สัมผัสนักสัมภาษณ์ ‘ มืออาชีพ ’ วรพจน์ พันธุ์พงศ์

‘รู้สึกดีและชื่นชม’ บางครั้งอาจไม่ต้องการคำอธิบาย
เป็น ‘ใครสักคน’ อาจไม่จำเป็นต้องทำความรู้จัก สนิทชิดเชื้อ
“คุณเป็นใครวะ” ไม่ใช่คำตอบรับที่น่ากลัวสำหรับการเริ่มต้นพูดคุยกับใครสักคนที่คุณรู้สึกเช่นนั้น แต่บางครั้งก็ควรปล่อยให้มันเกิดขึ้นแค่ในความรู้สึก ผ่านไปเงียบๆ
ครั้งแรกๆ นานมาแล้ว… ขณะชื่อเสียงและสถานะคนทำสัมภาษณ์มือวางอันดับหนึ่งจากคนทำนิตยสารด้วยกันและผู้อ่าน ยังไม่ขจรขจายอย่างชั่วโมงนี้
…บ่ายแก่ๆ แดดร่มลมตก ผู้ชายตัวผอมๆ แต่งตัวปอนๆ จูงมือลูกสาวตัวเล็กๆ กำลังเดินสวนมาบนสะพานข้ามสระแก้วในมหาวิทยาลัยศิลปากร ทับแก้ว ผมรู้จักเขาในฐานะคนทำสัมภาษณ์มือดีของนิตยสาร GM
จำไม่ได้ กำลังอยู่ในอารมณ์เศร้าหรือรื่นรมย์ แต่จำได้ว่าตัวเองอมยิ้ม ผินหน้าไปอีกทาง…
หลายปีหลังจากนั้น นอกจาก INTERVIEW และคอลัมน์อื่นๆ ใน GM จนถึงตอนนี้ ผมพบว่า ‘เต้นรอบกองไฟ’ คืออีกคอลัมน์หนึ่งที่อ่านสนุก ติดหนึบ ต้องตามอ่าน
อีกสองสามครั้งที่ลานซีเมนต์หน้าที่ทำการนิตยสาร open หลังเขาลาออกจาก GM มาเป็นหนึ่งในคณะบรรณาธิการนิตยสารเล่มดังกล่าว ได้พักใหญ่ๆ
มีเสียงร่ำลือจากเพื่อนหลายๆ คนว่า นอกจากจะทำงานหนักแล้ว คนในออฟฟิศนี้ชอบเล่นฟุตบอล-เล่นแบบดุเดือดเลือดพล่าน เอาจริงเอาจัง…
‘จะอะไรขนาดนั้น’ ก่อนลงสนาม ผมได้แต่คิดในใจ
‘ควรจะเป็นอย่างนั้น’ แต่ก็มีอยู่ไม่มากนัก ที่ใครสักคน-การงานจะกลายเป็นสิ่งเดียวกันกับชีวิต หรือลองว่าได้กระโดดลงเล่นเกมอะไรสักอย่าง ต้องเอาจริงเอาจัง ทำให้ดีที่สุด หมายความถึงการเคารพกติกาของเกมนั้นๆ ถึงจะเป็นเกมฟุตบอลเล็กๆ โกล์หนู ผู้เล่นข้างละสี่ห้าคนก็เถอะ
ระหว่างเกมฟุตบอลกำลังดำเนินไป ประตูที่เกิดขึ้น อาจจะมี ‘ลูกฟลุก’ อยู่บ้าง
แต่กับการทำหนังสือ เขียนหนังสือ ‘ลูกฟลุก’ แทบจะเรียกว่าไม่มีโอกาส
ความเป็นมืออาชีพ การทำงานหนัก และคนอ่านเท่านั้น
ห้วงเวลาหลายปีหลังจากนั้น งานสัมภาษณ์ งานเขียนที่เป็นคอลัมน์ทั้งใน GM และ IMAGE, พ็อกเก็ตบุ๊ก-‘เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง’ ‘ไปตามเส้นทางของเรา’ ‘เสียงในความทรงจำ’ ‘เช็คหัวใจ สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ’ ‘open diary’ ‘เศษทรายในกระเป๋า’ ‘ที่อยู่ของหัวใจ’ ‘ไม่มีโทรศัพท์และเครื่องปรับอากาศ’
ยืนยันความเชื่อและตัวตนของเขาได้หนักแน่น….
