สีสันและจินตนาการบรรเจิดของ ‘แพรณัฐ’

วันนี้นัดพบนักเขียนของเรามาที่ โรงเรียนอนุบาลปรางทิพย์ พออ่านประโยคแรกทุกคนก็ตั้งข้อสงสัยเลยว่า เกี่ยวอะไร
กับการนัดพบนักเขียนเพราะนักเขียนของเราในฉบับนี้ เป็นทั้งครูผู้ดูแลโรงเรียนและมีงานอดิเรกเป็นนักเขียนอีกด้วยโดยได้ฝาก
ผลงานเอาไว้มากมายหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็น เล่ห์นางฟ้า วายุภัคมนตรา เปลวไฟในสายลม คุณชายรณพีร์ หรือล่าสุด
อย่าง ‘แวมไพร์ บราเธอร์ ตอน เจ้าพสุธา’
วันนี้ทาง ‘ออล แม็กกาซีน’ จะมาเปิดโลกแห่งสีสันและจินตนาการอันบรรเจิดของ ‘แพรณัฐ’ ในทุก ๆ นวนิยาย
ที่เธอเขียน ตัวตนที่แท้จริงของเธอ รวมถึงกว่าที่เธอจะมาเป็น‘นักเขียน’ ที่ประสบความสำเร็จแบบนี้ได้ เธอผ่านอะไรมาบ้าง
เราจะได้รู้กัน
all : พี่แพรเคยคิดมาก่อนหรือเปล่าครับว่า ตัวเองจะมาเป็นนักเขียน หรือเคยฝันไว้ตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่าครับ
แพรณัฐ : ไม่เคยคิดมาก่อนเลยเป็นอาชีพที่พี่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาเป็นแต่ว่าพี่เป็นคนชอบเขียนคือแม่พี่ทำโรงเรียน
อนุบาล และแม่พี่ชอบให้พี่เขียนนิทาน ทำนิทานให้น้อง ๆ อ่านรวมถึงพี่เป็นคนที่ชอบเขียนจดหมาย ส่งให้ครูหรืออาจารย์อ่าน
หรือไม่ก็ช่วงปิดเทอมชอบเขียนจดหมายส่งหาเพื่อนสนิทและเพิ่งมาจำได้ ตอนมาเจอเพื่อนเก่า ๆ ว่า พี่ชอบเขียนจดหมายหา
แถมเพื่อนก็ยังบอกอีกว่า ยังมีจดหมายที่พี่เขียนหาเขาตอนสมัยอยู่ ป.6 อยู่เลย ก็เลยรู้ว่า เริ่มชอบเขียนตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็
เขียนเรื่อยมา แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเขียนเป็นหนังสือค่ะ (หัวเราะ)
all : จากข้อมูล พี่แพรเรียนศิลปศาสตร์ สาขาวิชาฝรั่งเศส และการบริหารการศึกษา ได้นำสิ่งที่เรียนมาปรับใช้ในผลงานเขียน
ของตัวเองไหมครับ
แพรณัฐ : อย่างภาษาฝรั่งเศสมันก็คือภาษาเหมือนกันแล้วตอนที่พี่เรียนศิลปศาสตร์ ที่ธรรมศาสตร์เนี่ย มันก็จะมีวิชาการเขียน
หรือการอ่านวรรณคดีวิเคราะห์ พี่ก็นำความรู้ที่เรียนตรงนั้นมาปรับใช้ เช่น จากการที่พี่อ่านวรรณคดีฝรั่งเศส มีตรงไหนที่พี่ชอบ
หรือไม่ชอบ ก็จะนำมาปรับใช้ในวิธีการเขียนของพี่ ส่วนการบริหารการศึกษา หรือการทำงานที่โรงเรียนนั้น สิ่งที่นำมาใช้คือ
เรื่องของประสบการณ์ที่ได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตา เพราะการเขียนนวนิยายสำหรับพี่ มันคือการเอาชีวิตคนจริง ๆ มาเขียน
ลงไป
all : แล้วใช้เวลาช่วงไหนในการเขียนผลงานครับ รวมถึงมีการจัดสรรเวลาอย่างไรระหว่างการเป็นครูกับการเป็นนักเขียน
