หนังสืออีโรติก-โรมานซ์ ใช่หนังสือลามกหรือไม่

สาระสำคัญในร่างพระราชบัญญัติว่าด้วย "ปราบปรามวัตถุยั่วยุพฤติกรรมอันตราย" มีส่วนที่ครอบคลุมมาถึงสื่อแขนงต่างๆ ดังที่ได้ขยายความของคำว่า "วัตถุยั่วยุพฤติกรรมอันตราย" เอาไว้ดังนี้
"วัตถุยั่วยุพฤติกรรมอันตราย" หมายความว่า เอกสาร ภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสี สิ่งพิมพ์ รูปภาพ ภาพโฆษณา เครื่องหมาย รูปถ่าย ภาพยนตร์ เสียง วัสดุบันทึกเสียง วัสดุบันทึกภาพ วัสดุบันทึกข้อมูล เสียงหรือถ้อยคำทางโทรศัพท์ ข้อมูล ข้อความ ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะอยู่ในสื่อชนิดใด ที่กระตุ้น ส่งเสริม หรือยั่วยุการกระทำดังต่อไปนี้
(1) ให้มีการกระทำวิปริตทางเพศ
(2) ให้มีการกระทำทางเพศกับเด็ก
(3) ให้มีการฆ่าตัวตาย
(4) ให้ใช้ยาเสพติด หรือ
(5) การกระทำอื่นใดที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ส่วนคำว่า "ข้อมูล" หมายความว่า ภาพ เสียง ข้อความหรือตัวเลข
ส่วนในความหมายของ "การกระทำวิปริตทางเพศ" หมายถึง การกระทำหรือสื่อที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเพศ ดังต่อไปนี้
(1) ระหว่างผู้บุพการีกับผู้สืบสันดาน พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน หรือพี่น้องร่วมแต่บิดาหรือมารดาเดียวกัน
(2) โดยใช้ความรุนแรง ถึงขนาดที่น่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกาย
(3) โดยการบังคับขู่เข็ญหรือข่มขืน
(4) การร่วมประเวณีระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และรวมถึงการร่วมประเวณีหมู่ด้วย
(5) ร่วมเพศกับสัตว์หรือชำเราศพ
(6) ในลักษณะอื่นใดตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
"เด็ก" หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ และรวมถึงตัวแสดงในวัตถุยั่วยุพฤติกรรมอันตรายที่มีลักษณะทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นเด็ก
นี่เป็นเพียงสาระบางส่วนของพระราชบัญญัติว่าด้วย "ปราบปรามวัตถุยั่วยุพฤติกรรมอันตราย" ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนิตยสาร หนังสือพิมพ์ อินเทอร์เน็ต โปสเตอร์ ฯลฯ….รวมทั้งงานประพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสั้น นวนิยาย และบทกวี ซึ่งต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขกฎหมายฉบับนี้ด้วย
สำหรับจุดมุ่งหมายที่ทำให้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ก็เพื่อ…สร้างกฎหมายพิเศษที่มีบทบัญญัติทันสมัย ในการดำเนินการกับวัตถุพิเศษที่มีอิทธิพลต่อผู้เสพ ผู้ใช้ ในด้านการยั่วยุ ปลูกฝังพฤติกรรมแห่งความรุนแรงที่ผิดปกติทั้งทางเพศ หรือทางอารมณ์ โดยเชื่อมโยงให้เกิดการใช้อำนาจร่วมกันหลายกฎหมาย ทั้งกฎหมายคุ้มครองเด็ก กฎหมายอาญา กฎหมายส่งเสริมสวัสดิการสังคม กฎหมายการไปรษณีย์ กฎหมายการสื่อสารสารสนเทศ กฎหมายสถานบริการ
