วิวัฒนาการนานเหลือเกิน

ปราบดา ถึง วินทร์
กุมภาพันธ์ 2552
ปีนี้เป็นปีครบรอบ 150 ปีของหนังสือ The Origin of Species by Means of Natural Selection (ค.ศ. 1859) ของชาร์ลส์ ดาร์วิน หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า The Origin of Species ซึ่งถือเป็น “ไบเบิล” เล่มสำคัญของนักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะในแขนงวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ “ทฤษฎีวิวัฒนาการ” (evolution) แม้ว่าดาร์วินอาจไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์คนแรกและคนเดียวของโลกที่ครุ่นคิดเรื่องวิวัฒนาการในธรรมชาติ แต่การวิจัยและทฤษฎีของเขาดูเหมือนจะเป็นที่ยอมรับนับถือโดยนักวิทยาศาสตร์ด้วยกันมากที่สุด ที่แน่ๆคือทฤษฎีของเขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากที่สุด รวมทั้งยังสร้างความอื้อฉาวและก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างความคิดมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ดาร์วินมีชีวิตอยู่ในโลกที่ผู้คนเคร่งศาสนามากกว่าในปัจจุบันหลายเท่า ในขณะเดียวกันมันก็เป็นยุคสมัยที่ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ของชาวตะวันตกกำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้น การ “ไม่นับถือศาสนา” และการมีความคิดโต้แย้งต่อเนื้อหาในคัมภีร์ศาสนา ก็ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ค่อยมีใครกล้าทะลึ่งทำกัน นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยังนับถือศาสนาอย่างเคร่งครัด และเห็นการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของพวกตนเป็นการศึกษาผลงานของพระเจ้า เมื่อทฤษฎีของดาร์วินเสนอมุมมองว่าธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติน่าจะดำเนินไปตาม “กฎ” ของมันเอง โดยไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ใดๆบงการจากสวรรค์ แม้จะดูเป็นทฤษฎีที่สุภาพและเรียบง่าย แต่ความหมายของมันส่งผลกระทบสั่นคลอนความเชื่อหลายต่อหลายอย่างของผู้คนในยุคนั้นอย่างรุนแรง หนึ่งคือพระเจ้าอาจไม่มีจริง ซึ่งแปลว่ารายละเอียดในคัมภีร์อย่างไบเบิลล้วนเป็นเรื่องโกหก (ซึ่งถือเป็นการเย้ยหยันผู้คนที่คล้อยคำบัญญัติในคัมภีร์ว่าเป็นคนโง่เง่า) และประการที่สอง ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน คือมนุษย์เป็นเพียงผลผลิตของธรรมชาติ เช่นเดียวกับสัตว์ พืช และสิ่งอื่นๆ เราไม่ได้ถูกปั้นขึ้นมาเป็นพิเศษโดยฝีมือของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้รับการกำหนดให้มีอภิสิทธิ์เหนือสิ่งใดทั้งสิ้น และชะตากรรมของเราก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเคารพบูชาพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรนอกไปจากกฎของธรรมชาติเท่านั้น