เคยคิดว่าเป็นความบังเอิญบ้างหรือเปล่า ที่ได้เข้ามาอยู่ในแวดวงคนทำหนังสือ ทำนิตยสาร เคยฝักใฝ่มั้ย
จะว่าอย่างนั้นก็ได้ สมัครงานไปทุกที่เท่าที่วุฒิปริญญาตรีจะทำได้ เพื่อหาเงิน แล้ววันหนึ่งก็ได้งานที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
ฝักใฝ่มั้ย ไม่เลย หมายถึงอาชีพนี้นะ คิดว่าเหมือนคนจำนวนไม่น้อยที่เรียนปริญญาตรีโดยที่ไม่รู้เลยว่าจบไปจะไปทำอะไร เรียนไปวันๆ… ไม่เคยคิดมาก่อน และไม่ใช่คนที่มีพื้นฐานทางด้านการอ่านการเขียนด้วย ไม่ชอบอ่านหนังสือ อ่านหนังสือน้อยมากๆ จริงๆ ก็ไม่แปลกหรอก คนแถวบ้าน หรือเพื่อนๆ ก็เหมือนกัน เพื่อนผู้ชายที่แวดล้อมอยู่ เรียกว่าห่างจากวัฒนธรรมการอ่านการเขียน ส่วนใหญ่ตกปลายิงนก เตะบอล ร้องเพลงเล่นกีตาร์ไปตามเรื่อง เริ่มมาอ่านหนังสือตอนปีสามปีสี่ แต่ก็ยังเรียกว่าน้อย
ทำข่าวอยู่กี่ปีถึงรู้สึกว่าต้องเอาจริงเอาจังกับอาชีพนี้
ตั้งแต่แรกที่ทำก็รู้สึกว่าเป็นอาชีพ คือจุดแรกๆ อาจจะอิงกับการต้องเลี้ยงตัว เพื่อต้องหาเงิน ฉะนั้นข้อแรกๆ ของการทำงานแล้วจะได้เงินมันเหมือนบังคับไปกลายๆ ว่าจะต้องเอาจริงเอาจัง มันเป็นงานแล้วก็สนุก มากเข้าๆ งานกับชีวิตกลายเป็นสิ่งเดียวกัน ไม่ว่าจะตีสองตีสาม เสาร์อาทิตย์ คิดอะไรมันก็เป็นสิ่งเดียวกันไปหมด
คงเป็นธรรมดา ตอนแรกเริ่มจากการเขียนข่าว เขียนความคิดผู้อื่น นานเข้าๆ ก็อยากเขียนสิ่งที่ตัวเองคิด สิ่งที่ตัวเองเชื่อ ตามวัยที่โตขึ้น ตามสิ่งที่เราเห็นเราคิดมากขึ้น ตอนเด็กๆ เหมือนกับว่าเราไม่ได้คิด หรือเราไม่เห็นอะไร เมื่อเราอยู่ไป เห็น เข้าใจ คิดว่าพอจะมีมุมมอง มีวิธีที่จะบอกเล่าได้… เป็นธรรมดามากเลยที่อยากจะพูดความคิดตัวเองบ้าง ค่อยเคลื่อนจากนักข่าวมาสู่การเขียนหนังสือ มากขึ้นๆ
เข้มข้นมากๆ ตอนที่อยู่ GM
ช่วงผู้จัดการปลายๆ ก็ต้องถือว่าเข้มข้น ช่วงที่อยู่กับพี่แคน(แคน สาริกา-บัณฑิต จันทศรีคำ) มีพื้นที่ ซึ่งเราว่าพื้นที่มีความหมายกับการเขียนหนังสือนะ พื้นที่น้อยหรือพื้นที่ที่บีบบล็อกไปสู่อะไรบางอย่าง ไม่เอื้ออนุญาตให้ทำอะไรได้มาก ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มีศักยภาพขนาดไหน ถ้าเวทีไม่เอื้อ มันก็ยากเหมือนกัน แต่เวทีที่ผู้จัดการยุคนั้นถือว่าดีทีเดียว ประมาณปี 39-40 เริ่มเขียนสกู๊ปยาวๆ เต็มหน้า เหมือนได้ใช้ทักษะ อาศัยชั้นเชิงทางด้านวรรณกรรมในงานข่าวได้มากขึ้น
เราว่ามันเป็นปกติของคนเขียนหนังสือด้วยแหละ เบื่อกับการเขียนอะไรซ้ำๆ นายก. กล่าวว่า นายข. กล่าวว่า เขียนทุกวัน เราก็อยากเขียนให้มันแตกต่างหลากหลายมากขึ้น สนุกมากขึ้น เชื่อว่าข้อเขียนที่ดีมันจะนำพาสารที่ดีไปถึงได้อย่างครบถ้วนมากกว่าสารที่ดีแต่ว่าข้อเขียนแย่ มันก็ไม่ถึงผู้รับ คิดเรื่องเหล่านี้ การหาข้อมูลที่อิ่มสมบูรณ์บวกกับการเขียนที่ลงตัว สอดรับกัน แต่ละเรื่องได้ข้อมูลมาแบบนี้ ต้องคิดหาวิธีเขียนที่มันจะสอดรับ ใช้คำว่าลงตัวที่ไปด้วยกันแล้วทำให้งานเขียนชิ้นนั้นใกล้ความจริงที่สุดที่จะสื่อถึงผู้รับสาร มันไม่มีสูตรสำเร็จ ต้องค้นหาตลอดเวลา เพราะโจทย์แต่ละเรื่องมันไม่เหมือนกัน เนื้อหา ตัวละครไม่เหมือนกัน
การทำสัมภาษณ์ก็ไม่ได้ต่างไปจากนี้มากนัก