และหากใครผลิตและจำหน่ายวัตถุต่างๆ อันจะก่อให้เกิดการยั่วยุพฤติกรรมให้เป็นอันตราย เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ สามารถจับกุมส่งฟ้องศาลได้ และถ้าผิดจริงยังจะมีโทษหนักจำคุก 1-5 ปีอีกด้วย
จากสาระของ พ.ร.บ.ดังกล่าวนั้น ถ้าหากนำมาใช้กับงานประพันธ์แล้ว ก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่งในการจะชี้ชัดได้ว่ามันผิดกฎหมายหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานเขียนเรื่องสั้นและนวนิยายแนวอีโรติก และโรมานซ์ ที่สะท้อนเรื่องราวความต้องการทางเพศ และความรักของมนุษย์ อาจจะเป็นแง่มุมหนึ่งแง่มุมใดก็ได้ ซึ่งตรงนี้เองที่นำมาสู่การถกเถียง และพยายามจะหาข้อสรุปเพื่อความชัดเจน เพราะงานประพันธ์เป็นงานศิลปะแขนงหนึ่ง ที่ยากจะตัดสินได้ว่า มันเป็นสิ่งเลวร้าย หรือลามกอนาจารนั่นเอง
แล้วมีอะไรมาบ่งชี้ว่า งานเขียนและหนังสือแนวอีโรติก-โรมานซ์ เป็นหนังสือลามกหรือไม่
เรื่องที่หลายคนในวงการหนังสือพากันสงสัยว่า หนังสือเล่มใดบ้างที่เข้าข่ายลามกอนาจาร สมควรเก็บออกจากแผง และให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินคดีกับผู้จัดพิมพ์ตามกฎหมายนั้น เป็นการตัดสินยากมาก พอๆ กับการตัดสินว่าบทภาพยนตร์เรื่องไหนให้มีบทจูบได้ หรือจูบไม่ได้ ควรจะเห็นหน้าอกของนางเอกหรือพระเอกแค่ไหน อย่างไร มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ยากที่จะให้เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจนำกฎหมายที่กำหนดใช้เมื่อปี 2484 มาจัดการได้ เพราะมีนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ของโลกหลายคนที่นิยมบรรยายฉากทำนองนี้ และถ้าจะพูดกันตามความเป็นจริงแล้ว มันก็คือพฤติกรรมของมนุษย์ที่เราๆ ท่านๆ รู้อยู่นั่นแหละ
ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายถึงการจูบอย่างดูดดื่ม การใช้ลิ้นเล้าโลมอวัยวะเพศอย่างถึงพริกถึงขิง หรือการบรรยายถึงการร่วมรักที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างลึกซึ้ง รวมไปถึงการบรรยายถึงอวัยวะเพศ หน้าอก บั้นท้าย สะโพกของผู้หญิง สิ่งเหล่านี้มักจะมีอยู่ในงานวรรณกรรมระดับโลก ซุกซ่อนอยู่ในเนื้อหาอันยิ่งใหญ่อยู่บ่อยหน
ว่าไปแล้ว งานเขียนนั้นสามารถแบ่งออกหลายประเภท มีทั้งงานวรรณกรรมเพื่อชีวิต งานวรรณกรรมพาฝัน งานเขียนโรแมนติก และงานอีโรติก ซึ่งก็เป็นงานเขียนอีกประเภทหนึ่ง ที่ผู้คนให้ความนิยมยกย่อง
