Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

สองบทกวีจากที่ไกลโพ้น : คริสโตเฟอร์ โอกิกโบ เสียงกวีจากแอฟริกา

 

 
สองบทกวีจากที่ไกลโพ้น
  
จากเนื้อกลายเป็นปีศาจ
บนศิลาขนาบขอบฟ้า :
ข้าผู้เดียวประจักษ์ถึงการกลับบ้าน…
แสงเจิดจ้าเหนือระเบียงบ้านอื่น
หอมกรุ่นอุ่นไอน้ำพุ ตั้งตระหง่านด้วยป้ายปัก
ทว่าความปลื้มปีติขรึมขลังใดเล่าที่ข้าถือไว้?
ผอบแห่งกำยาน? ฤๅรวงรังของฝูงหิ่งห้อย?
ข้าผู้เดียวประจักษ์ถึงการกลับบ้าน…
และการผลิบานของห้องสีขาว
เสียงหนึ่งจากที่ห่างไกล เพลงสวด และห้องที่ลาดลง
ในวันเกิดของผืนดิน นำข้าโหมลุยกลับสู่บ้าน
ผ่านทางเขาวงกตมืด จากเสียงหัวร่อสู่ความฝัน
คนงานขุดเหมืองถ่านหินกลายเป็นความอ้างว้างของข้า
จุติเป็นความฝันเหล่านั้น  ท่านจะร่วมไปกับข้าในฐานะผู้ช่วยพระ
อีกครั้งหนึ่งกลับกลายเป็นรังมด…
ข้าผู้เดียวประจักษ์ถึงการกลับบ้าน…
 
ความตายสถิตในการซุ่มโจมตี
ณ เย็นย่ำค่ำบนเกาะแห่งนั้น
และเสียงที่เพรียกหาความก้อง
ณ เย็นย่ำค่ำบนเกาะแห่งนั้น
และดวงตาที่สิ้นแววประกาย
และแสงที่สูญเงา
และสายลม ผู้ร้องทุกข์แห่งใบมรณะ
ซึ่งมิได้พันผ้าพันแผลกลายเป็นนักแหวกว่ายผู้ฉกาจ…
และเป็นสนธยากาลที่ปราศจากเนื้อและโครงกระดูก
สนธยาที่ไร้ระฆังสีเงินเหมือนในนิทานที่เล่าขาน
ไร้โคมตะเกียงสว่างไสว ไร้ทิวธงปลิวสะบัด
และยามสนธยาที่ไม่มีอายุขัยหรือความทรงจำใด
 
แด่เราผู้ซึ่งกำลังพูดถึงมันราวกับเป็นสถานธรรมดา
และเหนือริมขอบสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า
และในความแข็งทื่อของหน่อกุหลาบในห้องสีขาว
ดวงตาได้สูญเสียสีสันของสรรพสัตว์
ความหายนะของแสงจากหลอดไฟฟ้า
ตอกหมุดข้าไว้ เยียบเย็นบนหินอ่อนที่ปูลาดไว้
   กระทั้งดวงตาสูญเสียเลือด
   และเลือดสูญสิ้นกลิ่น
และไฟนิรันดรจากรอบหน้าต่างสี่เหลี่ยม
ลืมรสชาติของขี้เถ้าในลมที่พัดไขกระดูก…
 
ความเจ็บปวดและความโดดเดี่ยว..
การหายใจไม่ออก การร่ำไห้ฟูมฟายของข้า
มวลนักเต้นระบำติดบ่วงกับดักของตน
ดวงหน้า มือที่ถูกมัดพันธนาการ
ช่องว่างที่โชกฉานด้วยเลือด…
 
และเบื้องหลังพวกเขาทั้งหมด
ในชุดเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีขาว
หล่อนตายด้วยตนเอง
หัวหน้าพระผู้สวด
ในม่านหมอกของกำยาน
เฉือนเล็บนิ้วมือของหล่อน…
 
ที่เท้าของหล่อนพวกเขาโยกศีรษะราวกับผ่าผลไม้
เกี่ยวกับการตายของหล่อน
พวกเขาแยกชิ้นส่วน มากมายเหมือนฝูงตั๊กแตน
เหมือนไม้ปริแตกปล่อยทิ้งให้แห้ง
ชิ้นส่วนของผู้เกื้อถูกสุมกองสูงพะเนิน
 
