Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

วาณิช จรุงกิจอนันต์: มิตรภาพ ความหลัง ชะตากรรม และผองเพื่อน

 

6 กันยายน 2548, ประมวล รุจนเสรี แก้วสรร อติโพธิ และ สนธิ ลิ้มทองกุล ขึ้นเวทีร่วมกันที่ธรรมศาสตร์ เปิดฉากอภิปรายเรื่องพระราชอำนาจ พุ่งเป้าโจมตีไปที่ตัวนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร โดยใช้สถาบันเป็นประเด็นหลัก

9 กันยายน 2548, สนธิ ลิ้มทองกุล จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งสุดท้าย ย้ำประเด็นเดิม ก่อนรายการจะถูกสั่งปิดในเวลาต่อมา หลังจดหมายลูกแกะหลงทางถูกอ่าน และการท้าทายอย่างซึ่งๆ หน้าได้เกิดขึ้นผ่านสื่อโทรทัศน์ของรัฐ

12 กันยายน 2548, ข่าวแกรมมี่รุกซื้อมติชนและบางกอกโพสต์เริ่มเป็นที่ร่ำลือ ค่ำวันเดียวกัน ผู้บริหารมติชน นำโดย ขรรค์ชัย บุนปาน พร้อมคณะอันประกอบด้วย ฐากูร บุนปาน, ปิยะชาติ มงคลไชยสิทธิ์ และ สมหมาย ปาริจฉัตต์ นัดพบกับผู้บริหารแกรมมี่ นำทีมโดย ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม, อรุณ วัชระสวัสดิ์ และ วาณิช จรุงกิจอนันต์

13 กันยายน 2548, ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม แถลงข่าวที่ตึกแกรมมี่ โดยปราศจากเงาร่างของขรรค์ชัย ท่ามกลางนักข่าวนับร้อยและคำถามร้อนแรงถึงการเข้าซื้อกิจการอย่างไม่เป็น มิตร จนไพบูลย์ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นคนอารมณ์ดีออกอาการหงุดหงิด

14 กันยายน 2548, ข่าวการซื้อหนังสือพิมพ์สองฉบับของแกรมมี่ถูกนำไปเชื่อมโยงกับประเด็น การเมืองและการแทรกแซงสื่อ ทำให้เกิดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงไปทั่วทุกวงการ นับตั้งแต่ในกองบรรณาธิการเครือมติชน ไปจนถึงหนังสือพิมพ์ฉบับอื่น และเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ค่ายใหญ่อย่างมติชน เนชั่น และผู้จัดการ ซึ่งเคยห้ำหั่นในสนามธุรกิจ หันมาจับมือเป็นมิตรในยามยาก

20 กันยายน 2548, พิเชียร คุระทอง เขียนคอลัมน์ “ทวนน้ำ ขวางโลก” ในหน้า 2 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน เรื่อง “มิตรแท้-มิตรเทียม” ถึง วาณิช จรุงกิจอนันต์ ความโดยสรุปว่า วาณิชหาได้เป็นมิตรแท้ในนิยามของพุทธศาสนา หากว่าเป็นมิตรเทียม กินบนเรือน ขี้บนหลังคา และเป็นไส้สึก-หนอนบ่อนไส้ ท่ามกลางบรรยากาศการต่อต้านแกรมมี่ที่รุนแรงยิ่งขึ้น

19 ธันวาคม 2548, วาณิช จรุงกิจอนันต์ มอบหมายให้ทนายฟ้องอาญาสินไหมฐานหมิ่นประมาทต่อนายพิเชียร คุระทอง บรรณาธิการอำนวยการหนังสือพิมพ์มติชน เป็นจำเลยที่ 1, นายสุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน เป็นจำเลยที่ 2, และ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) เป็นจำเลยที่ 3 หลังจากทอรุ้ง จรุงกิจอนันต์ ภรรยาของวาณิช ได้มีจดหมายไปยังมติชนเพื่อให้ขอโทษและมิได้รับการตอบกลับ โดยเรียกค่าเสียหาย 30 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันฟ้อง

23 ธันวาคม 2548, มติชนสุดสัปดาห์ ขึ้นปกรูป วาณิช จรุงกิจอนันต์ เต็มหน้า พร้อมพาดหัวรอง “อดีตคอลัมนิสต์มติชนฟ้องมติชน”