คือไม่ว่าจะอย่างไร เรากำลังทำหนังสือกันอยู่ ไม่ว่าจะไปคุยมา ไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็ตาม ต้องเอามาเขียน มาถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือ ฉะนั้นไม่ว่าจะเขียนสารคดี เขียนสัมภาษณ์มันก็ต้องเอาข้อมูลเหล่านั้นมาจัดการ มาเขียนให้อ่านสนุก นำพา ฉุดรั้งสายตาผู้อ่านตั้งแต่บรรทัดแรกถึงบรรทัดสุดท้ายให้ได้ นี่คือหน้าที่หลักๆ
อย่างที่ว่า มันไม่มีสูตรสำเร็จ ต้องหาอะไรที่ใหม่ตลอด คิด ตั้งชื่อเรื่องยังไง จะเล่าด้วยวิธียังไง สิ่งเหล่านี้เป็นการหาอะไรใหม่ๆ เป็นการทำให้ไม่เบื่อด้วย รู้สึกท้าทายกับการทำงาน
ถือว่าใช้เวลานานมากมั้ยกว่าจะได้ชิ้นงานที่ตัวเองพอใจ สามารถนำมารวมเป็นเล่มได้
ถ้าเราเป็นช่างไม้ ใช้สิ่วใช้ขวานอยู่ทุกวัน ก็จะคุ้นเคยกับเครื่องมือนั้น กับงานนั้น ค่อยเป็นไปน่ะ ถามว่าพอทำได้มั้ย พอทำได้ เมื่อมันผ่านไปๆ งานมากขึ้นๆ ระยะทางเดินที่ผ่านมามากขึ้น พอจะคลำทิศทาง พอจะรู้ว่าจะหาข้อมูลยังไง เล่าเรื่องยังไง แต่มันก็คงเป็นเรื่องปกติ บางทีก็ทำได้แย่ บางทีก็ทำได้พอใช้ได้ เป็นเรื่องธรรมดามากๆ เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อย้อนกลับไป ยังไงมันก็เต็มไปด้วยบาดแผลอยู่ดี ไม่ได้ชุ่ยนะ วันนั้นเราก็ว่าทำได้ดีที่สุดแล้ว คงเหมือนผู้ใหญ่ที่มองย้อนกลับมา และเห็นเรื่องโน้นเรื่องนี้บกพร่องผิดพลาด
ทำสัมภาษณ์ไว้เยอะกว่าความเรียง ที่ผ่านมามีงานรวมเล่มออกมาต่อเนื่อง แต่กลับกลายเป็นว่ารวมเล่มความเรียงมากกว่าสัมภาษณ์
(นิ่งคิด) น่าจะเรียกว่าความพอดี ปริมาณไม่ได้แสดงคุณค่าอะไร ไม่เห็นต้องเยอะเลย แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามีเล่มเดียว อาจจะค่อยๆ ทำต่อไปก็ได้ ให้มันเป็นไปตามเงื่อนไขต่างๆ ไม่ใช่คนที่รีบร้อนกับเรื่องพวกนี้ ค่อยๆ ทำไปตามความสนใจของตัวเอง คิดว่าช่วงเวลานี้จะทำอันนี้ก็ค่อยๆ ทำ
ถ้าเป็นงานสัมภาษณ์ก็อยู่ที่การรวมเนื้อหา แนวทางด้วย เพราะเราทำนิตยสารมันเป็นรายเดือน เป็นงานเฉพาะกิจเฉพาะกาลด้วย การที่จะจับคนนี้ๆ มารวม ต้องดูความเหมาะสมกลมกลืน ดูยุคสมัยด้วย งานจำนวนไม่น้อยมันเหมาะหรือดีพอที่จะตีพิมพ์แค่ในนิตยสารเท่านั้น เมื่อเวลาเลยผ่าน บางครั้งมันไม่ควรจะมาพูดแล้ว ซึ่งมีอยู่ไม่น้อย แม้ว่าเราจะพอใจกับมัน บางทีมันก็พอดีกับปีนั้นๆ เดือนนั้นๆ ก็ผ่านไป แต่บางเรื่องเอามารวมได้… ไม่ใช่คนที่ต้องมีงานเยอะ ไม่ได้คิดอย่างนั้น ยึดความพอใจ พอดีมากกว่า พูดถึงความต่อเนื่องของปีที่ผ่านมา พูดง่ายๆ มันก็สะท้อนว่าเราเลือกเดินบนถนนสายนี้อย่างจริงจังแล้ว เลือกที่จะเป็นคนทำหนังสือเขียนหนังสือ
ถ้าเกิดมีใครชวนไปเป็นคอลัมนิสต์เพิ่มอีก ต้องมีข้อตกลงหรืออยู่ในเงื่อนไขอะไรบ้าง
เงื่อนไขง่ายๆ คือคิดได้ หมายถึงออกแบบแนวทางเรื่อง มีเรื่องที่จะเขียน มีเวลาที่ต้องจัดการให้ได้ หลักๆ ก็คงเท่านี้
โดยธรรมชาติ เราเป็นคนเขียนหนังสือได้น้อย ไม่สามารถเขียนได้เดือนละสิบยี่สิบเรื่อง คือยังไม่เคยทำอย่างนั้นนะ ที่ผ่านมามันอิงกับงานประจำด้วย อย่างที่ GM ทำสัมภาษณ์ก็ปาไปสิบกว่าหน้า ทำสารคดี แล้วเขียนคอลัมน์ด้วย มันเต็มเวลาแล้ว รู้สึกพอดีกับการวิ่งไปรายงานเรื่องต่างๆ สัมภาษณ์คน นำความคิดคนอื่นมาลง กับช่องทางพูดของตัวเอง แค่นี้ต่อเดือน
