Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

วิลเลียม ซาโรยัน สุดยอดนักเขียนเรื่องสั้นอีกคนของแผ่นดินอเมริกา

ในกระบวนนักเขียนเรื่องสั้นของอเมริกา วิลเลียม ซาโรยัน นับเป็นนามที่นักอ่านรู้จักแพร่หลายที่สุดคนหนึ่ง เขาเกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ.2451 มีเชื้อชาติเป็นชาวอาร์มีเนีย แต่ถือสัญชาติอเมริกา
 
เรื่องสั้นและบทละครของซาโรยันเป็นผลงานอันโดดเด่นนั้น มีอยู่หลายเรื่องด้วยกัน แต่ที่ทำชื่อเสียงให้เขามากที่สุด ก็เห็นจะเป็นบทละครเรื่อง The Time of Your Life ซึ่งนำรางวัลพูลิทเซอร์มาให้เขาในปี พ.ศ.2483
         
เมื่อ วิลเลียน ซาโรยัน ได้ไปเยือนสหภาพโซเวียต ได้มีนักข่าวแห่งนิตยสารฉบับหนึ่งสัมภาษณ์เขา และนำเสนอไว้หลายหน้าล้วนมีสาระที่น่าสนใจ ขอตัดตอนมาเล่าสู่กันฟังเป็นบางส่วนเท่าที่เห็นสมควร
 
ถาม : ครั้งแรกที่คุณมาเยี่ยมสหภาพโซเวียต คือเมื่อ ค.ศ.1935 ต่อมาอีก 25 ปี คุณได้กลับมาเป็นครั้งที่สอง และคราวนี้เป็นครั้งหลังสุด การมาของคุณแต่ละครั้งทิ้งช่วงห่างกันมาก จึงอยากจะถามว่า คุณได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างใดบ้างหรือใด
 
ตอบ : แรกทีเดียวผมอยากจะกล่าวว่า ผมได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในตัวผมเองด้วยเหมือนกัน ก็คิดดูเถอะคุณ ผมมาอาร์มีเนียครั้งแรกอายุ 27 มาอีกทีอายุ 52 มาคราวนี้ปาเข้าไปตั้งเกือบ 70 แก่เฒ่าเต็มที ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปทั้งนั้นแหละ แต่ทว่าในทั้งสามช่วงอายุนี้ มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย คือความรู้สึกปลาบปลื้มยินดีของผม คราเมื่อเหยียบย่างลงบนผืนแผ่นดินอาร์มีเนีย ในส่วนอื่นๆ นั้นก็มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่นในด้านวรรณกรรมก็ปรากฎว่ามีนักเขียนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาแทนที่รุ่นเก่าและรับช่วงสืบต่อกันไป ซึ่งก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี…
 
ถาม : ที่คุณถูกกล่าวหาว่า เป็นโรคชอบเอาชีวประวัติของตัวมาเขียนหากินเสียเรื่อยนั้น คุณว่ามันยุติธรรมไหม?
 
ตอบ : ที่พวกนักวิจารณ์เขากล่าวหาผมอย่างนี้น่ะ เขาหารู้ไม่หรอกว่า นั่นแหละคือคำอธิบายอย่างถูกต้องเทียวละว่าผมเป็นนักเขียนเต็มตัว! เพราะถ้าจะสรุปกันจริงๆแล้ว นวนิยายก็คือ ผู้แต่งนวนิยายเรื่องนั้น นักเขียนจะมีแต่สไตล์การเขียนเท่านั้นไม่พอ ยังต้องมีความลุ่มลึกแห่งความรู้สึกเป็นส่วนตัวอีกด้วย นักเขียนจะถ่ายทอดความรู้สึกซึ้งรุนแรงออกมาได้อย่างไรกัน ถ้าหากมัวนั่งจมอยู่กับโต๊ะทำงานและนึกๆเอาเท่านั้น นักเขียนต้องเขียนถึงสิ่งที่ตัวได้ประสบพบเห็น และผ่านมาด้วยตัวเอง ก็ดูอย่างเฮมมิงเวย์ซิคุณ นวนิยายของเขาก็เต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งชีวิตส่วนตัวทั้งนั้น โทมัส วูลฟ ก็เช่นกัน และวูลฟเองก็โดนกล่าวหาแบบผมนี่แหละ
 
ถาม : คุณมีทรรศนะต่อการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรบ้าง?
 
ตอบ : โดยส่วนตัวแล้ว ผมอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยการวิพากษ์วิจารณ์เลย ผมคิดว่าวรรณกรรณก็เช่นเดียวกัน วรรณกรรมอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งการวิจารณ์ แต่การวิจารณ์นั้นจะอยู่ไม่ได้เลยหากไม่มีวรรณกรรม สำหรับผมเอง ผมยอมรับว่า ผมชอบเมื่อได้รับคำชม แต่ผมไม่เดือดร้อนเกินไปเมื่อโดนโจมตี ผมเห็นด้วยกับหลักเกณฑ์ของ เซคอฟ ที่ว่า นักเขียนไม่ควรต้องตอบสนองต่อการวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่ใช่ทุกคนไปหรอกนะที่จะมีความเข้มแข็งพอที่จะไม่เกิดปฏิกิริยาต่อคำวิจารณ์ นักวิจารณ์น่ะ ถ้าไม่ผิดก็ถูก ถ้าเขาถูกแล้วเราจะไปโต้ตอบทำไมให้โง่ และถ้าเขาผิดด้วยแล้วละก็ ขืนไปโต้ตอบด้วยเราก็ยิ่งโง่ไปใหญ่เพราะในกรณีนี้ มันเห็นชัดอยู่แล้วว่าเขาเองโง่เขลาเบาปัญญา หรือไม่ก็ขาดความสุจริตใจ
 
ถาม : คุณจะมีคำแนะนำอะไรบ้างถ้าหากมีใครมาถามถึงวิธีการเขียนหนังสือของคุณ?
 
ตอบ : ไม่รู้ซิ เราจะไปถามคนทำขนมปังได้รึว่า เขามีวิธีทำขนมปังอย่างไร? ถึงหากจะถามเขาอธิบายให้ฟังก็คงจะยากเย็นอยู่เหมือนกันละ ผมตอบไม่ถูกหรอกว่า ผมเขียนหนังสืออย่างไร บอกได้อย่างเดียวว่า ผมเขียนหนังสือทุกวัน ผมไม่เคยละทิ้งเครื่องพิมพ์ดีดของผมเลย การเขียนหนังสือทุกๆวันเป็นสิ่งสำคัญมาก ยังไงๆก็ขอให้ให้เขียนไว้ทุกวันเถอะ เพราะว่าลงได้เขียนอย่างนั้นแล้ว ทำอย่างไรเสียก็ต้องได้ปล่อย “คำคม” ที่มีคุณค่าออกมาไว้บนหน้ากระดาษ อย่างน้อยที่สุดก็ปีละครั้งจนได้น่ะแหละ…
 
ดูผลงานของ วิลเลียม ซาโรยัน ใน Toulo.com