นักเขียนอีโรติกอย่าง อนาอิส นิน ก็ได้รับการยอมรับไปทั่วโลกว่า เป็นราชินีของงานเขียนอีโรติกที่สร้างสรรค์ได้อย่างสวยงามและลึกซึ้ง นอกจากอนาอิส นินแล้ว ก็ยังมี มาร์กาเร็ต ดูรา คนเขียนเรื่อง เดอะ เลิฟเวอร์ ที่ถูกยกย่องว่า เป็นการบรรยายถึงอารมณ์ผู้หญิงได้อย่างละเมียดละไม ซึ่งใน เดอะ เลิฟเวอร์ นั้น เต็มไปด้วยฉากการร่วมรักของหนุ่มใหญ่วัยสามสิบกว่ากับหญิงสาวเพิ่งย่างเข้าสิบหก หนังสือเล่มนี้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์และก็ยังคงเนื้อหาเดิมเอาไว้ ทั้งเรื่องเต็มไปด้วยฉากรักอันเร่าร้อน
ในเมืองไทยก็มีงานเขียนอีโรติกของนักเขียนชั้นครูอย่าง อุษณา เพลิงธรรม ที่เขียนเรื่อง เรื่องของจันดารา ที่มีเนื้อหาล่อแหลมไปในทางกามาวิจิตรอันบรรจงตลอดทั้งเล่ม ว่าด้วยความรักความใคร่ของหนุ่มน้อยที่ชื่อ 'จันดารา' หนังสือเล่มนี้ถูกยกย่องว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวรรณกรรมไทยอีกเรื่องหนึ่ง พร้อมทั้งมีการตีพิมพ์เป็นเล่มซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า และล่าสุด ยังได้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยผู้กำกับชื่อดัง 'นนทรี นิมิตรบุตร' อีกด้วย
หรือนักเขียนศิลปินแห่งชาติปี 2538 อย่าง 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ก็เฉกเช่นเดียวกันที่บรรยายถึงซ่องโสเภณีอย่างละเอียด เผยให้เห็นทุกซอกทุกมุมของความเป็นผู้หญิงขายบริการอย่างลึกซึ้งถึงแก่น ไม่ว่าจะเป็นพี่สมร สีรี มีลี กลีบผกา สมทรง บังอร รวมไปถึงชีวิตของก้าน มด ที่ดูแลผู้หญิงในซ่องของพี่สมรทุกคนอย่างเสมอหน้ากัน ในเรื่อง สนิมสร้อย ซึ่งถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วครั้งหนึ่ง
รวมทั้งเรื่องของมหาเศรษฐีหนุ่มที่ใช้ชีวิตหมกมุ่นอยู่กับงานและเงิน รวมถึงการแสวงหาความสุขทางเพศกับสาวๆ มากหน้าหลายตา ในเรื่อง ดลใจภุมรินทร์
เช่นเดียวกับปี 2546 ที่นักอ่านชาวไทยก็ได้อ่าน เซี่ยงไฮ้เบบี้ ของนักเขียนชาวจีนชื่อ เว่ยฮุย แปลโดย คำผกา โดยหนังสือเล่มนี้ได้รับการกล่าวขานอย่างกว้างขวางไปทั่วโลกว่า มีเนื้อหาอันล่อแหลม เต็มไปด้วยฉากรักมากมาย นางเอกชื่อ โกโก้ เป็นหญิงสาวทันสมัย มีแฟนชื่อ เทียนเทียน แต่ยังไม่มีความสัมพันธ์กับชายหนุ่มมากหน้าหลายตา ร่วมรักกันแทบไม่เลือกที่ ไม่ว่าบนเตียง ในห้องน้ำสาธารณะ ในร้านเหล้า บนพื้นสนามหญ้า หนังสือเล่มนี้เป็นที่ยอมรับกันว่า เป็นงานวรรณกรรมที่ทรงพลัง เป็นภาพสะท้อนของเซี่ยงไฮ้ในปัจจุบันได้อย่างดี
ดังเช่น ในหน้าที่ 119 โกโก้ได้รับโทรศัพท์จากเทียนเทียน ขณะที่เธอถูกมาร์คอุ้มเข้าไปในอพาร์ตเมนต์
"ฉันยอมรับว่า ฉันค่อนข้างมีอารมณ์หลังจากดื่มเหล้า เหมือนคนอื่นๆ ขณะที่มาร์คถอดเสื้อผ้าฉัน โทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันยกหูและได้ยินเสียงเทียนเทียน ..ฉันไม่รู้จะพูดอะไรกับเทียนเทียน เพราะตอนนี้ มาร์คอุ้มฉันนั่งบนโต๊ะใกล้กับโทรศัพท์ มือหนึ่งถือหูโทรศัพท์ อีกมือหนึ่งเกาะไหล่มาร์คไว้ เขาซุกศีรษะที่หน้าท้องและใช้ลิ้นทำงานตรงนั้น ทั้งๆ ที่ฉันยังไม่ได้ถอดชั้นใน ฉันรู้สึกเหมือนมีเข็มนับร้อยนับพันมาทิ่มแทง ทำเอาอ่อนระทวยไปทั้งร่าง"