แพรณัฐ: พี่จะไม่ได้เข้าโรงเรียนเต็มวันคือไม่ได้เข้าทุกวันตอนนี้พี่ดูแค่เรื่องวิชาการเพราะงานส่วนใหญ่ของพี่จะเป็นงานเอกสาร
สามารถนำกลับไปทำที่บ้าน หรือทำเวลาไหนก็ได้ ก็จะมีเวลาว่างมากขึ้น เพราะบางทีเวลาทำงานอยู่ที่บ้าน ก็มักจะเปิดงาน
นวนิยายขึ้นมาเขียนบ้าง แก้เครียดค่ะ (หัวเราะ) และอีกอย่างพี่ก็ไม่ได้เข้าตามห้องเหมือนอย่างครูประจำชั้น รวมถึงไม่ได้
เข้าสอนวิชาอะไร ก็จะทำให้พี่มีเวลามากขึ้น หรือถ้าวันไหนเป็นเวรหยุดของพี่ พี่ก็จะใช้ช่วงเวลานั้นเขียน คือส่วนใหญ่จะใช้
ช่วงเวลาวันหยุด เป็นเวลาเขียนของพี่ค่ะ
all : มาพูดถึงงานเขียนของพี่แพรกันบ้าง ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซีแทบทั้งนั้นเลย หลงใหลอะไรในแนวการเขียนประเภทนี้
ครับ
แพรณัฐ : อาจจะเป็นเพราะว่า ตอนเด็ก ๆ คุณยายกับคุณพ่อของพี่มักจะชอบเล่านิทานก่อนนอน พวกเทพปกรณัมกรีก -โรมัน
อยู่บ่อย ๆ หรือไม่ก็เมื่อคุณพ่อของพี่ต้องไปทำงานต่างจังหวัด และต้องพาพี่ไปต่างจังหวัดด้วย คุณพ่อก็มักจะเล่าตำนาน
หรืออภินิหารของจังหวัดต่าง ๆ ให้ฟังอยู่เสมอ ๆ เมื่อไปถึงจังหวัดนั้น พี่ก็จะชอบเวลาที่พ่อเล่า พอไปเรียนที่ศิลปศาสตร์
ธรรมศาสตร์ จุดที่อยากเรียนคือ ชอบตำนาน กรีก – โรมัน เรียนวิชาอะไรก็ได้ที่มันเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ สอนเรื่องพวกนี้
ไม่ว่าจะเป็นวรรณคดีฝรั่งเศสหรือวรรณคดีตะวันตกมันเลยทำให้พี่ชอบและพอมาเขียนนวนิยายของพี่จริงๆมันเลยทำให้พี่ชอบ
ชอบที่จะเขียนมาในแนวทางนี้ค่ะ
all : ผลงานเขียนของพี่แพรเล่มแรกที่ได้ลงมือเขียน และได้รับการตีพิมพ์คือเล่มไหน และรู้สึกอย่างไรบ้างครับ
แพรณัฐ : ผลงานเขียนเล่มแรกชื่อว่า ‘มนตร์มรกต’ ค่ะ เป็นเล่มที่ไม่คาดฝันว่าตัวเองจะเขียนจบ คือที่เขียนเล่มนี้ขึ้นมา มีเหตุ
จากการทำงานที่โรงเรียน แล้วเกิดความเครียด เพราะมันเป็นงานด้านบริหาร เลยอยากที่จะไปทำอย่างอื่น เพื่อที่จะทำให้เรา
คลายเครียดจากงานนี้สามีของพี่ก็เลยบอกพี่ว่า“แพรก็เป็นคนเขียนเก่งทั้งเขียนจดหมายและเขียนเอกสารแพรน่าจะลองเขียน
นวนิยายดู” พี่ก็เลยตัดสินใจเขียนแต่พี่ก็เขียนเล่นๆแค่คลายเครียด แต่ปรากฏว่า มันจบออกมาเป็นเล่มได้ และพอส่งสำนักพิมพ์
มันก็ได้ตีพิมพ์ เป็นสิ่งที่พี่ไม่ได้คิดฝันเลยว่า มันจะไปไกลได้ถึงขนาดนั้น ขนาดหยิกแขนตัวเองเลยว่า จริงเหรอ นี่คือหนังสือ
ของพี่จริงเหรอ (หัวเราะ) ถึงตอนนี้ก็ยังไม่คิดฝันว่า พี่จะมีหนังสือที่ตัวเองเขียนมากกว่า 1 เล่ม ส่วนอีกความรู้สึกหนึ่งคือ
