หยูหัว จากหมอฟันสู่นักเขียนแห่งทศวรรษของจีน

เขาคือเจ้าของหนังสือที่รัฐบาลจีนสั่งห้ามเผยแพร่ และเขาก็คือนักเขียนซึ่งมีผลงานทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของแผ่นดินจีนในทศวรรษนี้
เหตุการณ์การปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน ชาวจีนมากมายต้องประสบเคราะห์กรรมจากแนวคิดสุดโต่งของเหมาเจ๋อตุง และด้วยแนวคิดคอมมิวนิสต์นี้ทำให้สิ่งต่างๆ ซึ่งแสดงถึงวัฒนธรรมของจีนต้องถูกทำลาย เช่น หนังสือ วัดวาอาราม รูปปั้น งานศิลปะต่างๆ รวมทั้งสภาพจิตใจของชาวจีน และทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจกันระหว่างครอบครัว เพื่อนบ้าน เพราะต่างก็ระแวงซึ่งกันและกันว่าอีกฝ่ายจะแจ้งให้ทางการรู้เกี่ยวกับการละเมิดกฎ ซึ่งแทบทุกคนย่อมกระทำผิดทั้งสิ้น
ตลอดช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมจีน หยูหัว เป็นผู้สังเกตการณ์อย่างเงียบๆ ในมุมหนึ่งของสังคม พร้อมกับดำเนินชีวิตอย่างสามัญชนทั่วไป ความอึดอัด คับข้องใจค่อยๆ สุมอยู่ในสมองของเขา จนกระทั่งจบสิ้นยุคปฏิวัติวัฒนธรรมจีนในปี 1976 สภาวการณ์จึงค่อยๆ คลี่คลาย ทว่าทุกเหตุการณ์ ความทุกข์ยาก ที่ผ่านสายตาหยูหัว ยังไม่คลี่คลาย กลับฝังแน่นอย่างนั้นเสมอมา
0ผมไม่ใช่หมอฟัน !
สองปีให้หลังจากที่เหมาเจ๋อตุงตายพร้อมๆ กับการล่มสลายของยุคปฏิวัติวัฒนธรรมจีน หยูหัว ได้ยึดอาชีพทันตแพทย์เพื่อเลี้ยงชีพ หากเป็นยุคสมัยนี้เขาคงกลายเป็นเศรษฐี มีเกียรติยศ มีเงินทองมากมายจากอาชีพนี้ ทว่า ในช่วงนั้นรัฐบาลคือผู้มอบหมายอาชีพให้ชาวจีนแต่ละคน หมายความว่าชาวจีนไม่มีสิทธิ์เลือกอาชีพ ทุกคนต้องทำตามบทบาทเท่านั้น บทบาทของเขาคือ หมอฟัน
ตลอดเวลาที่เขาทำฟัน ไม่มีวันใดที่เขาสุข เขาจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนทำ ขณะที่สายตาก็เหลือบมองเห็นคนบางกลุ่มกำลังเดินเตร็ดเตร่ไปตามท้องถนน หอศิลปวัฒนธรรม หรือไม่ก็สถานที่ต่างๆ ตอนนั้นเขาคิดเพียงว่าคนพวกนั้นช่างน่าสงสารเพราะไม่มีงานทำ เขายังโชคดีที่มีอาชีพ เขาปฏิบัติหน้าที่หมอฟันเป็นกิจวัตร แม้จะด้วยความรู้สึกเกลียดอาชีพนี้เป็นที่สุด เพราะหน้าที่ของหมอฟันคือนั่งดูปากคนอื่นถึงวันละแปดชั่วโมงเต็ม
"คนที่มีสุขภาพฟันดีไม่มีวันมาอ้าปากให้หมอดู" เขากล่าว "ฉะนั้นปากที่จะมาอ้าให้หมอฟันดู ก็เป็นปากที่มีปัญหาทั้งสิ้น"
กระทั่งสู่ห้าขวบปี ความอึดอัดที่สั่งสมมานานปะทุอย่างรุนแรง เขาหยุดทำฟัน ถอดเสื้อกาวน์วางลงบนเก้าอี้ตัวเก่า แล้วไม่หันกลับไปมองมันอีก เขาเดินสู่ถนนเพียงลำพัง ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าจะไปที่ไหนหรือทำอะไรต่อไป
ตอนนี้เขาคือชายหนุ่มผู้ไร้ที่ไป ไร้อาชีพ "เราก็ไม่ต่างจากคนพวกนั้นที่เดินไปๆ มาๆ ตามท้องถนน" เขาคิด