ในเรื่อง เซี่ยงไฮ้เบบี้ ไม่เพียงแต่จะได้ถูกการกล่าวขานว่า เป็นหนังสือที่ดีแห่งทศวรรษนี้ แต่ก็ยังเป็นหนังสือที่พูดถึงความเสรีทางเพศได้อย่างลึกซึ้ง ยิ่งทางการจีนสั่งห้ามไม่ให้เผยแพร่หนังสือเล่มนี้ แต่จากการปลุกกระแสต่อต้านยิ่งทำให้หนังสือเล่มนี้ดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลก
หนังสือที่โด่งดังมากอีกเล่มหนึ่งคือ ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต เขียนโดยนักเขียนชื่อก้องโลกชาวเช็ก มิลาน กุนเดอรา เขาเขียนถึงนายแพทย์คนหนึ่งที่มีความมักมากในกาม นายแพทย์โทมัส เชื่อว่าการค้างคืนกับผู้หญิง "คือวัตถุพยานของความรัก" นายแพทย์มีกฎเลข 3 ที่ตัวเองถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดคือ "เมื่อคุณเจอผู้หญิงคนหนึ่งติดต่อกันสามครั้งรวดแล้วตัดขาดกันไปเลย หรือไม่คุณก็รักษาความสัมพันธ์ให้ยืดไปหลายปี แต่จำไว้เสมอว่า นัดพิศวาสแต่ละครั้งต้องทิ้งช่วงอย่างน้อยสามสัปดาห์"
นายแพทย์โทมัสแต่งงานกับเทเรซา แต่เขายังไปคบหากับหญิงอื่นอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้านผัวเผลอ ซาบินาศิลปินหญิงผู้เร่าร้อน เขาว่าระหว่างเขากับซาบินาเป็น "การร่วมรักกันอย่างซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ" หรือ "ทั้งสองร่วมรักกันอย่างไม่มีครั้งใดเปรียบ ครั้งนี้มันมิใช่กามกรีฑาแห่งตัณหาราคะ"
ในนวนิยายเรื่องนี้หน้า 109 ซาบินามีเซ็กซ์กับฟรานซ์อาจารย์มหาวิทยาลัย ซึ่งหนีเมียมาหลับนอนกับเธอ มิลานบรรยายความรู้สึกของซาบินาว่า
"การที่เขาชอบหลับตานั่นแหละทำให้ซาบินาดับไฟ เธอเห็นเปลือกตาหลุบต่ำอีกไม่ได้แม้ชั่วขณะเดียว ดังคำพังเพยที่กล่าวว่า ดวงตาคือหน้าต่างสู่จิตวิญญาณ ร่างกายของฟรานซ์ที่หลับตาขย่มบนตัวเธอ จึงเป็นร่างกายที่ปราศจากวิญญาณ เหมือนสัตว์เพิ่งเกิดใหม่ที่ยังหลับตาปี๋และครางหงิงๆ ออดหาเต้านมแม่ ฟรานซ์ผู้มีกล้ามเป็นมัด ยามสังวาสกลับเหมือนลูกสุนัขตัวยักษ์ดูดนมเธอ เขาอมหัวนมเธอไว้ในปากเหมือนกำลังดูดนมจริงๆ ด้วย ความคิดว่าเขาเป็นชายเต็มชายที่อวัยวะส่วนล่าง ส่วนร่างท่อนบนเป็นทารกที่ยังไม่หย่านม เหมือนเธอกำลังมีเพศสัมพันธ์กับเด็กทารก มันคาบเกี่ยวอยู่กับความน่าขยะแขยง ไม่เอา เธอจะไม่ยอมดูร่างกายเขากระเด้าอยู่บนตัวเธออีก จะไม่มีวันเปิดเต้านมให้อีก จะไม่ยอมเป็นนังสุนัขตัวเมียให้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม"
ผลงานอีกเล่มที่มีฉากรักอันร้อนแรงเจืออยู่ในเนื้อหาอันยิ่งใหญ่ที่วิพากษ์สังคมอินเดียได้อย่างลึกซึ้งถึงแก่นคือ เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ เขียนโดยนักเขียนหญิงชาวอินเดีย อรุณธตี รอย เธอเกิดเมื่อปี 1961 โดยนวนิยายเล่มแรก 'เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ' ได้รางวัลบุ๊คเกอร์ไพรซ์ในปี 1997 หนังสือเล่มนี้ถูกนำไปแปลเป็นภาษาต่างๆ ถึง 30 ภาษาทั่วโลก