เราไม่ใช่คนที่มีเรื่องราวที่จะพูดมากมายนักในแต่ละเดือน ค่อนข้างจะห่างไกลมากๆ กับคอลัมนิสต์รายวัน ไม่ใช่คนที่พูดได้ทุกเรื่อง สนใจเพียงแค่บางอย่างเท่านั้น แล้วก็อยากทำข้อเขียนให้มัน… ช้าๆ ให้เวลากับมัน ไม่อยากเขียนหนังสือที่อิงกับกาลเวลานัก ถ้าคนเขียนข่าววันต่อวัน เขียนเหตุการณ์ บางทีพ้นจากวัน พ้นจากสัปดาห์นั้นไป กลับมาอ่านอีกมันอาจจะไม่สนุก ไม่ใช่เขาเขียนไม่ดีนะ แต่มันเป็นธรรมชาติของข้อเขียนบางอย่าง เราไม่ถนัดที่จะทำงานแบบนั้น เราสนใจเรื่องที่คิดมาเดือนหนึ่ง หาวิธีเล่าเรื่องนั้นๆ
ที่ทำงานได้ช้า ได้ไม่เยอะ เพราะส่วนหนึ่งคิดว่าจะต้องให้อยู่ได้นานกว่าข้อเขียนรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือนด้วยใช่มั้ย
โดยงานมันบังคับไปด้วย นักเขียนทุกคนก็คงคิดแบบนี้ แต่ใช่ว่าใครจะทำได้ดีทุกครั้ง
จริงๆ ถ้าเอางานมากางดูทั้งหมด ก็ไม่คิดว่าเป็นคนที่ทำงานน้อย เพียงแต่ว่าทำงานหลายประเภท อย่างตอนที่ทำนิตยสาร นับเป็นหน้า บางทีสามสิบหน้าต่อเดือน เฉลี่ยวันละหน้า อาจจะเท่ากับคอลัมนิสต์รายวันก็ได้ เป็นความแตกต่างของประเภทงานมากกว่า เราพอดีประมาณนี้ ทำงานความคิดผู้อื่นเท่านี้ ตัวเองเท่านี้ เราไม่ใช่คนที่มีเรื่องเล่าเยอะ ไม่ได้ปรารถนาที่จะเอาตัวเองไปไว้หรือปรากฏในทุกๆ สื่อ หรือต้องเขียนให้ครบเจ็ดเล่มสิบเล่ม ไม่มีความสนุกกับสิ่งเหล่านั้น คิดได้เขียนได้แค่ไหนก็เอาเท่านั้น ทำไปตามความสนใจ
รูปแบบการใช้ชีวิตมีส่วนกำหนดมั้ย
อาจจะใช่, เราไม่ใช่คนที่จะวิ่งเข้าไปปะทะในทุกๆ เหตุการณ์ ความสนใจไม่เยอะขนาดนั้น ไม่ได้สนใจทุกเรื่อง ไม่สามารถรายงานเหตุการณ์ทันสมัยเกิดขึ้นที่นั่นที่นี่(หัวเราะ) ไม่ได้รู้ว่าหนังฮอลลีวูดเรื่องนี้จะมาฉายที่นี่เป็นโรงแรก แล้วก็ไม่อยากทำงานแข่งกับเวลาอย่างนั้นด้วย ค่อยๆ ดู ค่อยๆ มอง แล้วเอามาเล่าเป็นเรื่องมากกว่า…
มีเรื่องหลักๆ อะไรบ้างที่ชอบโดยส่วนตัว แล้วไปพ้องพานกันกับการงาน
ชอบแบบไหนอะไรอย่างนี้หรือเปล่า
ในสายสารคดีหลักๆ ก็คือข้อมูลดี วิธี ชั้นเชิงในการเขียนที่ดี… ถึงที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องรสนิยมว่าดีของใคร แค่เรื่องรสนิยมความชอบนั่นแหละ พูดโดยหลักการ เชื่อว่าทุกคนที่ก้าวเข้ามาทำงานก็คิดอยากทำงานที่ดีเหมือนกัน อยู่ที่ว่ารสนิยมใครเป็นยังไง ซึ่งตัวงานมันก็จะโชว์ออกไปให้เห็นเอง
ระยะแรกเราว่ามันป่วยการ… มันเป็นคำประกาศที่ว่างเปล่าน่ะ ป่วยการที่จะพูดปรัชญา พูดความเชื่อออกไป ถึงที่สุดมาดูที่ตัวงานมากกว่า มันจะชี้ชัดไปเองว่าเราชอบ เราเชื่ออะไรแบบไหน งานหนังสือ งานหนัง งานเพลง เป็นเรื่องของรสนิยมอย่างแท้จริง ให้งานมันพูดจะชัดกว่า
รสนิยมของคุณเป็นแบบไหน
พูดไม่ถูกเลยนะเนี่ย (หัวเราะ) เอาเป็นว่าง่ายๆ คือเราฟังเพลงคลาสสิก เราฟังหมอลำได้ ลูกทุ่งได้ ฮิพ-ฮอพได้ ไปงานเลี้ยงหรูๆ ตามโรงแรมได้ ไปนอนกับชาวนาได้ ขึ้นเครื่องบินได้ เดินก็ได้ เดินป่าก็ได้ เราคิดว่าเราเห็นเราแยกแยะอะไรได้พอสมควร อะไรดีอะไรชั่ว เราคงไม่ใช่ผู้ใหญ่ผู้อาวุโสในวงการน่ะ แต่เราก็ไม่ใช่เด็กๆ
บางคนอ่านแดนอรัญ แสงทอง เขาอาจจะไม่อ่านแจ๋ว ริมจอ ไม่อ่านคัทลียาจ๊ะจ๋า อะไรทำนองนี้ เราว่ามันไม่จำเป็นต้องบีบตัวเองให้จำกัดอยู่ในกรอบหรือทางหนึ่งทางใดขนาดนั้น เพราะว่าความน่าสนใจของแต่ละทางมันก็มีอยู่ การเขียนแบบไม่มีย่อหน้าเป็นวรรณกรรมเล่มหนาๆ หนักๆ ของแดนอรัญ กับการเขียนสั้นๆ แบบคัทลียาจ๊ะจ๋า ทั้งสองซีกนี้มันมีข้อดีข้อด้อยของมัน เขียนสั้นๆ กระชับๆ รัดกุม คมคาย เล่าเรื่องได้ ก็โอเค เขียนยาวๆ มีวิธีชั้งเชิงพรรณนา มีวิธีที่จะดึงสายตาของคนอ่านให้อยู่กับทุกๆ บรรทัดได้ ความดีงามแต่ละสายมันมีของมัน นักดนตรีแจ๊ซจะมาดูถูกหมอลำ มันไม่ได้ไง