แต่ท่ามกลางความเดียวดาย บทสนทนาเพียงครู่ยามระหว่างเขากับชายเดินเตร็ดเตร่บนท้องถนนคนหนึ่งได้จุดประกายบางอย่างแก่ชีวิตเขา
"ทำไมไม่เห็นพวกคุณทำงานอะไรเลย" เขาถาม
"เดินไปเดินมาตามท้องถนนนี่แหละ กำลังทำงานอยู่" ชายเดินเตร่ตอบ
หยูหัวอุทานขึ้นในใจว่านี่แหละคืองานที่เขาชอบ เขาจึงถามชายเดินเตร่คนนั้นต่อเพื่อหาหนทางทำงานประเภทนี้บ้าง
"มีทางเลือกสามอย่าง คือ หนึ่ง แต่งเพลงได้ สอง วาดรูปเป็น และสาม เขียนนิยายเป็น" ชายเดินเตร่บอกเขา
สำหรับอดีตทันตแพทย์อารมณ์เฉื่อยชาอย่างหยูหัว การแต่งเพลงและการวาดรูปคงยากเกินกว่าจะทำได้ แต่เขาคิดว่าแค่รู้ภาษาจีนก็คงเขียนนิยายได้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มเขียนหนังสือตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
อาชีพใหม่ดูจะไปได้ดี แต่ด้วยความรู้เรื่องภาษาจีนอย่างงูๆ ปลาๆ ทำให้เขามีคำในคลังเพียงน้อยนิด งานชิ้นแรกๆ จึงออกมาอย่างง่ายๆ
หลายปีต่อมา มีนักวิจารณ์ชาวจีนมากมายได้อ่านผลงานของหยูหัว และมองว่างานของเขาเป็นนิยายที่ใช้คำง่ายๆ ดีมาก
"เพราะว่าอะไร เพราะตัวผมรู้ภาษาจีนไม่เยอะอยู่แล้ว"
0ถึงวันมังกรโบยบิน
แม้เนื้อเรื่องที่เขาเขียนจะก่อตัวจากคำศัพท์ง่ายๆ ทว่า สิ่งที่เคยอัดแน่นสุมอกเขาก็เป็นหัวเชื้อให้งานของเขาได้อย่างดี
หยูหัวเติบโตในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมจีน ดังนั้นผลงานของเขามากมาย ทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น และบทความจึงสะท้อนสภาพประเทศจีนในช่วงนั้น หากใครไม่เข้าใจว่าสภาพสังคมชาวจีนยุคนั้นเป็นอย่างไร ผู้ที่อ่านงานของหยูหัวหลายคนบอกว่างานของเขาค่อนข้างโหดร้ายทารุณ — นี่คือคำตอบ
เมื่องานของเขาเริ่มเป็นที่นิยม มีการนำไปแปลเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งนักวิจารณ์ต่างประเทศบางคนถึงกับบอกว่าสำนวนละม้ายคล้ายนักเขียนระดับโลกท่านหนึ่งนาม เออร์เนสต์ มิลเลอร์ เฮมิงเวย์ (Ernest Miller Hemingway) ผู้เป็นเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมปี 1954
"ผมก็เลยบอกนักวิจารณ์ฝรั่งคนนั้นว่า คุณเฮมิงเวย์คงจะรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษไม่เยอะเหมือนกัน (หัวเราะ)"
หลังจากนั้นหยูหัวได้สร้างชื่อเสียงแก่ตนเองจนเป็นที่ยอมรับและได้เข้าทำงานที่หอศิลปวัฒนธรรมดังหวัง
"วันแรกที่ทำงาน ผมจงใจไปทำงานสายสองชั่วโมง ปรากฏว่า พอไปถึงแล้ว พบว่าผมเป็นคนที่เข้างานคนแรก ก็เลยบอกตัวเองว่า เฮ้ย มาถูกที่แล้ว"
นับแต่นั้นมาเขาก็ได้ใช้ชีวิตที่เป็นอิสระ ไม่ต้องอยู่ในกรอบที่คอมมิวนิสต์วางไว้ดังที่ชาวจีนทุกคนประสบ
"รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมในชีวิตนักเขียน ก็คือเวลาทั้งหมดเป็นของเราคนเดียว"
