Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

สุทธิชัย หยุ่น นักเขียนรางวัลศรีบูรพาคนที่ 20 หมาเฝ้าบ้านผู้หยัดยืนฝ่าพายุกล้าและฟ้าคะนอง

 

 
                 “กองทุนศรีบูรพา” ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติ และเพื่อนสนับสนุน  ส่งเสริมศิลปินในสาขาต่างๆ นักเขียน กวี และนักหนังสือพิมพ์ ได้เอาเยี่ยงอย่างแบบฉบับการใช้ชีวิตที่ดีงาม และแบบฉบับการสร้างสรรค์งานที่มีคุณค่าต่อสังคม
                นี่คือปณิธานของกองทุนศรีบูรพา ที่พยายามเฟ้นหาบุคคลที่เดินตามรอยความดีของศรีบูรพา หรือ กุหลาบ สายประดิษฐ์ นักคิด นักเขียน และนักต่อสู้บนเส้นทางสายอักษร ต่อกรกับความไม่ชอบธรรมด้วยปลายปากกา
                ในงานวันนักเขียน 5 พฤษภาคม 2551 ทุกคนต่างมาแสดงความยินดีกับ สุทธิชัย หยุ่น นักหนังสือพิมพ์ นักเขียนและนักวิเคราะห์ข่าวทางโทรทัศน์ ผู้ได้รับเลือกให้เป็นนักเขียน “รางวัลศรีบูรพา” คนที่ 20
                สุทธิชัย หยุ่น เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2489 เริ่มชีวิตนักหนังสือพิมพ์ตั้งแต่อายุ 16 ปี โดยเขียนให้กับหนังสือพิมพ์ Bangkok Post และสยามรัฐรายวัน ทั้งที่ยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนอัสสัมชัญพานิชยการ
                หลังจากเรียนจบได้ทำงานเป็นล่ามให้ผู้เชี่ยวชาญอเมริกัน ที่จะเข้ามสร้างเขื่อนผามอง บริเวณจังหวัดหนองคายและฝั่งลาว เสร็จจากงานชั่วคราวนั้น จึงได้มาศึกษาต่อที่ “แผนกอิสระสื่อสารมวลชน” ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งสมัยนั้นยังไม่ตั้งเป็นคณะนิเทศศาสตร์ แต่ก็เรียนไม่จบ เพราะได้เริ่มงานเป็นพนักงานพิสูจน์อักษรที่หนังสือพิมพ์ Bangkok Post เมื่อ พ.ศ. 2511 และเลื่อนขึ้นเป็นบรรณาธิการข่าวในประเทศ หลังจากทำงานได้เพียง 5 เดือน ทั้งที่อายุยังน้อย และไม่มีปริญญาบัตร
                จนถึงปี พ.ศ. 2514 จึงร่วมกันกับธรรมนูญ มหาเปารยะ และเพื่อนนักหนังสือพิมพ์ โดยการประกาศขายหุ้นให้คนทั่วไปช่วยเข้ามาซื้อ จนได้ทุนรอนราวสองล้านบาทในก่อตั้งหนังสือพิมพ์ The Nation ซึ่งเป็นหนังสือรายวันภาษาอังกฤษฉบับแรกที่มีคนไทยเป็นเจ้าของขึ้น และดำเนินกิจการยืนหยัดฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ และการเมืองมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งยังเป็นหนึ่งในคณะผู้ผลักดันจัดตั้งทีวีเสรี สถานีโทรทัศน์ไทยทีวี (ไอทีวี) และสถานีโทรทัศน์และวิทยุของเครือข่ายเนชั่นเอง
                นอกจากงานข่าวแล้ว สุทธิชัย หยุ่น ยังมีงานเขียนหนังสือหลายเล่ม อาทิ หมาเฝ้าบ้าน, คนบ้าข่าว, นักข่าวนอกคอก, วิ่งหาก็หนีหาย, เลือกอยู่กับรัก
                ในพิธีมอบรางวัล คุณสุรพันธ์ สายประดิษฐ์ กรรมการกองทุนและทายาทของ “ศรีบูรพา” ได้กล่าวถึงสุทธิชัย หยุ่นในฐานะนักหนังสือในยุคนี้ ซึ่งต้องทำงานยากเย็นกว่าไว้อย่างคมคายว่า
                “…ในสมัยศรีบูรพาฝ่ายอธรรมเคยเอาโซ่มาล่ามแท่นพิมพ์ โซ่สมัยนั้นเป็นโซ่ที่ทุกคนมองเห็นได้ชัด แต่สมัยนี้การควบคุมแทรกแซงสื่อทำด้วยวิธีที่ยอกย้อนซ่อนเงื่อนกว่าสมัยก่อน กล่าวได้ว่าโซ่สมัยใหม่ที่ใช้ล่ามสื่อเป็นโซ่ที่มองไม่เห็น เป็นโซ่เงินโซ่ทอง..” 