เธอเขียนถึงผู้คนในครอบครัวของเธอ นำเรื่องเล็กๆ มาเสนอในรูปแบบเรื่องเล่าที่ยอกย้อน ตัวละครของเธอมีอุปนิสัยที่แปลกประหลาดน่าสนใจ บทสุดท้ายของเรื่องนี้มีฉากร่วมรักระหว่างอัมมูหญิงหม้ายเชื้อสายอินดู และเวลุธาชายหนุ่มวรรณจัณฑาล ดังตอนหนึ่งที่ว่า
"ผิวสีน้ำตาลแนบชิดกับผิวสีดำ ความนุ่มนวลอิงแอบอยู่กับความแข็งแกร่ง เต้าสีน้ำตาลอ่อนแนบแผงอกดำเนียน เธอดอมดมกลิ่นแม่น้ำในกายเขา กลิ่นเฉพาะตนของจัณฑาลปาราวันซึ่งเบบี้โกจัมมาเกลียดนักหนา อัมมูยื่นลิ้นล่วงท่อในช่องคอของเขา เลียรสปาราวัน ลิ้มชิมรสนั้นจากใบหู เธอรั้งศีรษะเขามาใกล้ จูบปาก จุมพิตเจือหมอกควัน การจูบที่เรียกร้องให้จูบตอบ เขาจูบตอบ แรกๆ จูบอย่างระมัดระวัง จากนั้นรุกเร้า เขาค่อยๆ ยกแขนขึ้นทางด้านหลังของเธอ ตบหลังเธอเบาๆ อย่างอ่อนโยนที่สุด เธอรับสัมผัสจากผิวมือของเขา มือด้าน กร้านสาก ราวกระดาษทราย เขาระมัดระวังไม่ทำให้เธอเจ็บปวด เธอมีแต่ความละมุนละไมให้เขา สัมผัสตัวตนของตนผ่านเขา ผิวพรรณของเธอ ร่างกายของเธอมีชีวิตก็เฉพาะตรงที่ที่เขาสัมผัส ร่างกายอื่นๆ เป็นแค่หมอกควัน เธอรู้สึกว่าเขาสะท้าน มือของเขาจับอยู่บนสะโพก รั้งสะโพกของเธอมาชิดกับสะโพกของเขา บอกให้เธอรู้ว่าเขาต้องการเธอมากแค่ไหน
อัมมูเนื้อตัวล่อนจ้อนนอนอยู่บนตัวของเวลุธา ปากแนบปาก เขาสยายเส้นผมของเธอห่มคลุมเขา ทั้งคู่เหมือนอยู่ในปะรำ เหมือนที่ลูกๆ ของเธอเคยทำยามไม่อยากสัมผัสสัมพันธ์กับโลกภายนอก เธอกระเถิบลงไปสักนิด แนะนำตัวเธอให้อวัยวะทั้งหลายของเขาได้รู้จัก ทั้งคอ หัวนมกับท้องแท่งช็อกโกแลต เธอจิบแม่น้ำหยดสุดท้ายจากรูสะดือของเขา ประทับลึงค์ตั้งร้อนตึงที่เปลือกตา ลิ้มชิมรส เธอรู้สึกเค็มในปาก เขาลุกขึ้นนั่ง รั้งตัวเธอไปกอด หน้าท้องของเธอสัมผัสหน้าท้องตึงกล้ามเนื้อแน่นของเขาที่อยู่เบื้องล่าง รู้สึกได้ว่าความเปียกจากตัวเธอไหลไปที่ผิวของเขา เขาอมหัวนมของเธอข้างหนึ่ง มือกร้านประคองเต้านมอีกข้าง กระดาษทรายห่อกำมะหยี่
นาทีที่เขานำเขาเข้าไปในกายของเธอ เธอเห็นความหนุ่มกับแววฉงนวูบผ่านเข้าไปในดวงตาของเขา เมื่อได้รู้ความลับที่เผยตัว เธอยิ้มให้เขา ราวเขาคือลูกชาย
ทันทีที่เขาเข้าไปในกายเธอ ความกลัวตกรางร่วงหล่น ชีววิทยาทำหน้าที่ของมันทันที ต้นทุนของชีวิตทะยานค่าจนเกินจะจ่ายได้
ดวงตาฝ้าหม่นกับดวงตาฝ้าหม่น สบตากันอย่างมั่นคง ผู้หญิงผิวผ่องเผยกายแก่ชายผิวมันเลื่อม เธอทั้งลึกและกว้างดั่งแม่น้ำ เขาแล่นใบไปในน่านน้ำของเธอ เธอรู้ได้ว่าเขาแล่นใบลึกเข้าไปทุกที อย่างเร่าร้อน บ้าคลั่ง เอ่ยขอ อยากไปให้ไกลกว่านั้น ไกลที่สุด แต่ต้องหยุด เพราะข้อจำกัดของทั้งเขาและเธอ และเมื่อถูกปฏิเสธ ยามเมื่อได้สัมผัสไปถึงส่วนที่ลึกล้ำที่สุดของเธอ เมื่อเขาถอนใจสะท้านสั่นสะอื้น เขาก็จมน้ำ
