Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

สัพเพเหระกับ หงา คาราวาน

 

 
ถ้าประสบการณ์เป็นสิ่งที่ตวงวัดกันได้ น้ำหนักประสบการณ์ของคนวัยย่าง 63 คงหนักเอาเรื่อง ยิ่งคนนั้นชื่อ สุรชัย จันทิมาธร หรือ หงา คาราวาน ด้วยแล้ว น้ำหนักที่ว่าคงจะหนักอึ้ง 
 
ในวัยเลยแซยิดมา 3 ปี เขาเพิ่งออกอัลบั้มใหม่ ‘หนังสือในชื่อเธอ’ และรวมเรื่องสั้นเล่มล่าสุดในรอบ 20 ปีกับสำนักพิมพ์สามัญชนในชื่อ ‘ทางเส้นเก่า’ แม้จะติดขี้เกียจ แต่เขาก็ยังกลั่นผลงานออกมาได้เป็นระยะๆ 
 
และเช่นทุกครั้ง ยามที่ศาสตราจารย์ด็อกเตอร์สาขาเพลงเพื่อชีวิตอย่างเขาออกผลงาน มักจะถูกสื่อจับตัวมาจับเข่าคุย ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่เป็นการสนทนาแบบสบายๆ ที่ไม่ฮาร์ดคอร์จนเจ็บคอ 
 
แต่ก็น่าแปลก! เพราะดูเหมือนในทุกๆ ประโยคของเขามีประสบการณ์ยาวนานซุกซ่อนไว้ด้วย แม้กับเรื่องที่ดูจะไม่มีอะไร แต่มันก็มีอะไร 
 
อยากให้คุณลองค้นหาดู… 
 
ยังต้องตระเวนเล่นคอนเสิร์ตอยู่เรื่อยๆ เหนื่อยไหม อายุปูนนี้แล้ว 
ถามว่าเหนื่อยก็เหนื่อย แต่ว่าดีไหม ก็ดี 
 
ดียังไงครับ ได้เงิน 
ไม่ใช่เรื่องเงิน เป็นเรื่องการทำงาน เรื่องเงินใครก็ชอบ แต่ได้น้อยได้มากก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่คนเราก็ไม่ใช่แค่ตรงนั้น มันได้พรีเซ็นต์งานออกไป ได้รับผลกระทบต่อกันน่ะ แค่นั้นแหละ 
 
ได้ยินว่าจริงๆ เป็นคนใจดีมีเมตตา แต่ชอบเงียบ ประเภทรักนะแต่ไม่แสดงออก 
ใช่ๆๆ (รีบตอบทันที) ถูกต้อง เขารู้กันทั้งสังคมเลย มันแฮปปี้ดี บางทีก็รักไม่บอก…นี่ (หัวเราะ) 
 
แต่ผลจากการเมือง เวลาไปทัวร์คอนเสิร์ตเหนือ-อีสาน โดนด่าบ้างหรือเปล่า 
คงมีคนแอบด่าน่ะ แต่เราไม่ได้ยิน (หัวเราะ) คงไม่รอดมั้ง ตะโกนด่าต่อหน้า ไม่มี 
 
แล้วกับเรื่องมิตรภาพล่ะ ผลจากการเมืองทำให้ต้องทะเลาะเบาะแว้ง ต้องถกเถียง พูดคุยกัน 
อ๋อ ไม่ เราไม่ชอบทะเลาะกับใคร ถ้ามาตั้งหน้าว่าจะทะเลาะ เราก็เดินหนี 
 
เวลาพบเพื่อนสีนั้นสีนี้ ก็จะไม่คุยเรื่องการเมืองกัน 
ก็ให้เกียรติกันไป ไม่คุยดีกว่า คือคุยเรื่องสีซะหน่อย ที่เราสู้กันมาตลอด ไม่ว่าเราจะเป็นพันธมิตรฯ หรือจะเป็น นปช. (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ) ก็แล้วแต่ พวกเราสู้กันมาหลายต่อหลายปี ช่วงที่เป็นเหตุการณ์เรื่องสีขึ้นมา เราก็มาย้อนนึกถึงมัน ใครจะเชื่ออย่างไรก็แล้วแต่ ก็สู้กันมาในทัศนะของตัวเองที่คิดว่าถูกต้อง ร่วมไม้ร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นฝั่งไหนก็แล้วแต่ 
 
แต่สู้ขึ้นมาแล้วมันได้ข้อสรุปประการหนึ่งในปัจจุบันนี้ว่า ถ้าเอ็งสู้กันมาเพื่อจะเป็นสีไหนๆ เอ็งงี่เง่าที่สุด ไม่ใช่จุดประสงค์หรือเป้าหมายของการต่อสู้ ไม่ใช่อุดมคติหรืออุดมการณ์ เอ็งสู้ทุกอย่างแล้วจะมาชูธงสีอยู่ เอ็งไม่ข้ามขั้น ไม่ใช่นักสู้ที่แท้จริง เราก็เลยได้ข้อสรุปมาว่า เราพ้นภาวะตรงนั้นมาแล้ว พ้นภาวะเรื่องสี ใครจะหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องสีก็งี่เง่าที่สุด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ช่าง บัวไม่พ้นตม นี่ฝากแง่คิดแด่สังคมนะ เอาไปเขียนได้เลย
 