มันเกิดการโหยหาในสิ่งที่พี่เป็นหรือสิ่งที่พี่เรียนมา ซึ่งพี่อยากจะทำอะไรให้ตอบสนองความโหยหาเหล่านั้น เลยระบายมัน
ออกมาด้วยการเขียนค่ะ
all : พอทราบบ้างไหมครับว่า เมื่อนักอ่านเห็นชื่อของพี่แพรเมื่อไหร่ จะต้องนึกถึงนวนิยายชุดก่อนเป็นอันดับแรก
แพรณัฐ : ใช่ค่ะ พอทราบมาบ้าง แต่พี่คิดว่ามันอาจจะเป็นช่วงจังหวะหนึ่งที่สบโอกาสให้พี่พอดี เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่
นวนิยายชุด ‘ บ้านไร่ปลายฝัน ’ กำลังเป็นที่นิยม ในหมู่ของนักอ่านค่ะ รวมถึงกำลังจะมีการผลิตละครเรื่องนี้อีกด้วย
เลยสบโอกาสให้พี่ได้เป็นที่รู้จักของหมู่นักอ่านค่ะ
all : ตั้งใจหรือเปล่าครับว่า ผลงานนวนิยายชุดต่าง ๆ ที่ตัวเองเขียนจะต้องเป็นเล่มปิดท้ายชุดนั้น ๆ อยู่ตลอด
แพรณัฐ : ไม่เลยค่ะ ไม่เลย คือจริง ๆ จะมีแค่ 2 ชุดแรกที่ได้รับมอบหมายแน่นอนว่าจะต้องเป็นคนปิดท้าย นั่นคือชุด
‘บ้านไร่ปลายฝัน’ กับชุด‘The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ’แต่ชุดอื่น ๆ นี่ จริง ๆ คือเกือบจะอยู่ตรงอื่นแล้ว(หัวเราะ)
แต่ว่าเรียงเรื่องสลับกันไป สลับกันมา สุดท้าย พี่ว่ามันก็ต้องเป็นดวงแน่ ๆ เลย เพราะพี่ก็ได้อยู่เรื่องสุดท้ายอีกในชุด
‘สุภาพบุรุษจุฑาเทพ’ ตอน ‘คุณชายรณพีร์’ ค่ะ
all : ผลงานเขียนเล่มไหนของพี่แพรที่ได้รับการตอบรับจากนักอ่านมากที่สุดครับ
แพรณัฐ : ก็น่าจะเป็น‘วายุภัคมนตรา’ที่ทุกคนรู้จักเยอะซึ่งหลายๆคนที่พี่ได้ถามว่าทำไมถึงชอบเล่มนี้ก็มักจะได้รับคำตอบว่า
น่ารักดี ชอบพระเอกชอบนางเอกชอบคุณลมแต่พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมถึงชอบแต่นักอ่านส่วนใหญ่จะบอกเป็นเสียงเดียว
กันว่า ชอบเพราะทุกอย่างมันลงตัว
all : ผลงานเขียนของพี่แพรเล่มไหนครับ ที่พี่แพรประทับใจเป็นการส่วนตัว
แพรณัฐ :ที่ประทับใจอยู่ตอนนี้มีอยู่2เรื่องค่ะ ก็คือ‘เล่ห์นางฟ้า’ที่ประทับใจเล่มนี้ก็เพราะว่าเล่มนี้มันเป็นตัวเองมาก (หัวเราะ)
ชอบตรงที่มันมีความเป็น‘แพรณัฐ’มากมันมีทั้งแฟนตาซีและสิ่งที่พี่ชอบอีกอย่างในเล่มนี้คือ ‘ความเป็นคอเมดี้’ โดยเล่มนี้
พี่เขียนได้แบบสบาย ๆ และสนุกมากด้วยค่ะและอีกเล่มที่ชอบคือ ชุด ‘แวมไพร์ บราเธอร์’ เล่มสุดท้ายคือตอน ‘เจ้าพสุธา’
ชอบเรื่องนี้ก็เพราะว่า มันรวมความยากทุกอย่างเอาไว้ภายในเล่มเดียว และพี่สามารถเขียนมันให้จบได้ ก็เลยประทับใจ
และชอบเล่มนี้ค่ะ
all : รู้สึกอย่างไรบ้างครับที่ผลงานเขียนของพี่แพรหลายต่อหลายเล่มได้นำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์
แพรณัฐ : ดีใจและยินดีที่เขาสนใจในผลงานของพี่ และเป็นเกียรติที่เขาเลือกผลงานของพี่ คือไม่เคยคาดฝันว่าจะมีผลงาน
ของตัวเองนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ คือทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้มีอะไรคิดเอาไว้เลยค่ะ (หัวเราะ)
all : ความรู้สึกแรกที่ได้เห็นนวนิยายของตัวเองโลดแล่นอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์เป็นอย่างไรบ้างครับ
แพรณัฐ:ครั้งแรกที่ได้เห็น‘วายุภัคมนตรา’ออกอากาศคือพี่รู้สึก ได้ถึงภาพที่พี่จินตนาการเอาไว้แล้วมันก็ออกมาเป็นภาพจริง
ที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าพี่ พี่พูดได้คำเดียวว่า ‘โอ้ว’ แล้วความรู้สึกตื่นเต้นก็เข้ามาทำหน้าที่ของมันต่อไปค่ะ (ยิ้ม)
all : นวนิยายของพี่แพร ได้รับความนิยมให้นำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์แบบนี้ มีเล่มไหนไหมครับที่อยากเห็นในรูปแบบ
ของละครโทรทัศน์
แพรณัฐ : จริง ๆ เวลาที่พี่เขียนไม่เคยคาดคิดว่าจะให้มันเป็นละครโทรทัศน์ งานของเราคือแค่เขียนนิยายจบเท่านั้น ส่วนเรื่อง
การนำไปสร้างเป็นละครนั้น ไม่ได้คิดและไม่ได้หวังอะไรเลย ถ้ามันจะได้เป็นละครมันก็ได้ ถ้ามันไม่ได้เป็นละครก็ไม่เป็นไร
แค่รู้สึกเฉย ๆ ว่า งานของพี่จบแค่ตรงนั้น ตรงที่เขียนเป็นนิยายออกมา แต่ถ้ามันได้ก็ยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ
all : การทำผลงานเขียนแบบลุยเดี่ยว กับการทำงานร่วมกันเป็นชุด เป็นทีม ให้ความรู้สึกต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไรครับ
แพรณัฐ : การทำงานเป็นชุด มันทำให้พี่รู้สึกอุ่นใจและสนุกค่ะ คือการทำงานแบบนี้ หรือการเขียนเป็นชุดแบบนี้ มันได้มีการ
โต้ตอบกันอยู่ตลอดเวลา โดยถ้าเวลาที่พี่มีปัญหาหรือพี่ติดอยู่กับการเขียน ก็จะมีนักเขียนที่ทำงานร่วมกันคอยช่วยเหลือตลอด
และมันก็จะสนุกตรงที่ได้นำมุขของนักเขียนที่ทำงานด้วยกัน นำมาเล่นและต่อยอดในการเขียน รวมถึงนักเขียนคนอื่นอาจจะนำ
มุขของพี่ไปต่อยอดเขียนผลงานของเขาก็ได้(ยิ้ม)แต่งานเดี่ยวมันก็จะให้ความรู้สึกว่าเขียนคนเดียว แต่พี่ว่าถึงตอนนี้มันก็ไม่ค่อย
แตกต่างกันเท่าไหร่ เพราะตอนนี้พี่ก็ยังทำงานเป็นกลุ่มอยู่ หลังจากที่พี่สนิทกับกลุ่มนักเขียนที่พี่ทำงานอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น
พี่ซ่อนกลิ่น พี่เก้าแต้ม หรือพี่ร่มแก้ว ซึ่งเป็น 4 คนที่ยังทำงานด้วยกันเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าพี่จะเขียนผลงานเดี่ยว ๆ ออกมา
แต่พี่ก็ยังแลกกันอ่าน และแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องที่เขียนกันเหมือนเดิม
all : สิ่งที่จำเป็นมากสำหรับนักเขียนนวนิยายแฟนตาซี คือ ‘จินตนาการ’ มีวิธีเติมจินตนาการให้กับตัวเอง รวมถึงผลงานเขียน