แต่พอมาเป็นงานของเราเองก็ต้องมีประเด็น มีลักษณะเฉพาะที่เป็นตัวเอง
ก็เท่าที่เราทำได้เท่าที่เราเป็น เราสั่งสมมา เรามีความรู้แค่นี้
พี่ยังดี(วจีจันทร์) เคยพูดไว้ว่า “ชีวิตซ้ำซาก บทกวีจำเจ” ชีวิตมันก็คงอธิบายงานไปเอง หรือยกตัวอย่างอาจารย์เสก(เสกสรรค์ ประเสริฐกุล) เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแกถึงทำงานได้ดี แกเกิดและโตมาในสังคมชนบท เข้ามาเรียนหนังสือในเมือง ขยันเล่าเรียน ทั้งเรื่องมันสมอง ความเอาจริงเอาจัง ไปเรียนเมืองนอก เป็นผู้นำนักศึกษา มีภูมิรู้ มีพื้นที่หลายๆ ด้าน แตกฉานทั้งวัฒนธรรม อารยธรรมตะวันตก เข้าใจทั้งรากเหง้าตะวันออก อ่านหนังสือเยอะ ใช้ชีวิตเยอะ เข้าใจสังคม การเมือง เป็นคนที่มีความรู้สึกรู้สา มีหัวใจ คือชีวิตมันเป็นตัวอธิบายงานด้วย คนใช้ชีวิตยังไงมันก็เหมือนกำหนดแนวทางงานของเขาไปด้วย คนที่ขยันอ่านหนังสือ เดินทาง คุยกับคน เปิดรับตลอดเวลา กับคนที่กินเหล้าทุกวัน อยู่ในกรอบของคนสี่ห้าคนเจอกัน ปิดกั้น ไม่เคยเปิดรับ เรียนรู้อะไรที่แตกต่างเลย งานมันก็เป็นอย่างนั้น
ในงานที่เป็นความเรียง คอลัมนิสต์ สิ่งที่คุณเขียนถึงมักจะเป็นแง่มุมเล็กๆ เสมอ
อาจเพราะเป็นคนตัวเล็กๆ ถ้าเป็นนายกฯ เมื่อไหร่เดี๋ยวจะพูดเรื่องใหญ่(หัวเราะ)…
งานของเรา เราทำโดยอยากให้มันเป็นชีวิตปกติ พูดเรื่องปกติ พูดเรื่องชีวิตประจำวัน โดยพื้นฐานความเชื่อ เชื่อว่ามีความน่าสนใจอยู่ในชีวิตประจำวัน เชื่อว่าคนธรรมดา คนที่ไม่มีชื่อเสียง คนที่ไม่ใช่ดารา ก็มีความน่าสนใจ กระทั่งหลายคนอาจจะมีมากกว่าคนที่เป็นดาราหรือคนที่มีอันจะกินในสังคม อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือเปล่า
คนมีความเก่งคนละแบบ คนทุกๆ คนมีความหมาย คุณค่า ถ้าจะเปรียบเทียบกับสัตว์มีพิษ เหมือนกับว่าพระเจ้าให้สารพิษมา พวกแมงป่องมีอย่างหนึ่ง งูก็มีอย่างหนึ่ง เราเชื่อว่าทุกคนก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ทุกคนมีความหมายมากน้อยคนละแบบ ต่างกัน มันเป็นเรื่องของเรามากกว่าที่จะมองเห็นหรือสัมผัสได้หรือเปล่า
โดยพื้นฐานความเชื่อ เชื่ออย่างยิ่งว่าทุกคนมีความน่าสนใจ เราสนใจเรื่องความสุขคืออะไร ชีวิตที่ดีคืออะไร คนเราควรจะใช้เวลายังไง
ชีวิตที่ดีต้องเป็นยังไง
มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วแต่คน คนนี้ควรเป็นแบบนี้ อีกคนก็เป็นอีกอย่าง ไม่เหมือนกัน ลอกเลียนกันได้บางอย่าง บางคนอาจจะเหมาะกับการมีรถ บางคนอาจจะไม่เหมาะ แม้ว่าจะมีเงิน บางคนอาจจะเหมาะกับการมีโทรศัพท์มือถือ บางคนอาจจะไม่เหมาะ บางคนอาจจะเหมาะกับการเป็นลูกจ้าง บางคนอาจจะเหมาะกับการเป็นเจ้าของธุรกิจ
มีงานเขียน หรือตัวบุคคลที่ส่งอิทธิพลถึงงานและชีวิตบ้างไหม
เยอะแยะไปหมด ทั้งในสายที่เป็นคนในแวดวงศิลปะ วรรณกรรม ทั้งชาวบ้านชาวช่องทั่วไป แต่เราเชื่อทั้งสองด้าน ไม่ใช่แบบอย่างที่ดีเท่านั้นที่มีอิทธิพล เราเชื่อว่าคนชั่วหรือความเลวร้ายก็เป็นแบบอย่างได้ อยู่ที่ว่าเราจะเรียนรู้และใช้มันยังไง ไม่ใช่คนที่เชื่อว่าต้องสีขาวเท่านั้น ต้องเรียนรู้จากศาสนา พระสงฆ์เท่านั้น หลายๆ เรื่องเราเรียนรู้จากเพื่อนที่… ถ้ามองจากสายตาของสังคมอาจจะมองว่าเป็นคนที่แย่มากๆ ด้วยซ้ำ แต่เขาอาจจะเป็นคนที่ทำให้เรามองเห็นสิ่งที่งดงามมากๆ ก็ได้ เป็นอย่างนี้อยู่เสมอ
