Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

หนังสือเกี่ยวกับธุรกิจที่ สฤณี อาชวานันทกุล แนะนำ

 

 
ในบรรดาปัญหาทั้งหมดในโลกหมุนเร็วยุคนี้ การละเมิดลิขสิทธิ์ในอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะการแชร์ไฟล์ (peer-to-peer หรือย่อว่า P2P) และโหลดบิต (bittorrent) เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในทุกสังคม จนทำให้ผู้ใช้เน็ต โดยเฉพาะวัยรุ่นยุคดิจิทัล กลายเป็น "อาชญากร" ในสายตาของกฎหมายลิขสิทธิ์ทั่วโลก 
 
แต่การละเมิดลิขสิทธิ์ขนานใหญ่ในอินเทอร์เน็ต เป็น "ปัญหา" ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างที่เจ้าของลิขสิทธิ์กล่าวอ้างจริงหรือ หรือเป็น "สัญญาณ" ที่บ่งชี้การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เทคโนโลยี และเศรษฐกิจที่อยู่ลึกกว่านั้น – การเปลี่ยนแปลงที่เจ้าของลิขสิทธิ์ใช้โมเดลธุรกิจทรัพย์สินทางปัญญาดั้งเดิมยังตามไม่ทัน เพราะยังดึงดันที่จะมองปรากฏการณ์นี้ผ่านแว่นของ "ศีลธรรม" และ "กฎหมาย" ที่ใช้กันมานานหลายสิบปี ก่อนอินเทอร์เน็ตถือกำเนิด 
 
นักข่าวและนักเขียนนาม Matt Mason ผู้ได้รับการขนานนามจากวารสาร Business Week ว่า "Pirate of the Year" (โจรสลัดแห่งปี) ในปี 2008 อธิบายความคับแคบ ล้าสมัย และใช้การไม่ได้แล้ว ของแว่นทางศีลธรรมและกฎหมาย ในบริบทการเติบโตของ "วัฒนธรรมรีมิกซ์" อย่างชัดเจนใน The Pirate"s Dilemma – หนังสือดีอีกเล่มหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่า "ต้องอ่าน" สำหรับคนที่อยากทำความเข้าใจกับวิถีชีวิตและสปิริตของคนรุ่นใหม่ที่โหลดบิตกันกระจายตั้งแต่เด็ก 
 
การเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตทุกยุคย่อมมีวัยรุ่นเป็นหัวหอกเสมอ เพราะพวกเขาคือวัยที่มีพลังสร้างสรรค์และอ้าแขนรับสิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็วที่สุด ในฐานะอดีตโจรสลัดหนุ่มนักจัดรายการวิทยุเถื่อน Mason เข้าใจดีว่าการทดลองและแสดงออกของวัยรุ่นนั้นมักจะทำไปเพียงเพราะพวกเขาทำได้ และทำในทางที่สะดวกรวดเร็วทันใจที่สุด โดยไม่สนใจว่า การกระทำนั้นละเมิดกฎหมาย หรือกฎเกณฑ์อะไรบ้าง 
 
ในระดับโลก วิทยุเถื่อนย้ายไปจัดผ่านอินเทอร์เน็ต จากเซิร์ฟเวอร์เถื่อนที่ผุดขึ้นในบริเวณเดียวกันกับที่เคยเป็นซ่องโจรสลัดในแบบฉบับดั้งเดิมเมื่อหลายร้อยปีก่อน ส่วนที่มีสีสันและสร้างสรรค์ที่สุดของวัฒนธรรมในทุกสังคมคือวัฒนธรรมวัยรุ่น และหัวใจของวัฒนธรรมวัยรุ่นในปัจจุบันก็คือการแชร์ไฟล์ระหว่างกันและสร้างงานสร้างสรรค์ชิ้นใหม่ ๆ จากของเก่า – แมชอัพ, คอลลาจ, รีมิกซ์ – ซึ่งล้วนแต่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ปัจจุบันทั้งสิ้น 
 