หล่อนแช่เข่าของตนในเลือดของผู้ใช้บริการ
เสื้อคลุมของหล่อนในลำไส้ของผู้การุณ 
      
         
คริสโตเฟอร์ โอกิกโบ
 
* ซะการีย์ยา อมตยา แปล
 
 
 
คริสโตเฟอร์ โอกิกโบ (Christopher Okigbo 1932-1967) เกิด 16 สิงหาคม ที่โอโจโต ใกล้กับโอนิทชาทางตะวันออกของไนจีเรีย ในยุคที่ยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ  เป็นบุตรคนที่สี่ของเจมส์ โอโกเย่ โอกิกโบ ครูผู้บุกเบิกโรงเรียนคาทอลิกกับนางแอนน่า โอนุกวาโลบี โอกิกโบ คริสโตเฟอร์ โอกิกโบ เริ่มต้นการศึกษาเบื้องต้นในโรงเรียนคาทอลิกอุมูโลเบีย มัธยมศึกษาที่วิทยาลัยของรัฐแห่งอุมัวเฮีย และ มหาวิทยาลัยแห่งอิบาดาน เขาถูกคาดหวังให้มีอาชีพทางการแพทย์ ทว่าเขาได้เบนเข็มทิศทางการศึกษามาเรียนทางด้านภาษากรีกและละติน ขณะศึกษาเขาดำรงตำแหน่งเป็นบรรณาธิการบริหาร the University Weekly นิตยสารรายสัปดาห์ของมหาวิทยาลัย
 
   ตั้งแต่ปี 1956ถึง1958 เป็นเลขานุการส่วนตัวของรัฐมนตรีฝ่ายข้อมูลข่าวสารและการวิจัย แล้วไปสอนที่ฟิดิตี้ 2 ปี ต่อมาเป็นเจ้าหน้าที่หอสมุดที่มหาวิทยาลัยแห่งไนจีเรีย ขณะเดียวกันเป็นตัวแทนของสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ประจำภาคพื้นแอฟริกาตะวันตก   
 
   เมื่อสงครามกลางเมืองในไนจีเรียปะทุขึ้นในปี 1967  คนหนุ่มที่ชื่อ คริสโตเฟอร์ โอกิกโบ ตายในสมรภูมิ เขาได้ทิ้งมรดกเป็นกวีนิพนธ์เล่มเล็กจำนวน 72 หน้า พิถีพิถัน เร่าร้อนและวาจาสัตย์ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงบทจบ ด้วยลักษณะถ้อยความพยากรณ์และวิสัยทรรศน์ที่ก้าวไปไกล บทกวีของเขาจึงมีเนื้อหาเป็นความคิดต้นฉบับแรกที่ได้ยินได้ฟังกันในยุคสมัยเดียวของเขา ด้วยบุคลิกอันโดดเด่น คริสโตเฟอร์ โอกิกโบบอกแก่ทุกคนว่า อย่าได้จำกัดในการสร้างสรรค์ผลงานด้วยขอบเขตทางวัฒนธรรม การเมือง ศิลปะและขีดความสามารถของมนุษย์ ปัจจุบันแวดวงวรรณกรรมแอฟริกาต่างยอมรับว่า คริสโตเฟอร์ โอกิกโบเป็นหนึ่งในผู้วางรากฐานทางวรรณกรรมยุคใหม่ของแอฟริกา
 
   กวีนิพนธ์บทแรกของคริสโตเฟอร์ โอกิกโบตีพิมพ์ในวารสารHorn ซึ่งเป็นกระบอกเสียงวรรณกรรมของนักศึกษา ต่อมาในปี 1962บทกวีของเขาปรากฏในนิตยสาร Black Orpheus ซึ่งทำให้เขาได้รับการยอมรับเป็นครั้งแรกในฐานะกวี ในปีเดียวกันเขาตีพิมพ์เขาตีพิมพ์หนังสือกวีนิพนธ์ Heavensgate(1962) และลงบทกวียาวใน Transition ซึ่งเป็นนิตยสารของอูกันดาตีพิมพ์ที่เมืองกัมปาลา และต่อมามีผลงานรวมเล่มอีกชิ้น Limits(1964)
 