เธอนอนอิงแอบเขา เนื้อตัวเขาและเธอเปรอะเหงื่อเหนอะหนะ เธอรู้สึกว่าร่างกายของเขาพลัดไปจากกายเธอ ลมหายใจสม่ำเสมอมากขึ้น เห็นว่านัยน์ตาของเขาใสกระจ่าง เขาลูบเส้นผมของเธอ รู้สึกว่าเงื่อนปมที่หย่อนคลายในกายตนยังเขม็งเกลียวสั่นไหวอยู่ในกายเธอ เขาค่อยๆ พลิกเธอให้นอนหงาย ใช้ผ้าเปียกเช็ดเหงื่อกับละอองทรายบนกายเธอ เขานอนอยู่บนกายเธอ พยายามไม่ทุ่มน้ำหนักลงไป หินก้อนเล็กๆ กดผิวหนังที่ฝ่ามือ เขาจูบนัยน์ตาของเธอ จูบหู จูบหน้าอก จูบท้อง จูบรอยแตกสีเงินเจ็ดเส้นบนหน้าท้อง ผลจากการตั้งท้องของลูกแฝด จูบแนวขนอ่อนจากสะดือที่ลาดไปยังสามเหลี่ยมสีดำ ที่บอกเขาว่า อยากให้เขาไปที่ไหน ในระหว่างขาของเธอ ตรงที่ผิวหนังอ่อนบางที่สุด แล้วมือของช่างไม้ก็ยกสะโพกของเธอ ลิ้นของจัณฑาลสัมผัสตรงส่วนที่ลึกที่สุดในกายนั้น ดูดดื่มความลึกล้ำจากอ่างชีวิตของเธออย่างยาวนาน"
เธอร่ายรำให้เขาบนพื้นดินรูปเรือ เธอมีชีวิต "ให้วันนี้เป็นครั้งสุดท้าย ครั้งสุดท้ายโดยเด็ดขาด"
…………………………..
ทั้งหมดนั้น เป็นเพียงตัวอย่างอันน้อยนิด เพราะยังมีหนังสือวรรณกรรมอีกหลายต่อหลายเรื่อง ทั้งของนักเขียนไทย และต่างประเทศ ที่โด่งดังและเป็นที่ยอมรับของนักอ่านอย่างกว้างขวาง อีกทั้งยังถือเป็นศิลปะการประพันธ์ชิ้นเยี่ยมอีกด้วย
ดังนั้น จากตัวบทกฎหมายดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น….จึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียวสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับวงการหนังสือในบ้านเราทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นสมาคมผู้พิมพ์ผู้จัดจำหน่ายแห่งประเทศไทย สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย สมาคมนักแปลแห่งประเทศไทย…รวมทั้งนักเขียน นักแปล บรรณาธิการ สำนักพิมพ์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร …รวมทั้งร้านขายหนังสือด้วย
นี่มิใช่เรื่องเล็ก…แต่เป็นโจทย์ของประเทศ ที่ทุกฝ่ายจะต้องค้นหาคำตอบอย่างเร็วพลัน!0
ริสรวล อร่ามเจริญ
นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย
"มาตรการสำหรับปีนี้ คือที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดเรื่องคราวก่อน สมาคมผู้จัดพิมพ์ และกระทรวงวัฒนธรรมได้หาข้อสรุปร่วมกับภาคธุรกิจและเอกชนเพื่อสร้างกติกากลาง โดยจะจัดทำเรทติ้งในหนังสือประเภทกลุ่มเสี่ยง 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มการ์ตูน และกลุ่มบันเทิงคดี ว่าเหมาะสำหรับวัยไหน เพียงแต่ว่ารายละเอียดจะแบ่งเป็นเรทอย่างไรนั้น เกณฑ์ยังไม่ชัดเจน อาทิเช่น ภาษาแบบนี้จะอยู่ในระดับไหน สมาคมต้องมีการจัดสัมมนากับบรรณาธิการแต่ละสำนักพิมพ์และนักแปล และสันติบาลจะเข้ามาช่วยให้คำแนะนำด้วย