จากวันที่ดาร์วินพิมพ์หนังสือของเขาออกมาจนถึงวันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ยังเรียกการวิจัยของเขาว่า “ทฤษฎี” ซึ่งหมายความว่าอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่นักวิทยาศาสตร์หัวกะทิหลายคนยืนยันว่ามันเป็นทฤษฎีที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง ไม่มีข้อกังขาและไม่ต้องถกเถียงกันอีกต่อไป ทว่าแม้แต่ในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ด้วยกันเองก็ยังมีผู้ศรัทธาในพระเจ้าหลงเหลืออยู่ไม่น้อย ทำให้ความคิดของดาร์วินยังคงความอื้อฉาวไว้ได้ไม่สร่างซา ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้น คือการวิจัยพบว่าคนส่วนใหญ่ (ในอเมริกา) ยังคงไม่เชื่อทฤษฎีของดาร์วิน คนส่วนใหญ่ยังคงนับถือศาสนาและเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง หรืออย่างน้อยก็เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติที่มีบทบาทต่อชีวิตมนุษย์
ผมจำได้ว่าเราเคยคุยกันเรื่องหนังสือของริชาร์ด ดอว์กินส์ ที่ชื่อ The God Delusion และเรื่องที่พรรคพวกของคุณดอว์กินส์ลุกฮือกันขึ้นเป็นกลุ่มคนไม่นับถือศาสนา (atheists) ที่พยายามก่อสงครามล้มล้างความเชื่องมงายทางศาสนาด้วยเหตุผลที่ว่าศาสนาสร้างความสูญเสียให้กับมนุษย์มานานและมากพอแล้ว คุณดอว์กินส์เป็นศิษย์เอก (ทางความคิด) ของดาร์วิน และเป็นนักประชาสัมพันธ์คนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของทฤษฎีวิวัฒนาการในปัจจุบัน เมื่อผมได้ฟังความเห็นของนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่ออกมาเฉลิมฉลอง 150 หนังสือ The Origin of Species และได้สัมผัสถึงความศรัทธาอย่างลึกซึ้งที่พวกเขามีต่อดาร์วิน ก็ทำให้ผมพอจะเข้าใจในความอึดอัดที่คุณดอว์กินส์และพรรคพวกมีต่อคนส่วนใหญ่ของโลกที่ยังคงสืบสานความเชื่อทางศาสนา สำหรับนักวิทยาศาสตร์อย่างคุณดอว์กินส์ วิวัฒนาการหรือ evolution เป็นคำตอบของทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นคำตอบที่ทำให้เขา “เข้าใจ” คำว่าชีวิต โดยไม่ต้องมีพิธีกรรมหรือบทสวดภาวนาใดๆ เมื่อมีความเข้าใจเช่นนี้แล้ว คนอย่างคุณดอว์กินส์จึงทำใจไม่ได้ว่าคนเราจึงยังเลือกที่จะเชื่อเรื่องพระเจ้า การถูกลงโทษ การตกนรก ขึ้นสวรรค์ เชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลกภายในเวลาเพียงหกวัน และที่สำคัญ เรายังเชื่อว่ามีเพียงศาสนาของเราเท่านั้นที่เป็นเรื่องจริง ทำให้เกิดสงครามระหว่างศาสนาที่เป็นปัญหาเรื้อรังอยู่ทั่วโลก
ในฐานะของคนที่สนใจทั้งวิทยาศาสตร์และศาสนา (ในแง่ปรัชญา วัฒนธรรม และศิลปะ) ผมมักจะรู้สึกเห็นใจฝ่ายวิทยาศาสตร์มากเป็นพิเศษ ที่น่าสนใจคือไม่ว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปสักเพียงไร ดูเหมือนว่า “คนส่วนใหญ่” ก็จะไม่ได้ก้าวตามการค้นพบหรือความเข้าใจใหม่ๆของนักวิทยาศาสตร์ไปด้วย เราต่างจดและจำไว้เพียงความรู้ที่เราได้รับจากโรงเรียน ซึ่งแปลว่าเป็นความรู้ที่สู้เด็กปอสี่ก็อาจไม่ได้ ความรู้จำนวนมากเราต่างลืมไปหมดแล้ว เมื่อมีการเปลี่ยนหลักสูตรการสอน