   Heavensgate ทำให้เขากลับไปสู่รากเหง้าและรู้สึกดื่มด่ำไปกับการเกิดใหม่กับองค์แม่พระ ซึ่งตาของเขาได้ถ่ายทอดความเป็นนักบวชในสายตระกูลของมารดาของเขาซึ่งบูชาเทพไอโดโท  โอกิกโบเหมือนกับ ที.เอส.อีเลียต ในทัศนวิสัยแสวงหาทางจิตวิญญาณ ซึ่งนำกวีไปสู่ตำนานปกรณัม และนำตนมุ่งเข้าสู่สถานภาพทางในจิตวิญญาณ คริสโตเฟอร์ โอกิกโบเขียนในรูปแบบท่วงทำนอง การซ้ำของถ้อยวลี  ท่วงจังหวะแบบเวทมนตร์คาถาและวจนะ ซึ่งหากได้สดับและตีความจะรู้สึกถึงความห่างไกลของเสียงนั้น ในบรรดาธาตุทั้งสี่เขาเลือกธาตุน้ำซึ่งเป็นธาตุประจำเทพเจ้าไอโดโท
 
   การค้นหาและจิตใฝ่ผจญของเขาได้นำเขาสู่โลกของธุรกิจ(ยุคที่ใชีชีวิตทำงานในบริษัทยาสูบของไนจีเรียและบริษัทสหภาพแอฟริกา) สู่การเมือง(ขณะดำรงตำแหน่งเป็นเลขานุการส่วนตัวของรัฐมนตรีฝ่ายข้อมูลข่าวสารในกรุงลากอส) และในบรรยากาศการพิมพ์(ขณะดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการของสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ประจำภาคพื้นแอฟริกาตะวันตก)  กระนั้นก็ตามการเขียนกวีนิพนธ์ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา เป็นพันธกิจที่เขาไม่เคยห่างหายมาตลอดชีวิต 
 
   "มันไม่มีเวทีหนึ่งเวทีใดเลยเมื่อผมตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่ปรารถนาจะเป็นกวี  ที่นั่นผมเคยตัดสินใจเป็นเจ้าหน้าที่เมื่อผมพบว่าผมไม่สามารถเป็นอย่างอื่นได้  และผมคิดว่าจุดเปลี่ยนที่สำคัญเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 1958 เมื่อผมรู้สึกผมไม่สามารถเป็นอะไรอื่นได้นอกจากวี มันเหมือนกับใครสักคนได้รับเสียงเพรียกหาในยามดึกเพื่อให้รับใช้พระศาสนา เป็นคำสั่งให้รับหน้าที่เป็นนักบวชในธรรมเนียมพิเศษ และผมไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นอกจากผมต้องอยู่ในโอวาทนั้น"
 
   ในทศวรรษที่ 60 โฉมหน้าการเมืองของไนจีเรียเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ซึ่งนำไปสู่การประกาศอิสรภาพจากอังกฤษในปี 1960 เจ็ดปีหลังจากนั้นมีการสังหารหมู่ชนเผ่าอิกโบนับพันทางตอนเหนือ ซึ่งขณะนั้นทางภาคตะวันออกของประเทศอยู่ในอำนาจของชนเผ่าอิกโบ ด้วยข้ออ้างว่าการปลดแอกและสร้างชาติของชนชาติเบียฟราพวกเขาจึงต้องปราบกบฏอิกโบ ใน Path of Thunder (1965-66) ดูเหมือนจะเป็นงานเขียนที่กรุ่นด้วยบรรยากาศการเมือง
 
   ในปี1966 โอกิกโบ ได้รับการประกาศให้ได้รับรางวัล Langston Hughes Award สำหรับบทกวีแอฟริกา ที่เทศกาล Black African Arts ที่เมืองดาการ์ แต่เขาปฏิเสธรางวัล  ด้วยเชื่อว่าศิลปะหาใช่เป็นภารกิจโดยคำนึงถึงเผ่าพันธุ์หรือชาติพันธุ์
 
   เมื่อสงครามกลางเมืองในไนจีเรียปะทุ คริสโตเฟอร์ โอกิกโบ ย้ายไปทางตะวันออกของประเทศพร้อมกับเพื่อนของเขา Chinua Achebe แล้วก่อตั้งสำนักพิมพ์ในชื่อ Citadel press  ด้วยความขัดแย้งทางการเมืองทำให้เขาต้องละทิ้งงานที่เขารัก เพื่อความเสถียรภาพของประชาชนเขาจึงเข้าร่วมเป็นทหารในสงครามเบียฟราน เขาปฏิเสธที่จะอยู่แนวหลังอย่างปลอดภัย เขาต่อสู้จนได้รับยศพันตรี ในเดือนตุลาคม 1967 เขาถูกฆ่าตายในสมรภูมิ
 
* ซะการีย์ยา อมตยา เรียบเรียง
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.thaiwriternetwork.com