เพื่อน มิตรภาพ ดูจะเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่คุณให้ความสำคัญและมักจะเขียนถึงอยู่บ่อยๆ
เราเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว สิ่งที่เราแปลกใจก็คือ สิบปีที่ผ่านมาเรื่องเหล่านี้ได้รับการพูดถึงน้อยนะ จากเมื่อก่อนเรื่องคุณธรรมน้ำมิตรดูจะเป็นเรื่องใหญ่มากๆ ในงานเขียน ในงานหนัง แต่หลังๆ มานี้ เรื่องพวกนี้หายไป เจือจางลงไปจริงๆ ไม่รู้เพราะอะไร หรือเพราะว่าทุกคนมุ่งสู่โลกส่วนตัวเกินไป แต่เรา… ชีวิตมันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะ ชีวิตยังไงมันก็ต้องสัมผัสสัมพันธ์กับผู้อื่น มีเพื่อนมันก็ดีอยู่แล้ว ถ้าพูดถึงว่ามาทำอะไรร่วมกัน คนหลายคนมันทำได้ดีกว่า มีพลังมากกว่าทำคนเดียวอยู่แล้ว สำหรับเรามันเป็นเรื่องใหญ่ น่าพูดถึงมากๆ
ในชีวิตจริงมีเพื่อนเยอะมั้ย
รู้จักคนเยอะแต่มีเพื่อนน้อย
ในงานเขียนของคุณมักจะมีน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความโดดเดี่ยว ความเหงาอยู่พอสมควร แต่เท่าที่สังเกตไม่เคยแสดงออกถึงความท้อแท้เลย
ถ้าชีวิตคนอย่างเราอยู่ได้ในสังคม คนอื่นก็อยู่ได้ เพราะว่าโดยองค์ประกอบในทุกๆ ด้าน โดยพื้นฐานทางครอบครัว ยังไงก็น่าจะเรียกว่ามันต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานมากๆ ยิ่งถ้าจะพูดเรื่องเงิน ฉะนั้น ถ้าคนแบบเราสามารถทำงานหรือมีพื้นที่อยู่ได้ในสังคม มันน่าจะอธิบายได้ว่าทุกคนควรจะอยู่ได้ ทุกคนควรจะเชื่อด้วยซ้ำว่า เพราะงานเท่านั้นแหละที่จะทำให้คนอยู่ได้ ไม่ใช่เรื่องอื่น ฉะนั้นมันจะท้อเรื่องอะไรล่ะ ง่ายๆ ที่สุดเลย ตื่นเช้ามามีลมหายใจอยู่ก็น่าจะดีที่สุดแล้ว จะขาดทุนเรื่องอะไร ในเมื่อพื้นฐานเกิดมาด้วยการติดลบตลอดเวลา คือถ้าเราจะพูดเรื่องต้นทุนกำไร มันก็เป็นกำไรไปหมดแล้ว…
โดยส่วนตัวค่อนข้างรังเกียจอาการฟูมฟาย คิดว่าอาการฟูมฟายเหมาะสมกับบางช่วงวัยเท่านั้น บางช่วงวัยน่าจะนับว่าเป็นความน่ารังเกียจ แต่มันก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ มีบางอย่างไม่สามารถจัดการได้ แต่แทนที่จะพูดไปในวงกว้าง แทนที่จะพูดกับเพื่อน บางทีมันก็ต้องกลืนเลือดเงียบๆ กระทั่งตัวเราเองเราก็รู้สึกไม่ดีกับมัน แต่เป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องจัดการกับมันให้ได้ พูดขึ้นมาเมื่อไหร่มันก็เซ็ง ไม่รู้จะพูดขึ้นมาทำไม พูดที่สนุกๆ ดีกว่า เป็นเรื่องปกติที่คนเราจะอ่อนแอ มีข้อบกพร่อง แต่เป็นหน้าที่ที่จะต้องจัดการ เราเองก็ทำได้ดีบ้างไม่ดีบ้าง เมื่อไหร่ก็ตามที่ยังไม่ตาย มันก็ไม่น่าจะเศร้าเกินไป หดหู่เกินไป
คุณเคยบอกว่าการเขียนแบบระบายไม่ใช่ทางของคุณ
บางทีเรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องของการใช้คำ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้มันอาจจะเป็นการระบายอย่างหนึ่งก็ได้ เพียงแต่ว่าแต่ละวัยคงระบายต่างกัน… ชีวิตมันน่าจะสนุกๆ น่ะ ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องแย่ๆ มีเรื่องไม่ดี คนเศร้ามากเกินไป หรือคนที่ร้องแต่เพลงเศร้าตลอดเวลา เรารู้สึกว่ามันน่าเบื่อ คือถ้าตราบใดยังมีชีวิตอยู่ มันน่าจะเห็นความงามของอะไรต่างๆ ได้ เหมือนที่พี่จุ้ย(ศุ บุญเลี้ยง) เคยว่า มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งอยากฆ่าตัวตาย แกชวนไปกินข้าว แล้วถาม “ข้าวนี้อร่อยมั้ย ฝนตกต้องแสงไฟสวยมั้ย” แกบอกว่า “ถ้าอะไรๆ ก็ไม่ดีสักอย่าง เอาเหอะก็ไปฆ่าตัวตายเหอะ” แต่ถ้ามันยังมีอยู่ก็น่าจะอยู่