มีการแก้ไขความเข้าใจต่างๆลงไปในตำราเรียน คนที่พ้นวัยเรียนมานานแล้วก็ไม่ได้รับรู้กับเขา คนส่วนใหญ่จึงมีความเชื่อและความเข้าใจผิดๆอยู่เต็มสมอง ในขณะที่ความเชื่อทางศาสนาค่อนข้างต่างออกไป เป็นความเชื่อที่สืบสานมาช้านานและเมื่อเชื่อแล้วก็ต้อง “ศรัทธา” เมื่อศรัทธาแล้วก็ต้องยอมรับทุกกระเบียดนิ้วของศาสนานั้นๆ จะโมเมรายละเอียดต่างๆขึ้นเองไม่ได้ จะสร้างกฎเกณฑ์ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของตัวเองไม่ได้ (ทว่าในความเป็นจริง ศาสนาแทบทุกศาสนามีการเปลี่ยนแปลงไปตามภูมิประเทศและวัฒนธรรมทั้งนั้น ที่เห็นได้ชัดคือศาสนาพุทธ ที่แตกออกเป็นนิกายต่างๆมากมาย) คงไม่มีใครคิดจะเปลี่ยนจำนวนวันที่พระเจ้าสร้างโลกจากหกวันเป็นสิบสี่วัน คงไม่มีใครอุตริแก้ว่าพระเยซูไม่ได้ตายบนไม้กางเขนแต่จมน้ำตาย คงไม่มีใครกล้าเพิ่มจำนวนพระสงฆ์ที่มาชุมนุมกันที่วัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมายในวันมาฆบูชาจาก 1,250 รูป เป็น 1,251 รูป
ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงไปตามการค้นพบและการทดลอง ในขณะที่ศาสนาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงที่มาได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงของศาสนาย่อมหมายความว่าความเชื่อที่สืบสานกันมาก่อนเป็นเรื่องไม่จริง
เมื่อต้นปีที่แล้ว มีปรากฏการณ์แปลกๆเกิดขึ้น สำนักวาติกันบัญญัติบาป 7 ข้อใหม่สำหรับโลกยุคโลกาภิวัฒน์ หนึ่งในบาปใหม่ก็คือการทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งเข้ากันอย่างมากกับปัญหาวิกฤติโลกร้อนที่อยู่ในกระแสพอดี สื่อบางแขนง (ที่ไม่ค่อยนับถือศาสนา) นำการบัญญัติบาปข้อใหม่ๆของสำนักวาติกันมาล้อเล่นกันสนุกปาก แต่ถ้ามองลึกๆสักหน่อย ผมรู้สึกว่ามันเป็นภาพสะท้อนเกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อของคนได้ดี ในยุคนี้หากมีใครแต่งตัวรุ่งริ่งเดินถือแผ่นหินลงมาภูเขา แล้วประกาศว่าเขามีสาสน์จากพระเจ้ามาบอกแก่ชาวโลก ตำรวจก็คงรีบรวบตัวเขาส่งโรงพยาบาลบ้าทันที แต่ถ้ามันเกิดเมื่อสองพันปีที่แล้วละก็จะมีความน่าเชื่อถือขึ้นมาทีเดียว ทว่าเมื่อเวลาผ่านมานานหลายพันปีเช่นนี้แล้ว ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดกับศาสนาได้อย่างมีความน่าเลื่อมใส โดยไม่ถูกท้าพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์หรือเหตุผล ย่อมต้องเกิดจากความคิดของคนเท่านั้น ความจริงข้อนี้อาจบ่งบอกเพียงพอแล้วหรือไม่ว่า ความเชื่อที่เกิดขึ้นในอดีตก็อาจเกิดจากคนเช่นกัน
แม้ความศรัทธาจะเบาบางไปบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าศาสนายังมีบทบาทมหาศาลต่อชีวิตคนมากมาย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น และในเมื่อมนุษย์จำนวนมากยังยืนยันที่จะไม่ฟังนักวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นดาร์วินหรือใครก็ตาม ผมคิดว่าหากคนดีๆที่เกี่ยวข้องกับศาสนาจะพยายามประยุกต์ใช้พลังของศาสนาไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ก็คงจะดีกว่าปล่อยให้ความงมงายบงการชีวิตคนไปเรื่อยๆ