25 เมษายน 2549, ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง โดยให้เหตุผลประกอบว่า แม้ว่าบทสรุปในบทความจะใช้คำว่า “กินบนเรือนขี้บนหลังคา” และ “เป็นไส้ศึกหนอนบ่อนไส้” ที่มีความหมายถึงการเนรคุณไม่สำนึกบุญคุณ แต่คำนั้นเป็นข้อความที่เลื่อนลอย ไม่ยืนยันข้อเท็จจริงให้เห็นว่าโจทก์เป็นเพื่อนที่คบหาไม่ได้อย่างใด อีกทั้งข้อความดังกล่าวไม่รุนแรงถึงขนาดทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าโจทก์เป็นคน เนรคุณหรือขาดความน่าเชื่อถือ ดังนั้นบทความดังกล่าวจึงไม่ใช่การหมิ่นประมาท คำฟ้องโจทก์ไม่มีมูล ศาลจึงมีคำสั่งไม่รับฟ้อง ส่วนที่โจทก์ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจำเลยทั้งสามด้วยนั้น เมื่อคดีโจทก์ไม่มีมูลแล้ว จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้กับโจทก์ตามฟ้องอีก

27 เมษายน 2549, GM นัด พบ วาณิช จรุงกิจอนันต์ ที่บ้านย่านรามคำแหง เพื่อเปิดใจเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมรสุมครั้งใหญ่ในชีวิต โดยเป็นการถามทุกประเด็น เพื่อให้ตอบทุกข้อสงสัย แบบตรงไปตรงมา เพื่อให้ผู้อ่านเป็นคนตัดสิน ว่าทั้งหมดนี้เป็นการเนรคุณหรือเป็นชะตากรรม ที่ชายคนหนึ่งต้องพบเผชิญเมื่ออยู่ในจุดกึ่งกลางระหว่างเพื่อนกับพี่ หรือว่านี่เป็นเพียงแค่เรื่องธุรกิจที่มิตรอาจแปรเปลี่ยนเป็นศัตรู เมื่อเข้าออกบ้านเพื่อนโดยไม่ได้เคาะประตูบอกกล่าว

…………………………

หลังจากรู้แล้วว่าศาลยกฟ้อง รู้สึกอย่างไรบ้าง จะทำอย่างไรต่อ

ก็แปลกใจ ส่วนทำอะไรนั้นคงไม่ต้องทำ ทนายเขาทำ ก็อุทธรณ์ฎีกาว่ากันไป เกมมันบังคับ

ตอนที่อ่านข้อเขียนชิ้นนั้นรู้สึกอย่างไร

ไม่รู้ สึกอะไรเลยในตอนแรก เพียงแต่งง งงมาก ว่าเอ๊ะ ไอ้เชียร (พิเชียร คุระทอง) มึงเขียนด่ากูทำไม คือตอนนั้นเรื่องมันจบแล้ว มีการขายหุ้นคืนกันแล้ว ไอ้โต้ง (ฐากูร บุนปาน) ไอ้ถั่ว (สุเมธ ดำรงชัยธรรม) แถลงข่าวร่วมกันแล้ว มีบันทึกช่วยจำร่วมกันไปแล้ว มติชนทั้งเครือก็พิพากษาตัดสินประหารชีวิตผมไปแล้ว แล้วมึงเขียนทำไม จะแสดงอภินิหารอะไรของมึง ตั้งใจเขียนเชียวนะ ตั้งใจจะด่าผมให้เจ็บให้แรง

เลยต้องฟ้อง

มัน มีความเสียหายเกิดขึ้น และไม่ใช่แต่ผมที่เสียหาย ทั้งครอบครัวลูกเมียญาติพี่น้อง คำว่า ‘เนรคุณคน’ มันด่ากันไม่ได้ พวกไหนไม่ถือก็เรื่องของพวกนั้น พวกสุพรรณฯเขาถือ เราถูกบอกย้ำพร่ำสอนมาให้เป็นคนกตัญญูรู้คุณคน ข้าวหนึ่งคำน้ำหนึ่งขัน ลืมไม่ได้ นิสัยนักเลงเขาไม่ลืมกัน เรื่องฟ้องนี่คนที่เดือดร้อนมากคือเมียผม เขาบอกว่าเขาเป็นคนมีชาติมีตระกูล มาด่าผัวเขาอย่างนี้ได้ยังไง แล้วลูกล่ะ ลูกชายคนเล็กก็เรียนนิเทศฯ จุฬาฯ ต่อไปก็คงจะเป็นนักเขียนนักหนังสือพิมพ์ แล้ววันหนึ่งมีใครสักคนมาบอกเขาว่า อ้อ พ่อมึงเป็นอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องใช่ไหม ลูกชายผมไม่ขึ้นโรงพักก็คงขึ้นศาล ขึ้นแม่งตอนนี้เลยดีกว่า