จริงๆ ผู้อ่านหนังสือกลุ่มนี้ก็ต้องดูแลเขาด้วยเหมือนกัน ต้องมาดูภาษาว่าอย่างไรที่ไม่หยาบโลน เพราะไม่ใช่หนังสือปกขาว สมมติเป็นนิยายแปลโรมานซ์ต้องเป็นระดับไหน ในงานสัปดาห์หนังสือปีนี้ก็ไม่ได้ห้ามขายนิยายโรมานซ์ เพราะทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่ได้เจาะจงประเภทใดประเภทหนึ่ง แต่อยากจะฝากว่า ถ้าเป็นผู้ใหญ่ต้องดูแลลูกด้วย เพราะในประเทศอื่นเขาก็ไม่มีการจัดเรทติ้ง โดยธรรมชาติของคนทำหนังสือเขาจะบอกว่า หนังสือเล่มนี้เหมาะกับวัยไหน บ้านเราอาจจะมีการอ่านข้ามรุ่น หรือว่าทำการตลาดโดยไม่ได้สนใจกลุ่มเป้าหมาย ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลบ้าง เวลาลูกซื้อหนังสืออะไรไปก็พลิกอ่านดูบ้าง เพราะกลุ่มรุนแรงพวกนี้ก็ล้วนแล้วแต่อันตราย
มองว่าทุกคนต้องมีเสรีภาพในการอ่าน นี่คือภาพรวมของวงการหนังสือทั้งหมด แต่ว่าในงานสัปดาห์หนังสือ ต้องขอความร่วมมือจากสำนักพิมพ์ให้เลือกหนังสือที่มีความเหมาะสม เพราะว่ากลุ่มเป้าหมายใหญ่ คือเยาวชน การที่พ่อแม่ให้สตางค์ลูกมาซื้อหนังสือสือก็ต้องให้เขาสบายใจ สมาคมและสำนักพิมพ์ต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้ปกครองด้วย"
…………………………………………….
วินทร์ เลียววาริณ
นักเขียนซีไรต์และเจ้าของสำนักพิมพ์ 113
"จริงๆ ผมมีความคิดจะจัดเรทหนังสือตัวเองมาหลายปีแล้ว แต่ในทางปฏิบัติมันยากนิดหนึ่ง เพราะเรื่องสั้นบางเรื่องก็จัดยาก โดยหลักการเห็นด้วยกับการจัดเรท แต่ในแง่ของรายละเอียดมันยาก เรื่องสั้นเองก็แบ่งค่อนข้างยาก เพราะไม่เหมือนนวนิยาย ต่างประเทศเองเขาก็ไม่ได้มีการจัดเรท แต่ว่าแมกกาซีนเขาค่อนข้างมีชัดเจน ผมคิดว่าควรจะมีการดำเนินการอะไรสักอย่าง หนังสือแบบไหนที่เข้าข่ายยั่วยุทางเพศ เยาวชนไม่ควรอ่าน หนังสือเอ็กซ์ต้องเป็นยังไง ไม่ถึงขนาดเอาออกจากแผง เพราะอย่างหนังสือโรแมนซ์มันต้องมีส่วนประกอบแบบนั้น หนังสือดีๆ ในอดีตมันมีอยู่แล้ว ควรจะมีมาตรการต่างๆ แต่ไม่ควรอยู่ในรูปของการเซ็นเซอร์
เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นภาระของคนทำหนังสือเท่านั้น แต่เป็นระดับสังคม รวมไปถึงศิลปะแขนงอื่นๆ ด้วย อาทิเช่น ภาพยนตร์ หนังสือแต่ละเรื่องต้องดูที่เจตนาว่าหนังสือเล่มนั้นได้ยั่วยุอารมณ์ทางเพศหรือไม่ ไม่ใช่การใช้ภาษา แต่อยู่ที่เจตนามากกว่า ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ แต่การมีเสรีภาพต้องมีขอบเขต เพราะถ้าเรามีลูกก็ไม่อยากให้ลูกอ่าน พอถึงวัยระดับหนึ่งที่เขาอยากรู้มากขึ้นค่อยให้เขาอ่าน เรื่องนี้คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง มันต้องทำให้ชัดเจน ผมคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง"