ความเศร้า ความอ่อนแอ เป็นภาวะที่มีอยู่จริง แต่มันก็คงต้องจัดการ… ชีวิต เราว่ามันเป็นเรื่องของการบริหารเงื่อนไข เงื่อนไขของแต่ละคนต่างกัน ไม่ได้แปลว่าคนที่มีเงินมากที่สุดต้องมีความสุขมากที่สุด
ดูเหมือนคุณจะมีวินัยในเรื่องการงานและชีวิตมากๆ
ถ้าชีวิตมีร้อยเรื่อง เราอยากมีวินัยกับมันสองสามเรื่องเท่านั้น ที่พยายามอยู่นะ อย่างอื่นเละ แล้วก็ให้ความสำคัญน้อยมาก เช่น บางคนเขาอาจจะคิดว่าการจัดบ้านให้เป็นระเบียบ การโยนกางเกงในให้ลงตะกร้าเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต แต่เราโยนผิดก็ช่างมัน เสื้อผ้าไม่ต้องซักสองวันก็ช่างมัน น้ำไม่ต้องอาบสองวันก็ช่างมัน จัดของวางไม่เป็นระเบียบก็ช่างมัน กินข้าวกินอะไรก็ได้ ช่างมัน แต่เรื่องกินอาหารกินอะไรก็คิดนะ เรื่องมีประโยชน์ไม่มีประโยชน์ แต่ก็เป็นไปด้วยความง่าย ร้านไหนอร่อยแทบตาย ถ้าคนเยอะ ไม่ไปรอแน่นอน ไม่มีความพยายามในเรื่องเหล่านี้เลย
เรื่องที่สนใจคร่าวๆ ก็มีเรื่องงาน เรื่องเพื่อน สมมุติอย่างเขียนหนังสือ เอาอย่างพื้นฐานเลย ตั้งใจอยู่เสมอว่าจะไม่ให้มีคำผิดเลยสักคำเดียว ซึ่งจริงๆ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อยนะ จริงๆ น่าจะคิดเรื่องเขียนยังไงให้ดีมากกว่า แต่ว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการเขียน กฎข้อแรกๆ ที่ตั้งไว้กับตัวเองคือไม่ควรจะผิด ชอบไปคุยเล่นกับฝ่ายพิสูจน์อักษรว่า สัมภาษณ์ของเราสิบกว่าหน้านี่ยาวมากเลยนะ แต่ไม่มีคำผิดหรอก ให้มันเรียบร้อยที่สุด ระมัดระวังมากที่สุด เราจะละเอียดกับเรื่องไม่กี่เรื่องหรอก พูดอย่างนี้ไม่ได้แปลว่าดีแล้วนะ ก็มีคำผิดอยู่ดี แม้ว่าจะตั้งใจแล้ว พยายามทำให้ตรงเวลา ก็ยังทำไม่ค่อยได้ดี ยังเป็นคนที่ส่งช้าอยู่เสมอ แม้ว่าจะพยายามแล้ว เพราะมันอยากเปลี่ยน อยากคิด อยากแก้ อยากทำให้ได้ดีกว่านี้
ถัดจากเรื่องงานเขียนก็เป็นเรื่องเวลา เราสามารถพูดได้ว่าเวลาคือศาสนาของเรา คนบางคนอาจจะพุทธ คริสต์ อะไรก็แล้วแต่ แต่เราคิดเรื่องเวลา ถ้าเรานัดกับใครไว้ เป็นข้อแรกๆ ว่าเราจะต้องไปตามเวลา คิดเรื่องการใช้เวลา แต่โอเค มันยังเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง ให้ความสำคัญมากๆ ไม่ได้แปลว่าเป็นคนที่ใช้เวลาแบบแสวงหาความรู้ตลอดนะ เอาง่ายๆ ว่า เราคิดว่าการมานั่งคิดว่าทำยังไงให้ได้เงินเยอะๆ ทำยังไงให้ชีวิตประสบความสำเร็จ สำหรับเราเป็นเรื่องเสียเวลา แต่ถ้าการไปนั่งดูต้นไม้ ดูฟ้า กระทั่งการคุยกับเพื่อน กินเหล้ากับเพื่อน ไม่นับเป็นเรื่องเสียเวลา
เรื่องการใช้เวลาเป็นเรื่องใหญ่ แล้วมันจะสะท้อนคนคนนั้นด้วยว่าให้คุณค่ากับเรื่องอะไร นักเขียนก็ต้องให้เวลากับการเขียนหนังสือ การคิด และเราคิดว่านักเขียนก็ไม่ควรจะพูดมากจนเกินไป ควรจะเอาเวลามาเขียนหนังสือ เราพบว่าคำตอบหนึ่งที่อธิบายว่าวงการวรรณกรรมไม่เคลื่อนไหว ไม่ก้าวหน้านัก เหตุผลหนึ่งเราคิดว่านักเขียนพูดมากเกินไป สรุปแล้วก็ใช้เวลาผิดๆ เราไม่แน่ใจเลยว่ามีใครกี่คนในโลกนี้ที่จัดการเรื่องเวลาได้ดี ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่มาก
ขอบเขตที่นักเขียนต้องพูดผ่านการเขียนมีอยู่แค่ไหน