                 หลังจากนั้น สุทธิชัย หยุ่น ได้ขึ้นกล่าวสุนทรกถา ถึงแนวทางการทำงานของตัวเอง และแบบอย่างอันใดที่มีศรีบูรพาเป็นครู
                 “ผมคิดว่ารางวัลศรีบูรพาวันนี้ควรจะเป็นรางวัลสำหรับคนข่าวทุกคนในประเทศไทยที่กำลังมีภารกิจหน้าที่ที่สลับซับซ้อนกว่ายุคใดๆ ในประวัติศาสตร์ของสื่อมวลชนไทย การต่อสู้สมัยศรีบูรพาเป็นขาว-ดำชัดเจน ระหว่างเสรีภาพการรับรู้ข่าวสารของประชาชนกับเผด็จการ สมัยนั้นเป็นโซ่มาล่ามแท่นพิมพ์ สมัยนี้นอกจากจะเป็นโซ่เงินโซ่ทองแล้วยังเป็นโซ่ที่มองไม่เห็น มีมือที่มองไม่เห็น บางครั้งมีเท้าที่มองไม่เห็น ที่คุกคามเสรีภาพของสื่อสารมวลชนอย่างยิ่งด้วย
รางวัลนี้เป็นรางวัลที่สำคัญยิ่ง ซึ่งช่วยให้รำด้ระลึกถึงจิตวิญญาณของศรีบูรพาในการต่อสู้ดิ้นรน เพื่อหาความจริงให้กับสาธารณชนและสังคมโดยทั่วไป ภารกิจยิ่งสลับซับซ้อน สังคมยิ่งแยกข้าง ทุกวันนี้สื่อมวลชนทำหน้าที่กันอย่างไร ในเมื่อมีความแตกแยกแบ่งข้างกันจนกระทั่งไม่ทราบว่าอะไรถูกอะไรผิด ตรงนี้ผมคิดว่ายิ่งจะต้องเอาจิตวิญญาณของศรีบูรพามาปรับใช้ในการที่จะทำหน้าที่ให้ความจริงประจักษ์ ยิ่งมีความขัดแย้งสูงสื่อมวลชนยิ่งต้องรับผิดชอบ ยิ่งต้องทำหน้าที่รอบคอบ ละเอียด รอบด้าน และซื่อสัตย์ต่อประชาชนมากยิ่งขึ้น
                 ความสลับซับซ้อนของสังคมไทยไม่ได้แปลว่าหมาเฝ้าบ้าน จะต้องสลับซับซ้อนไปด้วย หรือหมาเฝ้าบ้านจะต้องแบ่งกลุ่มแบ่งก้อน หรือว่าเห่าผิดเห่าถูก บางครั้งเคยเห็นหมาเฝ้าบ้านกัดกันเอง เราก็จะตั้งคำถามว่าทำไมหมาเฝ้าบ้านจึงไม่กัดคนที่ควรจะกัด ทำไมจึงมากัดกันเอง แต่ผมคิดว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องท้อใจหรือว่าละเหี่ยใจ ผมเชื่อว่าสื่อมวลชนไม่ได้แตกแยกกัน เพียงแต่ว่าสื่อมวลชนต้องมีหน้าที่พิสูจน์กับสาธารณชนว่าตัวเองทำหน้าที่อย่างจริงจัง
เมื่อคืนผมนอนคิดว่าถ้าท่านศรีบูรพายังมีชีวิตอยู่และเรามีคำถามในใจว่า เราจะพิจารณาบทบาทของสื่อมวลชนในภาวะสังคมไทยวันนี้อย่างไร ถ้าท่านศรีบูรพายังมีชีวิตอยู่ท่านจะมีอายุ 103 ปี ผมก็เชื่อว่าคำตอบของท่านศรีบูรพาที่ตอบคำถามของเราวันนี้จะไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่คำเดียว เหมือนประโยคที่ท่านเขียนไว้ในบทนำบทบรรณาธิการ ประชามิตร-สุภาพบุรุษ ฉบับแรกวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2487 ที่ว่า ในเวลาสงบ ท้องฟ้าโปร่งสว่างจ้าด้วยแสงตะวัน ใครๆ ก็เห็นว่าเรายืนอยู่ที่ไหน นั่นคือเวลาบ้านเมืองปกติ เวลาบ้านเมืองสงบ เวลาไม่มีเรื่องที่จะต้องขัดแย้งกัน ทุกอย่างเห็นตรงกัน โดยเฉพาะสังคมไทยเวลามีศึกสงคราม