เอาเวลาช่วงไหนคิดงาน 
อ๋อ ยามว่างถ้าอยากจะทำงานก็นั่งเอาปากกามาจดๆ พอได้ทำอยู่ อย่างอาทิตย์ที่แล้วเขียนไปสองเรื่อง ตั้งใจว่าจะหาเรื่องเขียน ก็ได้ คือมันว่างจากเล่นดนตรีก็เขียนหนังสือได้ แต่ส่วนมากถ้าไม่จำเป็นก็ไม่เขียน ไอ้ที่เขียนเพราะจำเป็น เพราะเขารอมาสองปีแล้ว สัญญาเขาไว้สองปีแล้ว ไม่ได้เขียนสักที ก็เลยต้องเขียน 
 
เดาว่าคงมีคนเคยมาทาบทามให้ลงเล่นการเมือง 
ตอบได้ทันทีว่ามี แต่ว่าคงไม่ใช่ คือไม่ต้องตอบเท่ ตอบแบบขี้เหร่สุดเลยก็ได้ ไม่มีปัญญา…ไม่มีปัญญาทุกอย่างเลยแหละ ปวดหัว แค่นี้ก็แย่จะตายอยู่แล้ว แค่นี้ก็จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว 
 
เอาตัวไม่รอด หมายถึงเรื่อง 
ก็การดูแลตัวเองให้ชีวิตมันทำงานได้ก็โอเคแล้ว ทำตรงนี้ให้มันดีขึ้นก็พอแล้ว เพื่อได้ทำงานศิลปะและดำรงอยู่ได้พอสมควร ก็น่าจะพอแล้ว 
 
ทำงานมานานแล้ว ก็ยังต้องดิ้นรนอยู่ 
ไม่มีใครพอหรอก มันมีแค่นี้ก็เติบใหญ่ไปแค่นั้น เพียงแต่ว่าความพอมันอยู่ตรงไหนเท่านั้นเอง ความพอมันไม่เท่ากัน ที่ชอบพอเพียงๆ แต่ความพอมันไม่เท่ากัน แต่ละคนก็ต่างกันไป เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องพูดยาก 
 
ความพออยู่ตรงจุดไหน 
สำหรับเรานะ หนึ่งคือไม่เป็นหนี้สิน มีเงินบ้าง ช่วยเหลือผู้อื่นได้บ้างตามแต่จำเป็น แล้วก็ดูแลตัวเองให้ได้ นี่แหละความพอ แต่ทุกวันนี้ก็ยังเป็นหนี้อยู่ (หัวเราะ) ข้อแรกยังไม่พ้นเลย แต่ว่าการช่วยเหลือผู้อื่นก็มีบ้าง เรื่องการช่วยเหลือมันเป็นเรื่องบุญกุศล ช่วยกันได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นหนี้ เราก็ยังมีใจช่วยเหลือคนอื่นได้ ให้ดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง อันนี้ก็ยังยาก ต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อมต่างๆ นานา เพื่อนฝูง สังคม 
 
สุขภาพโดยรวม…แข็งแรง 
ก็พอได้ เตะบอลได้ก็แล้วกัน ไม่ชอบเตะปี๊บ ชอบเตะบอล 
 
หนักกี่โลฯ ตอนนี้ 
หกสิบห้า หกสิบหก ถ้าเจ็ดสิบ อ้วน เราสูง 165 ตอนนี้แก่ตัวอาจจะเหลือ 163 ก็ได้ เราต้องการทำน้ำหนักอย่างนี้ด้วย เราจะพอพยุงตัวเองไว้อยู่ เราต้องการไว้เล่นฟุตบอล มันวิ่งสะดวกหน่อย อ้วนมากๆ มันวิ่งยาก 
 
ไม่เจ็บเข่า 
เจ็บ เจ็บมากด้วย แต่ตอนวิ่งมันไม่เจ็บ หลังวิ่งมันเจ็บ ก็ต้องดูแลตัวเอง นวดให้มันบ้าง เล่นมันเพลิน สนุก ยอมเจ็บ ไม่รู้สึกปวด แต่พอเล่นเสร็จ มันเจ็บไปสามสี่วันเลย บอกใครไม่ได้ เสือกเอง ใจรักเอง 
 
เข้าวัดเข้าวาหรือเปล่า 
ไม่ใช่ เราก็สนใจความเงียบสงบนะ สนใจการปลีกวิเวก การปลีกสันโดษ เราก็ชอบนะ ตั้งแต่เด็กแล้ว เพียงแต่ว่าชอบไหมมันอีกเรื่องหนึ่ง คนเรามันต้องชอบหลายๆ อย่าง บางทีการปลีกตัวไปอย่างนั้น มันก็ทำให้เกิดสติปัญญาได้เหมือนกัน เราไม่ได้เรียกพุทธิปัญญานะ ไม่กล้าเรียก สติปัญญา มีสมาธิ 
 
