงคำไหน’ ที่บ่งบอกถึงตัวตนและผลงานของคุณได้ดีที่สุดครับ
วิภว์ : คำว่า ‘อ่าน’ ครับ เพราะรู้สึกว่าเป็นคำคำหนึ่งที่เป็นกิริยาที่ผมชอบทำมากที่สุด คือมีความสุขก็ตอนอ่านหนังสือ และการ
อ่านหนังสือ มันเป็นสิ่งที่สร้างตัวตนของผมมาตั้งแต่เด็กจนโต คือตอนเด็ก ๆ ผมไม่ค่อยไปเตะฟุตบอลช่วงพักกลางวัน แต่จะนั่ง
อยู่ในห้องสมุดอ่านหนังสือที่ตัวเองชอบไปเรื่อยๆคือผมจะคบเพื่อนที่ชอบอ่านหนังสือมากกว่าเพื่อนที่ชอบเตะฟุตบอลจนวันหนึ่ง
มารู้สึกว่า กลายเป็นอาชีพของตัวเองไปแล้ว (ยิ้ม) เพราะถึงแม้ว่าผมจะทำหน้าที่เขียน หรือสัมภาษณ์คนอื่น ๆ แต่ว่าข้อมูลที่ผม
ได้มา มันมาจากตัวผม มาจากการที่ผมได้อ่าน อ่านหนังสือ อ่านผู้คน และอ่านตัวเองครับ
นัดพบนักเขียน : ยุทธชัย สว่างสมุทรชัย
ภาพ: พศิน สาทสนิท
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.all-magazine.com