………………………………………
ธีระวุฒิ รุ่งวัฒนไพบูลย์
กรรมการผู้จัดการบริษัท มาตุลีเอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ร้านหนังสือมาตุลี ศูนย์ส่งเสริมรักการอ่านแห่งชาติ (กรณีตัวอย่างเคยถูกสันติบาลตรวจจับหนังสือการ์ตูนลามก)
"เกี่ยวกับหนังสือมันไม่มีใครสร้างบรรทัดฐานว่าจุดไหนตรงไหนโป๊ ตอนนี้ทั้งทางสมาคมผู้จัดพิมพ์ และสมาคมนักเขียน รวมทั้งกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และสันติบาล กำลังประชุมจัดเรทกันอยู่หลายครั้ง แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจน คือหนังสือมันแล้วแต่มุมมอง อย่างหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นมันก็มีออกมาหลายแนว บางแนวมันก็เป็นการยั่วยุเยาวชน ถึงจุดหนึ่งมันก็ไม่สมควร เขาก็ต้องตรวจเฝ้าระวัง เขาต้องช่วยสังคม คอยเฝ้าระวังสื่อที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเยาวชน
คนอยู่ในวงการหนังสือต้องรีบๆ เข้ามาจัดระเบียบว่าหนังสือถึงจุดไหนที่จะเป็นลามก ถึงจุดไหนที่จะยั่วยุ ต้องมาจัดเรทให้ชัดเจนเพื่อให้คนที่อยู่ในอาชีพนี้รู้ถึงขั้นตอน ไม่อย่างนั้นก็แล้วแต่เจ้าหน้าที่ บางเรื่องเจ้าหน้าที่บอกว่าเข้าข่าย แต่คนทำบอกว่าไม่เข้าข่าย มันก็เป็นปัญหากันอยู่เรื่อยๆ เพราะว่ามันกระทบกับนักแปล นักเขียน และสำนักพิมพ์ อย่างหนังสือแปลต่างประเทศมันมีทุกแนว อาทิเช่น หนังสือโรมานซ์ก็ต้องแปลตามต้นฉบับ ถ้าตัดออกไปก็อ่านไม่ได้อรรถรส ถ้าเป็นหนังสือเรทเอ็กซ์มันก็ต้องโดนจับอยู่แล้ว แต่ภายหลังหนังสือแปลก็โดนด้วย
หนังสือมันควรจะมีหลากหลายทุกอย่าง ทั้งหนังสือเด็ก หนังสือวิชาการ หนังสือสารคดี หนังสือต่างๆ หรือแม้แต่หนังสือเริงรมย์ ตามความคิดของผมคือ หนึ่ง หนังสือประเภทแนวเริงรมย์ หรือวรรณกรรมควรอย่าให้มีคำหยาบและในเล่มให้มีได้ไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ อาจจะเป็น 20 หรือ 30 เปอร์เซ็นต์ การบรรยายต้องให้มันสละสลวย แต่มีคนแย้งบอกว่า ถ้าเรื่องมันมีหลายบทจะไปกำหนดอย่างนั้นก็ไม่ได้ แต่ความคิดผมถ้ามากไปกว่านี้มันจะส่อไปเป็นหนังสือลามกทั้งเล่ม สอง ให้เขียนไว้หน้าปกว่า 'เยาวชนห้ามอ่าน' ถ้าใครขายให้เยาวชนให้มีความผิดรุนแรงเหมือนการวางเหล้า-บุหรี่ก็ปิดมิดชิด หนังสือแนวนี้ก็ขายอีกมุมหนึ่งไม่ประเจิดประเจ้อ เพราะคนอ่านนิยายโรมานซ์บางทีเขาก็ต้องการความสุนทรียะของเขา ถ้าห้ามก็ถือเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพ
ฉะนั้น การจัดเรทหนังสือมันก็จะได้เป็นทางออก คุณถนัดทำหนังสือแนวไหนก็ทำได้ แต่ว่าต้องมีจุดร่วมกันว่าตรงไหนได้หรือไม่ได้
ขจรฤทธิ์ รักษา/ทีมจุดประกายวรรณกรรม
จุดประกาย วรรณกรรม ปีที่ 20 ฉบับที่ 7129 วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2551