มีศึกเหนือเสือใต้ มีศึกที่มาจากข้างนอกคุกคาม เราจะรวมตัวกันได้ และสื่อมวลชนทำหน้าที่ได้ง่ายเพราะว่าท้องฟ้าแจ่มใส ทุกคนมองออกว่าใครอยู่ตรงไหน แต่อะไรพิสูจน์ว่าเราเป็นสื่อมวลชนที่แท้จริง อะไรคือคำตอบว่าคุณเป็นสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่ต่อสาธารณชนหรือไม่ เวลาพายุกล้า ฟ้าคะนอง ผงคลีฟุ้งตลบไปในอากาศ ไม่เห็นตัวกัน ต่อพายุสงบ ฟ้าสว่าง ใครๆ ก็จะเห็นอีกครั้งหนึ่งว่าเรายืนอยู่ที่เดิมและจะอยู่ที่นั่น ผมคิดว่าเป็นคำตอบของทุกคำถาม นี่คือจิตวิญญาณของศรีบูรพา และนี่คือหลักการทำข่าวของสื่อทุกคน
                วันนี้ถามว่าหนังสือพิมพ์นี้ยืนอยู่ตรงไหน คนข่าวคนนี้ยืนอยู่ตรงไหน ในภาวะที่มีสื่อจริง สื่อปลอม สื่อที่เกิดเพื่อภาระเฉพาะกิจ สื่อที่ทำหน้าที่อย่างมืออาชีพมาตลอดและได้พิสูจน์ด้วยกาลเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างต้องพิสูจน์เวลาพายุคะนอง ทุกสิ่งทุกอย่างต้องพิสูจน์เวลามีความขัดแย้งสูงสุด เวลามีการท้าทายเต็มที่ที่สุด เวลามีสิ่งที่จะมาเร้าให้เราเสียคน สิ่งที่จะมาทำให้เราจะต้องมองกงจักรเป็นดอกบัว
                 สิ่งเหล่านี้ได้พิสูจน์ให้กับคนทำสื่อ นักเขียน นักหนังสือพิมพ์มาโดยตลอด ไม่ใช่เฉพาะ 4-5 ปีที่ผ่านมา แต่เป็นตั้งแต่ยุคสมัยของศรีบูรพาแล้ว และยุคนี้เป็นยุคฟ้าคะนองมากเป็นพิเศษ แต่พิสูจน์ว่าหลังจากที่ฝุ่นตลบหาย พายุสงบ ฟ้าสว่าง เสร็จแล้วเรามองดูสิว่าเขายังยืนอยู่ที่เดิมหรือไม่ เขายังประพฤติตัวเหมือนที่เขาประกาศหรือไม่ ไม่ใช่เมื่อวานนี้ ไม่ใช่เมื่อคืนนี้ แต่เมื่อปีโน้น เมื่อตอนที่เขาหรือเธอยืนประกาศว่าอาสาจะมาทำหน้าที่เป็นสื่อมวลชนที่ซื่อตรงต่อประชาชน
วันนี้พายุคะนองผงฝุ่นฟุ้งตลบไปในอากาศ แต่วันหนึ่งฟ้าคะนองนี้จะสงบ เมื่อฟ้าสว่างขึ้นแล้วพวกเราทุกคนมองไปสิครับ เขาคนที่ประกาศอาสาเป็นสื่อมวลชนผู้รับผิดชอบ เป็นนักเขียนผู้รับผิดชอบ เขายังยืนอยู่ตรงที่เดิมหรือเปล่า แล้วเขายังยืนอยู่ที่นั่นต่อไปอีกหรือเปล่า
                 นี่คือสารที่ผมอยากจะส่งให้ทุกท่าน รุ่นก่อนเราได้ต่อสู้มาขนาดไหน รุ่นศรีบูรพาได้ต่อสู้เพื่อปูทางให้กับนักหนังสือพิมพ์ยุคก่อนผมและยุคนี้ ได้เห็นแสงสว่างและหลักยึดขนาดไหน ผมเชื่อว่ายุคต่อไปที่จะมาถึงก็จะได้บทเรียนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ อย่าตกใจ อย่าแปลกใจ อย่าท้อใจ อย่าฝ่อ และอย่าตกหลุมพรางของนักการเมือง ผู้มีผลประโยชน์ที่พยายามจะใช้วิถีทางที่พึงจะมีได้ ในการดึงให้เราเข้าไปอยู่ในศึกสงครามนั้น สื่อมวลชนบางทีควรจะถอยออกมาหลายก้าวเพื่อให้กลุ่มนั้นอยู่ไกลจากตัวเรา เพื่อสายตาจะได้มองชัดและสว่าง จะได้สามารถเห่าให้กับเจ้าของประเทศได้ยินชัดขึ้น ด้วยเสียงที่มั่นคงต่อเนื่องยาวนานมากยิ่งขึ้น