จะว่าไป ผมเห็นด้วยกับสำนักวาติกันนะครับว่าการทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นบาป ปัญหาก็คือเราต่างก็รู้ว่าการบัญญัติเช่นนี้ไม่ช่วยอะไรเท่าไร ในยุคที่นอกจากมนุษย์จะยังศรัทธาความเชื่องมงายแล้ว เรายังเชื่อเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นอันดับหนึ่งอีกด้วย
ดาร์วินเขียนไว้ในตอนหนึ่งของ The Origin of Species ว่า “Our ignorance of the laws of variation is profound.” แปลคร่าวๆได้ว่า “ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎแห่งความแตกต่างและการเปลี่ยนแปลงที่เรามีนั้นน้อยนัก” หรือพูดอีกอย่างได้ว่าเรายังไม่เข้าใจกฎธรรมชาติได้ลึกซึ้งเท่าไรเลย
ผมคิดว่า บางทีความแตกต่างระหว่างความเชื่อของมนุษย์ ก็อาจเป็นหนึ่งในกฎของธรรมชาติที่เราไม่เข้าใจเช่นกัน
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
วินทร์ตอบ ปราบดา
17 กุมภาพันธ์ 2552
นานมาแล้วตอนว่างๆ ผมเคยจัดอันดับนักวิทยาศาสตร์ในดวงใจของผมเล่นๆ ได้รายชื่อเหล่านี้คือ
ชาร์ลส์ ดาร์วิน ผู้ตั้งทฤษฎีวิวัฒนาการ
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ผู้ตั้งทฤษฎีสัมพัทธภาพ
ไอแซก นิวตัน ผู้พบแรงดึงดูดของดวงดาว (ว่ากันว่าหลังจากแอปเปิลหล่นใส่กบาลของเขา)
อาร์คิมีดิส นักวิทยาศาสตร์ยุคโบราณที่คิดค้นหลายอย่าง
เกรกอร์ เมนเดล หลวงพ่อผู้ไม่ทำวัตถุมงคลขาย แต่ศึกษาทดลองเรื่องพันธุกรรม
กาลิเลโอ ผู้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ ทางดาราศาสตร์และฟิสิกส์
วิลลาร์ด ลิบบี้ ผู้คิดค้นวิธีวัดค่าแบบคาร์บอน เดทติ้ง ซึ่งสามารถวัดอายุวัตถุโบราณ
ฯลฯ
ในบรรดานักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ คนที่ผมยกให้เป็นอันดับหนึ่งคือ ชาร์ลส์ ดาร์วิน เหตุผลเพราะงานค้นพบของเขาเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก จะว่ายากก็ยากแสนยาก จะว่าง่ายก็ง่ายเหลือเกิน
ลองคิดดู ในศตวรรษที่ 19 เรายังไม่รู้เรื่องจักรวาลวิทยาดีพอ ไม่รู้อายุโลก ไม่รู้อีกหลายร้อยหลายพันเรื่อง ใครคนหนึ่งมองไปรอบตัวเห็นสัตว์โลกนานาชนิดกับซากฟอสซิลมากมายทั่วโลก เขาคนนี้คิดจาก ‘จิ๊กซอว์’เหล่านี้ออกได้อย่างไรว่าโลกเรามีสิ่งที่เรียกว่า วิวัฒนาการ? จุดนี้ที่ผมว่ายาก ยากกว่าการต่อภาพจิ๊กซอว์จำนวนล้านชิ้นเป็นภาพเดียว
ส่วนจุดที่ง่ายก็คือมันเป็นทฤษฎีที่เรียบง่ายและงดงาม ไม่ซับซ้อน เหมือนช้อนส้อมที่มาจากบรรพบุรุษเดียวกัน! ช้อนใช้สำหรับตักข้าว ส้อมมีไว้จิ้มอาหาร
ความจริงการค้นพบของไอน์สไตน์นั้นยอดเยี่ยมและเปี่ยมจินตนาการประเภท ‘คิดได้ไง’และน่าจะจัดเป็นอันดับหนึ่ง แต่เป็นการคิดที่ต่อยอดการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนหน้าเขา เทคโนโลยีของโลกยุคของเขาก็ไปไกลกว่าสมัยของดาร์วิน อีกทั้งมีความเสี่ยงต่อการถูกตีหัวน้อยกว่า ผมจึงยกให้ดาร์วินเป็นหมายเลขหนึ่ง ไอน์สไตน์เป็นหมายเลขสอง