ของตัวเองอย่างไรบ้างครับ
แพรณัฐ : ส่วนใหญ่พี่จะอ่านหนังสือทั่ว ๆ ไป หรือไม่ก็ดูหนัง ดูข่าวรอบโลก ซึ่งจะได้แง่มุมใหม่ ๆ และแง่มุมที่แตกต่างมากขึ้น
ทำให้พี่ได้คิดและต่อยอดจินตนาการของตัวเองออกไป หรืออีกอย่างก็คือ การได้ออกไปเที่ยวที่ต่าง ๆ มันก็ช่วยทำให้พี่ฝึกคิด
และช่วยเสริมสร้างจินตนาการของพี่ได้ค่ะ
all : ถ้าเปรียบตัวเองและผลงานของตัวเองเป็นหนังสือหนึ่งเล่ม คิดว่าภายในเล่มนั้นมีอะไรอยู่บ้างครับ
แพรณัฐ : น่าจะคล้าย ๆ หนังสือนิทานเด็กอย่างที่พี่ให้นักเรียนอ่านค่ะ เป็นหนังสือที่มีปกสีสันสดใส กุ๊กกิ๊ก หวาน ๆ แต่ก็แอบ
มีสีที่เปรี้ยว ๆ จัดจ้านอยู่ภายในนั้น คือเหมือนนิทานเด็กน่ะค่ะ ที่ทุกหน้าจะต้องมีสีหรือไม่ก็รูปภาพ ไม่ใช่มีเพียงแต่ตัวอักษร
หรือเป็นเพียงแค่กระดาษขาวธรรมดา ๆ เท่านั้น และยังเป็นหนังสือที่ผสมผสานความเป็นเด็กและผู้ใหญ่ได้อย่างลงตัว
all : อยากบอกอะไรกับนักเขียนหน้าใหม่ที่ต้องการเดินในเส้นทางนักเขียนเหมือนอย่างพี่แพรบ้างครับ
แพรณัฐ : เป็นกำลังให้กับนักเขียนหน้าใหม่ทุกคน หรือนักเขียนหน้าใหม่ที่อยากลองเขียนทุกคนค่ะ ถ้าน้องคิดว่าจะเขียน
ก็ลงมือเขียนเลย เพราะว่าการเขียนมันก็คือ ‘ทักษะ’ ที่ทุกคนสามารถฝึกฝนได้ และอย่างพี่เนี่ย พี่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเอง
จะมาเป็นนักเขียน และไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเขียนนวนิยายจบออกมาเป็นเล่มแบบนี้ เพราะฉะนั้น พี่คิดว่าหลังจากที่พี่เขียน
ออกมาแล้ว พี่ก็เริ่มเชื่อว่า ทุกอย่างและทุกคนสามารถทำได้ ถ้าเกิดทุกคนมีความพยายาม น้อง ๆ ทุกคนก็เหมือนกัน
พยายามเข้านะคะ
all : ในฐานะนักเขียน สำหรับพี่แพรแล้ว ความสนุกของการเขียนมันอยู่ตรงไหนครับ
แพรณัฐ:ความสนุกมันอยู่ตรงที่การรังสรรค์หน้ากระดาษจากที่ไม่มีอะไรเลยแต่พี่ทำให้มันมีเรื่องราวของมันได้มีเหตุการณ์ทั้งสุข
ทุกข์ เศร้า มีตัวละครเกิดขึ้น มันทำให้พี่ได้เปิดโลกทัศน์ให้ตัวเอง จากการค้นคว้าข้อมูล ไม่ใช่อยู่ที่แค่ตอนนั่งเขียนอย่างเดียว
สำหรับพี่แล้ว การเขียนมันเหมือนเป็นการปลดปล่อย ปล่อยของนะ ( หัวเราะ) อย่างตอนนี้ พอพี่เริ่มรู้แล้วว่ามีนักอ่านติดตาม
ผลงานเขียนของพี่ การเขียนมันมากกว่าแค่ความสุขของตัวเรา แต่มันเหมือนพี่ส่งความสุขให้คนอื่นด้วยตรงนี้แหละค่ะคือความ
สนุกของการเขียนสำหรับพี่ค่ะ (ยิ้ม)
นัดพบนักเขียน : ยุทธชัย สว่างสมุทรชัย
ภาพ: พศิน สาทสนิท
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก http://www.all-magazine.com