Mason อธิบายวัฒนธรรมวัยรุ่นยุคดิจิทัลอย่างละเอียดเพื่อชี้ให้เห็นว่า การละเลยการละเมิดลิขสิทธิ์นั้นไม่มีทางแก้ปัญหานี้ได้ก็จริง แต่ในขณะเดียวกัน ความพยายามที่จะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือเดียวในการแก้ปัญหา (ไล่จับคนที่แชร์ไฟล์) นั้นก็ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จเช่นกัน เพราะธรรมชาติ "เปิด" ของอินเทอร์เน็ตที่เอื้อต่อการไหลเวียนอย่างเสรีของข้อมูล แปลว่า "โจรสลัด" เพียงแต่ต้องย้ายเซิร์ฟเวอร์ไปตั้งที่อื่นที่พ้นจากเงื้อมมือของเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น 
 
สถานการณ์นี้หมายความว่า ทางออกเพียงทางเดียวที่เป็นไปได้ คือเราต้องเลิกมองว่าเรื่องนี้เป็น "ปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์" ที่ต้องแก้ด้วยการ "จับผู้ละเมิด" เปลี่ยนเป็นการยอมรับว่าการแชร์ไฟล์ โหลดบิต รีมิกซ์ ฯลฯ เป็นวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่จะดำเนินต่อไป สิ่งเดียวที่ทุกฝ่ายทำได้ คือพยายามหาวิธีใหม่ ๆ ที่จะรับมือกับวัฒนธรรมใหม่ที่กำลังทำลายล้างโมเดลธุรกิจเดิม ๆ ที่ตั้งอยู่บนการไหลเวียนทางเดียวของสื่อและสินค้า คือจากมือผู้ผลิตไปสู่มือผู้บริโภค ไม่ใช่ระหว่างผู้บริโภคด้วยกันเองอย่างในปัจจุบัน 
 
ตอนหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมากใน The Pirate"s Dilemma คือการหวนกลับไปสู่ประวัติศาสตร์การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในอเมริกา เพื่อชี้ให้เห็นว่าอุตสาหกรรมหลายอุตสาหกรรมเป็นหนี้บุญคุณโจรสลัดในอดีตเพียงใด Mason เล่าอย่างสนุกสนานว่า บรรพบุรุษชาวอเมริกันปัจจุบันนั้นคือโจรสลัดที่ลือชื่อเสียจนได้รับการขนานนามจากชนชาติอื่นว่า "แยงกี้" (Yankee) – แผลงมาจากคำแสลง "Janke" ในภาษาดัตช์ที่แปลว่าโจรสลัด ยุคดิสโก้ของอเมริกาเกิดจากการละเมิดลิขสิทธิ์ของแม่ชีวัย 40 และอุตสาหกรรมภาพยนตร์อเมริกันที่เรารู้จักกันในนามฮอลลีวูดนั้น ก็เป็นผลพวงโดยตรงของโจรสลัดรุ่นบุกเบิกอย่าง William Fox (ผู้ก่อตั้งบริษัทอำนวยการสร้างภาพยนตร์ชื่อ 20th Century Fox) ที่หนีไปตั้งรกรากในชายฝั่งตะวันตกของอเมริกา จะได้สร้างหนังได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้สิทธิแพงหูฉี่ให้กับ Thomas Edison ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าและเครื่องฉายหนัง 
 