หลังจากที่เขาสลัดคราบหมอฟันทิ้งจนสิ้นซาก และคิดเพียงว่าอาชีพนักเขียนมีอิสระและดีกว่าเป็นหมอฟัน บัดนี้ ความคิดของเขาเปลี่ยนไปแทบไม่เหลือ เพราะกว่ายี่สิบปีที่เขาเขียนหนังสือ หยูหัวค่อยๆ พบว่าแท้จริงแล้วเขารักงานเขียนจริงๆ ด้านหนึ่ง งานเขียนให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่เขา ชื่อเสียง เงินทอง แต่อีกด้านซึ่งสำคัญยิ่งกว่า คือ ได้ถ่ายทอดความคิดของตนอย่างอิสระ
"ในโลกปัจจุบันผู้คนจำนวนมาก ไม่สามารถแสดงความคิดความรู้สึกออกมาตามใจชอบเนื่องจากข้อจำกัดสภาพความเป็นจริง แต่ในโลกจินตนาการ โลกจำลอง เราสามารถระบายทุกอย่างได้ตามใจชอบ"
เมื่อการสร้างสรรค์งานเขียนเป็นงานที่ใช่ เขาจึงเดินหน้าเต็มกำลัง ผลิตผลงานออกมามากมาย หลายเล่มเป็นหนังสือที่ทรงอิทธิพลที่สุดของจีน ได้แก่ คนขายเลือด (Chronicle of a Blood Merchant) และคนตายยาก (To Live) ซึ่งเล่มหลังได้สร้างเป็นภาพยนตร์โดยผู้กำกับชื่อดัง จางอี้โหมว แต่เนื้อหาที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์ทำให้ถูกสั่งห้ามฉายในแผ่นดินจีน
ในความโชคร้ายยังมีโชคดี การสั่งห้ามฉายภาพยนตร์เรื่อง คนตายยาก ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลก นวนิยายของเขาจึงกลายเป็นนวนิยายขายดีโดยปริยาย
และด้วยผลงานชิ้นเดียวกันนี้เองทำให้เขาคว้ารางวัล Premio Grinzane Cavour ของประเทศอิตาลี ในปี 1998 ถัดมาอีกเพียงสี่ปี หยูหัวกลายเป็นคนจีนคนแรกที่ชนะรางวัลอันทรงเกียรติชื่อ James Joyce Foundation Award และในปี 2008 นวนิยายเรื่อง พี่กับน้อง (Brother) ได้เข้าชิงรางวัล Man Asian Literary Prize
และผลงานเล่มล่าสุดของเขาที่แรงไม่แพ้เรื่องก่อน จนกระทั่งถูกสั่งห้ามเผยแพร่ในประเทศจีนอีกเรื่อง คือ 'สิบคำ นิยามจีน'
0สิบคำนิยามจีน ความจริงที่ถูกแบน
เคยมีคนกล่าวว่า "ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย" อาจใช้ไม่ได้กับเมืองคอมมิวนิสต์อย่างประเทศจีน เพราะความจริงอันใดซึ่งก่อให้เกิดความระส่ำระสายต่อรัฐบาลย่อมถูกฆ่าให้ตายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หนึ่งในความจริงที่รัฐบาลจีนพยายามประหัตประหารคือหนังสือของ หยูหัว เรื่อง สิบคำ นิยามจีน
สิบคำ นิยามจีน เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2009 จากคำแรกคือ 'ประชาชน' เนื่องจากเป็นวาระครบรอบ 20 ปี เหตุการณ์เทียนอันเหมิน เขาจึงเขียนบทความว่าด้วยประชาชนเพื่อรำลึกเหตุการณ์ดังกล่าว
"เพราะในช่วงระหว่างเกิดเหตุการณ์ ผมอยู่ในปักกิ่งและอยู่ร่วมเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ พอผ่านไปยี่สิบปีจึงมีความรู้สึกอยากเขียนถึงบทความที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นมากๆ ก็เลยเขียนจนจบ โดยไม่เคยคิดว่าจะนำเสนอที่ไหน อยากเขียนเพื่อเก็บรำลึกของตัวเองเท่านั้น"