ผมได้ยินชื่อ ชาร์ลส์ ดาร์วิน มาตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียนชั้นประถม แต่ไม่รู้สึกว่าเขายิ่งใหญ่อย่างไร ครูบอกว่ามนุษย์สืบสายมาจากลิง (ซึ่งไม่ถูกต้องนัก มนุษย์มีบรรพบุรุษร่วมกับลิงต่างหาก แต่ไม่ใช่มาจากลิง) ก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร เพราะผมก็ชอบลิงเห้งเจียในเรื่องพระถังซัมจั๋งและหนุมานในเรื่อง รามเกียรติ์ ด้วย
จะว่าไปแล้ว ผมมา ‘อิน’กับงานของดาร์วินมากก็เพราะอ่านงานของ ริชาร์ด ดอว์กินส์ นี่แหละ ความจริงดาร์วินก็น่าจะขอบคุณดอว์กินส์ที่ขยายความและอธิบายงานของดาร์วินให้เข้าใจง่ายขึ้นด้วยตัวอย่างใหม่ๆ
แม้ว่างานของดาร์วินจะยอดเยี่ยม แต่คนที่เราควรยกย่องก็คือคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่กล้าเปิดใจยอมรับความคิดพิสดารที่เป็นเรื่องชวนถูกตีหัวในสมัยนั้น และกล้าตีพิมพ์งานของเขา
ตอนที่ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ทำงานเรื่อง Natural Selection เพื่อนถามเขาว่าจะรวมเรื่องกำเนิดของมนุษย์เข้าไปด้วยไหม ดาร์วินลังเล
เขาก็น่าจะลังเลอยู่หรอก สมัยนั้นแม้ว่าจะมาไกลหลายร้อยปีจากสมัยของ จิออร์ดาโน บรูโน ผู้ถูกคริสตจักรสั่งเผาตายทั้งเป็นเพราะเขียนหนังสือว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล และกาลิเลโอที่ถูกกักตัวในบ้านเหมือนอองซานซูจีด้วยข้อหาเดียวกัน แต่ก็ไม่มีใครอยากเปลี่ยนความเชื่อของสังคมที่ฝังรากลึกมาร่วมสองพันปี
ตลอดอารยธรรมของมนุษย์ คนจำนวนมากโดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ ได้รับผลกระทบเพราะสิ่งที่คิดค้นค้านกับความเชื่อทางศาสนาเสมอ
แม้ว่าพ่อกับปู่ของดาร์วินเป็นนักคิดอิสระ (free thinker) แต่เขาก็ไม่เคยคิดต่อต้านศาสนา ตรงกันข้าม ดาร์วินเชื่อในสิ่งที่จารึกในคัมภีร์ไบเบิลทุกประการ ตอนที่นั่งเรือบีเกิลท่องทะเลศึกษาธรรมชาตินั้น เขายังมองสิ่งมีชีวิตในโลกด้วยสายตาของผู้เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงเสกสร้างสรรพสิ่ง
ทว่าเมื่อจบการเดินทางท่องโลกนานห้าปีนั้น เขาก็เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับไบเบิล เขามองไม่เห็น ‘มือวิเศษ’ที่เสกสร้างสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เขาไม่ได้เข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์อีกต่อไป บ่อยครั้งใช้เวลาที่ครอบครัวเข้าโบสถ์เดินครุ่นคิด
นี่เป็นเรื่องน่าสนใจ นี่คือการเดินทางของคนที่ได้รับการหล่อหลอมในสังคมที่มีความเชื่ออย่างหนึ่ง แล้วเปลี่ยนความเชื่อนั้นไปด้วยความรู้ที่มาจากการค้นพบด้วยตัวเอง
ผมเชื่อว่าดาร์วินคงสับสนพอสมควรที่พบว่า หลังจากการศึกษา เขาพบความจริงที่ชี้ว่าสิ่งที่เขาเคยเชื่อไม่น่าจะจริง ประมาณว่า ลูค สกายวอล์คเกอร์ พบว่า ดาร์ธ เวเดอร์ ศัตรูที่เขารบรามาสองภาค ที่แท้ก็คือพ่อของเขาเอง!