Mason พาเราย้อนเวลาหาอดีตเพื่อเติมเต็มความเข้าใจ จะได้มองเห็นทิศทางของสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างเที่ยงตรงตามที่มันเป็นจริง ไม่ใช่จากแว่นสีชาของศีลธรรม หรือกฎหมาย เขาชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันวงการดนตรี โฆษณา และผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเก่งกว่าผู้ผลิตสื่อเก่า กำลังโน้มมาบรรจบกันเป็นวัฒนธรรมใหม่ เขาฉายภาพการเติบโตของ "วัฒนธรรมใต้ดิน" (subculture) ที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยการท้าทายขนบเดิม ๆ และกฎหมายทุกหนแห่งและทุกยุค ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นดนตรีพังก์ ดิสโก้ ฮิปฮอป วิทยุเถื่อน หรือการเติบโตของภาพวาดตามกำแพงที่เปลี่ยนสถานภาพจาก "งานไร้สาระของคนมือบอน" กลายเป็น "ศิลปะติดดิน" จนมาถึง "การยึดคืนพื้นที่สาธารณะ" 
 
Mason บอกว่า แทนที่เราจะปล่อยให้เจ้าของลิขสิทธิ์อ้างลิขสิทธิ์ไล่ล่าวัยรุ่นทั่วโลกที่แชร์ไฟล์ ราวกับว่าพวกเขาเป็นอาชญากรตัวกลั่น เราควรจะทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า การ "ละเมิดลิขสิทธิ์" ของพวกเขานั้น อันที่จริงแล้วคือ "การคิดค้นนวัตกรรมทุกวิถีทางที่ทำได้" และโจรสลัดยุคนี้จะ "กลับมาใหม่และทวีจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะถูกฟ้องไปกี่คนก็ตาม" ด้วยเหตุนั้น อุตสาหกรรมทรัพย์สินทางปัญญาควรเลิกมองเรื่องนี้ว่าเป็นอันตราย แต่มองพ้นไปจากนั้น เพื่อทำความเข้าใจกับ "เศรษฐกิจชื่อเสียง" ในอินเทอร์เน็ต และโอกาสทำกำไรที่ซ่อนอยู่ในนั้น Mason อธิบายวิธีใช้พลังเปิดในอินเทอร์เน็ตสร้าง 
 
มูลค่าทางธุรกิจอย่างเข้าใจง่ายด้วยการยกตัวอย่างมากมาย เช่น ในบทที่ชื่อ "วิธีสร้างสังคมโอเพ่นซอร์ซ – เสาหลัก 4 ต้นของชุมชน" และ "วิธีดูแลไวรัส" 
 
The Pirate"s Dilemma เป็นหนังสือที่อ่านสนุก อ่านง่าย และเต็มไปด้วยตัวอย่างมากมายที่น่าจะช่วยเปลี่ยนความคิดคนที่เชื่อว่าวัฒนธรรมแชร์ไฟล์ในอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นการกระทำของหัวขโมยเลวร้ายที่ต้องกำจัดให้สิ้นซาก ให้เริ่มเข้าใจประเด็นของ Mason ว่ามันเป็นวิถีชีวิตใหม่ของคนรุ่นใหม่ที่พยายามจะสร้างชุมชนแบบใหม่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ กฎหมาย ศีลธรรม และค่านิยมของผู้ใหญ่ยุคแอนะล็อกต่างหากที่ตามพวกเขาไม่ทัน 
 
นักโฆษณา นักธุรกิจ และใครก็ตามที่อยากเข้าใจคนยุค 
 
"ดิจิทัลแต่กำเนิด" (digital natives) รวมทั้งศิลปินทุกแขนงที่ข้องใจว่าวัฒนธรรมแชร์ไฟล์ – โหลดบิตจะเป็นโอกาสสร้างชื่อเสียงและรายได้ให้กับตัวเองได้อย่างไร ควรอ่าน The Pirate"s Dilemma – หนังสือดีที่อธิบาย "ทุนนิยมจิ๊กโก๋" ยุคศตวรรษที่ 21 ที่กำลังแพร่หลายไปทั่วโลกได้อย่างสนุกสนานและเห็นภาพชัดเจนที่สุดเท่าที่ผู้เขียนรู้จัก  (หน้าพิเศษ D-Life)
 
คอลัมน์ DOG EAR 
โดย สฤณี อาชวานันทกุล www.fringer.org 
วันที่ 08 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4182 ประชาชาติธุรกิจ