ก็คงเหมือนที่เขาพูดๆ กันมามั้ง อย่าเทศนาในสิ่งที่ตัวเองไม่เชื่อ
จริงๆ แล้วเราว่าก็พูดได้ทุกๆ เรื่อง แต่ให้มันมีทั้งเรื่องและชั้นเชิงสอดรับกลมกลืนกัน ไม่ว่าจะพูดเรื่องหยาบมากหรือลึกซึ้งมาก แต่ถ้าพูดด้วยวิธีการและชั้นเชิงที่ไม่พอเหมาะพอดี มันจะดูแย่ทันที ไม่ได้แปลว่าพูดเรื่องแย่จะง่ายกว่า พูดเรื่องลึกซึ้งจะยากกว่า อยู่ที่ชั้นเชิงของการพูด ต้องรู้ศักยภาพของตัวเองว่ามีประมาณนี้ควรจะพูดประมาณนี้ ยกตัวอย่างก็ได้ เหมือนคุณเป็นพี่เสก โลโซ พูดการเมืองอาจจะไม่มีใครเชื่อถือน่ะครับ ถ้าเป็นพี่หงา คาราวาน พูดในบางมุมอาจจะมีคนฟัง วงไอน้ำไปพูดเรื่องการเมืองอย่างนี้… มึงเป็นใครวะ คือต้องรู้ศักยภาพตัวเอง มันไม่ค่อยฉลาดอยู่แล้วที่จะไปพูดในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้
อาชีพคนทำหนังสือและนิตยสารปัจจุบันถือว่าอยู่ในความสนใจของคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ๆ จนสามารถเรียกว่าเป็นแฟชั่น เป็นเทรนด์ได้ ในฐานะผู้มาก่อนรู้สึกอย่างไรบ้างกับกระแสตรงนี้
อะไรที่มันเป็นด้วยมาด้วยความหมายของแฟชั่นมันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ แฟชั่นเข้าวัดใดวัดหนึ่ง แฟชั่นอ่านหนังสือใดหนังสือหนึ่ง เราคิดว่าการเข้าวัดด้วยความคิดของคนอื่น กับการเข้าผับด้วยความคิดของตนเอง อย่างหลังอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ในความหมายของการรู้เท่าทัน ไปเพื่ออะไร ไปทำอะไร การไปตามคนอื่น มันก็มีอยู่ ทั้งที่จริงมันไม่ใช่เรื่องวงการที่แย่นะ สิ่งที่เห็นมันก็มีอยู่ว่าเขามองแต่ด้านสว่างของมัน แต่เขาไม่เคยรู้ว่าการถอดเทปนานเท่าไหร่ การปวดหูเป็นอย่างไร การอดหลับอดนอนมันเป็นอย่างไร เขาเห็นไกลๆ เห็นภาพภายนอก ซึ่งความจริงไม่ว่าจะสนใจอะไรมันก็น่าจะเห็นในทุกๆ ด้าน ก่อนที่จะแสดงตัวเข้าไปร่วมในสังคมนั้น จะดีกว่านั้นถ้ามองให้ลึกและรอบด้าน เพราะทำอะไรโดยถูกแฟชั่นฉุดพาไปมัน… ไม่ใช่คนแล้ว จะพูดว่าควาย ควายน่ารักกว่านั้น(หัวเราะ) ควายฉลาด น่ารักน่าเลี้ยงเป็นที่สุด(หัวเราะ)
มักจะเรียกตัวเองว่าเป็นคนทำหนังสือมากกว่าเป็นนักเขียน
มันเป็นแค่คำเรียกมากกว่าครับ ไม่ได้มีความหมายมาก ถ้ามันจะมีความหมาย เราว่าเรื่องพวกนี้มันใหญ่เกินกว่าจะมาพูดกันพล่อยๆ หรือจะมาสรุปกันง่ายๆ ในปีสองปี หรือพูดกันแค่เขียนหนังสือมาสามสี่เล่ม สิ่งเหล่านี้วัดกันทั้งชีวิต ให้ตายก่อนดีกว่าค่อยมาพูดกัน ตราบใดที่ยังไม่ตาย การแพ้ ชนะ หรือทำได้แค่ไหนมันยังพูดไม่ได้
ถ้าจะพูดถึงว่าวิชาชีพหรือการงานก็เป็นแค่คนเริ่มต้น เตาะแตะ ยังไม่รู้อะไรเลย เราคิดเหมือนคนรุ่นพี่ๆ ว่า ‘งานเขียนมันต้องวัดกันทั้งชีวิต’ แล้วผลลัพธ์ก็เป็นเรื่องของผู้อื่น เราเองเราก็ทำเต็มที่เท่าที่จะทำได้ มันจะมีความหมายหรือเปล่า มันจะได้มรรคได้ผล ทำได้ดีไม่ดีแค่ไหนมันเป็นเรื่องของผู้อื่น ไม่มีความจำเป็น ไม่ใช่หน้าที่ที่จะมาป่าวประกาศอะไรเหมือนใครสักคนค้นพบสัจธรรมอะไร มันดูเป็นความหยาบคายที่จะประกาศไปนะบางครั้ง ทำไปตามปกติ ดีชั่วสูงต่ำเลวทรามเราจะไปหลอกใครได้ ทุกๆ คนเขามีความรู้ มีการศึกษา เขารู้ว่าคุณทำอะไร ทำแค่ไหน มันหลอกกันได้ด้วยเหรองานเขียน หยิบมาอ่านสองบรรทัดก็รู้แล้วว่าใครแค่ไหน ถ้าเราอยู่ในสังคมเดียวกัน ไม่เห็นจะมีใครโง่ใครฉลาดกว่าใครเลย พูดจารู้เรื่อง เรียนหนังสือได้ เอาจ