นานปีหลังจากดาร์วินจากโลกไป เราเพิ่งมีเทคนิคการอ่านค่าอายุของโลก พบว่าโลกของเรามีอายุ 4,600 ล้านปี ทำให้ทฤษฎีของดาร์วินหนักแน่นขึ้น และข้อความในไบเบิลไม่น่าจะใช้การตีความตรงคำได้ เพราะหากคำนวณระยะเวลาสร้างโลกของคริสต์ศาสนา พบว่ากินเวลาเพียงหกพันกว่าปีเท่านั้น
แต่กระนั้นหลายโรงเรียนในตะวันตกยังไม่ยอมรับข้อมูลชิ้นนี้ คนไม่น้อยไม่ยอมรับแม้แต่ว่า ข้อเขียนในพระคัมภีร์อาจเป็นเพียงอุปมาอุปไมย หรือเรื่องแต่งเสริมทำนองเดียวกับนิทานชาดกของพุทธ
นี่คือการพบกันของกระแสน้ำสองสาย ความเชื่อกับความจริง
ปฏิกิริยาจากวงการศาสนาต่องานของดาร์วินมีสองทางคือ หนึ่งคือปฏิเสธสิ้นเชิง อีกหนึ่งคือการมองใหม่ว่าวิวัฒนาการเป็นผลงานของพระเจ้า
ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินเป็นเสมือนหินก้อนใหญ่ที่ทุ่มลงบ่อน้ำ ส่งแรงกระเพื่อมไปกว้างไกลทั้งสังคมและปัจเจก
ในปี ค.ศ. 1926 มีคดีประวัติศาสตร์คดีหนึ่งที่เรียกว่า คดีลิง (The Monkey Trial หรือ The Scopes Trial) จอห์น สโคปส์ วัยยี่สิบสี่ปี ครูโรงเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งในรัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา ถูกรัฐฟ้องต่อศาลในข้อหาสอนทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่ว่ามนุษย์มีบรรพบุรุษร่วมกับลิง
การพิจารณาคดีนี้กินเวลานานแปดวัน และท้ายที่สุด จอห์น สโคปส์ ก็ถูกตัดสินว่ามีความผิด เสียค่าปรับหนึ่งร้อยดอลลาร์ โชคดีที่เขาไม่ถูกเผาทั้งเป็นอย่างบรูโน!
จอห์น สโคปส์ กล่าวกับศาลว่า การตัดสินไม่เป็นธรรม เพราะมันขัดกับอิสรภาพในการสอนวิชาการตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เขาเชื่อว่าการสอนวิชาการที่ถูกก็คือการสอนความจริง
ผลจากคดีลิงกระทบกว้างขวาง ผู้ที่เชื่อในไบเบิลตรงตามคำทั่วอเมริกาพยายามใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการต่อต้านทฤษฎีวิวัฒนาการ
ไม่น่าเชื่อนะครับว่านี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสามร้อยกว่าปีหลังจาก จิออร์ดาโน บรูโน ตายเพราะพูดในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากฟัง!
จนถึงวันนี้ คนจำนวนมากในโลกยังถือว่าสิ่งที่จารึกบนพระคัมภีร์ (ไม่เฉพาะแต่ไบเบิล) เป็นเรื่องที่แตะต้องไม่ได้
เชื่อว่าคงเป็นอย่างนี้ไปอีกนาน รวมทั้งในสังคมสองมาตรฐานของบ้านเรา ตราบใดที่เราใจไม่กว้างพอเปิดรับความคิดใหม่ๆ ที่สวนทางกับความเชื่อเดิม
หลายคนอาจมองว่า ศาสนากับวิทยาศาสตร์เป็นขั้วแม่เหล็กคนละขั้ว หรือเป็นศัตรูกัน แต่จริงหรือ?
คาร์ล ซาแกน เคยเขียนว่า “ศาสนาที่มีฉนวนหุ้มห่อจากการล้มล้าง ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์”
และบางทีฉนวนที่ดีที่สุดก็คือการสอนความจริง!
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าเปลือกของความเชื่อจะแข็งแกร่งเพียงไร ก็ไม่อาจปกปิดความจริงไว้ตลอดกาล
เรื่องราวดีๆจากหนังสือ : ความน่าจะเป็นบนเส้นขนาน