ทุกวันนี้คนข่าวของเราตกเป็นเหยื่อของการทำศึกสงครามการแย่งพื้นที่ข่าวโดยนักการเมืองเท่านั้น เพราะ 80% ของหน้าหนังสือพิมพ์ ของเวลาโทรทัศน์ และสถานีวิทยุนั้น ถูกยึดครองโดยนักการเมืองที่รู้ว่า หมาเฝ้าบ้านที่มาทำงานนั้น ส่วนใหญ่ยังเป็นหมาเฝ้าบ้านหน้าใหม่ ฝึกฝนไม่พอ เห่าง่าย เห็นใบไม้ไหวก็เห่าแล้ว บางตัวโยนชิ้นเนื้อเล็กๆ ลงไปก็กินแล้ว ฉะนั้นเขาสามารถจะยึดพื้นที่ข่าวได้โดยการใช้วิธีการต่างๆ ซึ่งจะหลอกล่อคนข่าวในยุคสมัยนี้ แต่ผมก็ยังดีใจว่ามีนักข่าวจำนวนไม่น้อย ผู้แสดงความคิดเห็นในสื่อจำนวนไม่น้อยยังเป็นหมาเฝ้าบ้านฝึกปรือมาเป็นอย่างดีและรู้ทัน ไม่ตกหลุมพรางง่ายๆ
                 เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ยังเข้มข้นอยู่ในสื่อหนังสือพิมพ์ ในจอทีวีโทรทัศน์อาจจะเข้มข้นไม่เท่า ด้วยเหตุผลและข้อจำกัดบางประการที่เราก็รู้ดีอยู่ แต่ผมยังมีความมั่นใจภูมิใจในสื่อสิ่งพิมพ์ที่ได้ต่อสู้ตั้งแต่ยุคสมัยศรีบูรพามาจนถึงวันนี้ว่ายังเป็นหมาเฝ้าบ้านที่มีคุณภาพ เห่าอย่างมีคุณภาพ เลือกเห่าเฉพาะเมื่อเห็นโจรเข้ามาใกล้บ้านเราเท่านั้น ถ้าสิ่งดีสิ่งถูกต้องหมาไม่เห่าครับ
                 ต่อแต่นี้ไปสื่อมวลชนที่สำนึกในจิตวิญญาณของศรีบูรพาก็ต้องผ่านการทดสอบ ไม่ได้พิสูจน์ตอนฟ้าสว่างแสงแดดจ้า แต่พิสูจน์ตอนที่มีพายุหนัก ยิ่งมีไซโคลนหนักพัดเข้ามา กระหน่ำเข้ามาอย่างรุนแรงอย่างที่เราเจออยู่ มันผ่านไปแน่ครับ แต่ระวังอย่าให้พายุนี้ทำลายเรา จิตวิญญาณต้องมั่นคง ต้องรู้ว่าพายุมาแต่เรายังทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ และเชื่อผมเถิดครับ สื่อมวลชนยุคศรีบูรพาก็ผ่านการคุกคามขู่เข็ญทำร้ายร่างกายทุกอย่าง สื่อมวลชนรุ่นต่อมาจนกระทั่งรุ่นผมก็ผ่านการคุกคามขู่เข็ญเลวร้ายที่สุด บางครั้งเราก็คิดว่า เราจะรอดไปไหมนี่ แต่เราก็รู้ว่าถ้าอยากอยู่และรอดไปด้วยจิตวิญญาณที่เราสามารถตอบคำถามได้ว่า เราอยู่ที่นั่น และเราไม่ยอมแพ้ และเราไม่กลัวพายุ  เรารู้ว่าเมื่อพายุผ่านไป ท้องฟ้าสว่างแล้ว วันนั้นเราจะสามารถบอกทุกคนได้ว่า เมื่อวานเรายังอยู่ตรงนี้ วันนี้เราก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ และพรุ่งนี้เราก็จะยืนอยู่ตรงนี้ครับ"
                 เป็นบททดสอบที่สุทธิชัย หยุ่น พิสูจน์มาแล้วทั้งชีวิต     
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://kangplang.multiply.com/journal/item/60/60