เขาเริ่มเขียนเรื่อง 'ประชาชน' เดือนเมษายน เพียงหนึ่งเดือนหลังจากเขียนเสร็จ หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์ ติดต่อขอบทความเกี่ยวกับเหตุการณ์เทียนอันเหมินจากเขาโดยที่ไม่รู้ว่าเขาได้เขียนบทความนั้นไว้แล้ว เมื่อสบโอกาสเขาจึงมอบบทความให้แก่นิวยอร์ก ไทมส์ เพื่อตีพิมพ์ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเขียนคำที่สอง 'ผู้นำ'
เมื่อเขียนเสร็จก็มีนักแปลชาวอเมริกันนำไปแปลเผยแพร่ทันที แต่หลังจากสองคำนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีกเลย
"เขียนได้สองคำก็ทิ้งไว้ไม่ได้คิดจะทำอะไรกับมันมากกว่านั้น แต่พอถึงประมาณเดือนตุลาคมในงานแฟรงก์เฟิร์ตบุ๊คแฟร์ เอเยนซีอังกฤษขายลิขสิทธิ์ได้ ผมจึงต้องกลับมาเขียนจนจบ
แต่ก็เขียนจบลงไม่ยากเย็น ใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่กลั่นกรอง (กลั่นจากประสบการณ์) และสะสมตลอดสี่สิบปีทั้งความคิด ทั้งชีวิตความเป็นอยู่ และความคิดที่มีต่อสังคมการเมือง"
แน่นอนว่าประเด็นที่เขาแตะต้องล้วนเกี่ยวกับการเมือง สิบคำ นิยามจีน จึงเป็นหนังสือต้องห้ามในประเทศจีน เพราะเพียงแง้มปกในบทที่หนึ่งก็กล่าวถึงเหตุการณ์เทียนอันเหมินอันโหดร้าย ผู้ชุมนุมมากมายต้องสังเวยเลือดเนื้อเพื่อจะได้มาซึ่งประชาธิปไตย ทว่า ก็ไม่เป็นผล
ความทารุณเช่นนี้ทั่วโลกรับรู้ และแม้แต่รัฐบาลจีนก็รับรู้ ถึงกระนั้นการฆ่าความจริงให้ตายเสียคือวิถีทางของรัฐบาลคอมมิวนิสต์
นับตั้งแต่ยุคของเติ้งเสี่ยวผิง ประเทศจีนเปิดประเทศมากขึ้นและพัฒนาด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว ทำให้ชาวจีนยุคใหม่รู้สึกว่าสังคมจีนมีความสุขดี แต่ด้วยการพัฒนาที่รวดเร็วปานกระสุนปืนกล ชาวจีนจึงละเลยที่จะศึกษาว่าอะไรเป็นเหตุของปัจจุบัน ทุกคนกำลังหลงลืมอดีต สิบคำ นิยามจีน จึงทำหน้าที่ฉุกคิดแก่ชาวจีนให้เหลียวมองประวัติศาสตร์เปื้อนเลือดก่อนที่จะมาเป็นจีนชาติพันธุ์มังกรซึ่งงามสง่าเฉกเช่นปัจจุบัน
"หนังสือเล่มนี้ที่ผมอยากจะบอกก็คือต้นเหตุคืออะไร เหตุที่ทำให้ผลลัพธ์ของประเทศเป็นอย่างทุกวันนี้เกิดขึ้นจากอะไร"
ถึงตรงนี้อาจเข้าใจว่าผลงานของหยูหัวมีแต่เรื่องความรุนแรง เป็นงานที่เครียด จริงจัง แต่สิบคำ นิยามจีน ไม่ใช่หนังสืออ่านยากเช่นนั้นเลย แม้ทั้งสิบคำจะบ่งบอกถึงสภาพสังคมอันแร้นแค้น แต่ลีลาการนำเสนอของหยูหัวช่วยย่อยเรื่องเหล่านี้ให้เสพง่าย สบายสมอง เพราะเขาก็บอกว่า "นี่ไม่ใช่หนังสือวิชาการ เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม"
แต่เป็นนิทานที่เขาอยากเล่าให้ชาวจีนและคุณฟัง
"มีนิทานมากมายที่คุณจะอ่านสนุก อ่านแล้วมีความสุข แต่ก็แน่นอนอาจจะมีเรื่องที่อ่านแล้วเศร้าก็ได้"
โดย : ปริญญา ชาวสมุน