อายุมากขึ้น คิดถึงเรื่องความตายบ้างหรือยัง 
คิดมาตั้ง 30 ปีแล้ว คิดทุกวันเลย ตอนเป็นหนุ่มก็คิด แต่ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยคิดแล้ว มันเริ่มเข้าใจไง เริ่มปลง มันใกล้ตัว เพื่อนฝูงก็หายไปทีละคนสองคน เรื่องธรรมดา ไม่วิตกอะไร ไม่กลัว สมัยหนุ่มๆ กลัว ตายเป็นยังไงวะ แต่พอแก่ตัวลง มันเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว อายุมากขึ้นจะรู้ว่า อยู่แล้วมันเซ็ง จะเริ่มได้คิด กิจวัตรมันจะซ้ำซาก 
 
ในวัยนี้ เอาเวลามาคิดเรื่องอะไรเป็นหลัก 
เรื่องหายใจเข้าไว้อะไรทำนองนี้ ทำยังไงจะให้หายใจสะดวกๆ เข้าไว้ อย่าให้เหนื่อย อย่าให้ลำบากมาก 
 
เหมือนชีวิตเป็นทุกข์ การดิ้นรนก็เป็นทุกข์ 
สุขก็มี ไม่ใช่ทุกข์อย่างเดียว ถ้าใครทุกข์อย่างเดียวคงอยู่ยาก ต้องทำให้มันบาลานซ์กันระหว่างสองสิ่ง อันนี้จุดสำคัญเหมือนกัน มีความสุขบ้าง มีความทุกข์บ้าง สุขอย่างเดียวก็ไม่มี ถ้าเห็นความทุกข์ระทม เอ็งเตรียมยิ้มไว้เลย อีกสักพักจะมีสุข 
 
ทุกวันนี้มีความสุขกับอะไรบ้าง 
คละเคล้า กินเหล้า (หัวเราะ) ถ้ากินไม่ได้เดี๋ยวร่างกายมันจะปฏิเสธเอง บุหรี่ เราเลิกไปยี่สิบกว่าปีใช่ไหม เพิ่งกลับมาสูบเมื่อสามสี่ปีที่แล้ว 
 
ทำไม? 
ก็มันสูบได้ไง ปอดมันสะอาดแล้ว สูบได้ก็สูบสิ ซีเรียสอะไรกับมัน สูบได้สักพักหนึ่ง ตอนนี้เป็นไข้หวัด สูบไม่ได้ เหม็น ก็หยุดมาหลายวันแล้ว ไม่มีอาการอยาก ก็สูบแล้วเหม็นจะสูบทำไมล่ะ 
 
วัฏจักรของเรา สูบบุหรี่ตั้งแต่เด็กจนโตเลย กินเหล้าด้วย สูบมากๆ โรคอะไรบ้าบอ เอ๊ะ ไม่สบาย สูบทำบ้าอะไรวะ ก็หยุด หยุดแล้วก็ดีขึ้น หยุดไปยี่สิบกว่าปี พอกลับมาเล่นหนัง ‘องค์บาก’ ในฉากมันต้องให้คาบยา เฮ้ย! กูก็สูบได้นี่หว่า เลยกลับมาสูบอีก นี่คือชีวิตมันสอนเราเอง 
 
แล้ววางชีวิตบั้นปลายไว้ยังไง 
ไม่ได้วาง อยากจะวาง แต่วางไม่ได้ วางมือยังไม่ได้เลย ยังต้องทำเหมือนเดิมก่อน ตระเวนเล่นดนตรีหากินไปเท่าที่มีแรงอยู่ ไม่ได้มีแผนอะไรกับชีวิตมากมายนัก เพียงแต่ถ้าเป็นไปได้ก็ขอมุมสงบของตัวเองในช่วงที่เหลืออยู่ อาจจะเป็นชนบทกันดาร ไม่ใช่ไปบวชนะ แต่ขออยู่แบบสบาย อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำงาน ถ้าเป็นไปได้ 
 
ไม่อยากบวช 
คงไม่ได้บวชหรอก บวชหรือไม่บวชก็ค่าเท่ากัน มันอยู่ที่ใจ บางทีคนเราบวชในรูปแบบไปแล้วยังไม่พ้นภาวะ ยังต้องหลอกตัวเองอยู่ บางทีไม่ต้องบวชก็ได้ ไม่ต้องนุ่งเหลือง ห่มเหลืองก็ได้ อยู่ที่ใจตัวเองปฏิบัติได้แค่ไหน 
 
ปัจจุบันนี้เรียกว่า ‘นิ่ง’ แล้วหรือยัง 
ไม่ใช่ ก็ยังมีฟุ้งซ่านบ้าง มีไหวเอน อ่อนไหว มีสะท้าน มีสะเทือนอยู่เหมือนกัน 
 
…….. 
เรื่อง : กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล 
ภาพ : ธนารักษ์ คุณทน