หนังสือพิมพ์ตอนนี้ไม่ได้ไปเป็นกระดาษเช็ดตูดในวันรุ่งขึ้นนี่ กดปุ่มจึ๊กๆ ก็เรียกกลับมาได้หมด

เกิดอะไรขึ้นก่อนที่เหตุการณ์จะลากยาวมาถึงปัจจุบัน

ผม เป็นกรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบของบริษัทมหาชน จีเอ็มเอ็ม มีเดีย ก็มีการเรียกประชุมบอร์ด มีเรื่องอื่นๆ แต่เรื่องสำคัญคือเรื่องการซื้อหุ้นลงทุนในมติชนกับบางกอกโพสต์ ตรงนี้ที่ผมไม่รู้ ไม่รู้ว่าพอประชุมบอร์ดเสร็จ การซื้อหุ้นที่ว่ามีผลทางกฎหมายหรือกฎอะไรของตลาดหลักทรัพย์

แล้วยกมือว่าอย่างไร

ไม่ได้ยกมือ เป็นการประชุมทั่วไป ไม่ได้มีการโหวตโดยการยกมือ ไม่เคยมี

เป็นการประชุมเนื่องในวาระอะไร

ไม่รู้ เหมือนกัน จำไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพื่อแจ้งให้ทราบหรือขอความคิดเห็น แต่ปกติเวลาประชุมบอร์ดผมไม่ได้พูดอะไรอยู่แล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ เรื่องธุรกิจการเงิน เรื่องการค้า ซึ่งผมไม่รู้เรื่องพวกนี้ ปิดประชุมผมก็ออกมายืนคุยกับไพบูลย์ (ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม) ผมรู้ตรงนั้นว่าการซื้อลุล่วงแล้ว ไพบูลย์โทรศัพท์ถึงพี่ช้าง (ขรรค์ชัย บุนปาน) ก็นัดพบกันที่ห้องอาหารจีน โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ

นี่คือก่อนแถลงข่าว

ใช่ เอาเป็นว่าประชุมบอร์ดจีเอ็มเอ็ม มีเดีย เสร็จบ่ายสาม ไพบูลย์ก็โทรหาพี่ช้าง นัดกันสองทุ่ม พี่ช้างบอกไพบูลย์ว่าจะเอาไอ้โต้งไปด้วยนะ ไพบูลย์บอกว่าได้ครับ เดี๋ยวผมเอาไอ้วาณิชกับไอ้อรุณ (อรุณ วัชระสวัสดิ์) ไปด้วย

ฝั่งแกรมมี่ที่ไปมีใครบ้าง

ก็มีผม ไพบูลย์ อรุณ

แล้วทางมติชนมีใครบ้าง

มีพี่ช้าง โต้ง เป๋า (ปิยะชาติ มงคลไชยสิทธิ์) แล้วก็หมาย (สมหมาย ปาริจฉัตต์)

เหตุการณ์คืนนั้นเป็นอย่างไร คุยอะไรกันบ้าง หลักใหญ่ใจความที่คุยกันคืออะไร

หลัก ใหญ่ใจความก็คือไพบูลย์บอกว่าจะไม่เข้าไปบริหารหรือเปลี่ยนแปลงการบริหาร พวกแกรมมี่ทำหนังสือพิมพ์ไม่เป็น มีเขาคนเดียวที่พอจะเป็น ที่ชอบ ใจจริงคืออยากจะเข้าไปช่วยต่อยอดขยับขยายทางธุรกิจ ผมจำคำอธิบายไม่ได้ทั้งหมด ไม่ได้สนใจจะจำรายละเอียด ไม่ได้พูดอะไรเลย นั่งกินอาหาร กินไวน์ ก็จบที่จะมีการนัดแถลงข่าวร่วมกันที่ชั้น 9 อาคารมติชน

คืนวันนั้นพี่ช้างตอบคุณไพบูลย์ว่าอย่างไร

พี่ช้างไม่ได้ตอบอะไร เพราะไพบูลย์ไม่ได้ถามอะไร แต่มีพูดเรื่องจะซื้อหุ้นคืน พูดผ่านๆ ไม่ได้จริงจัง

แสดงว่าพี่ช้างมีการเอ่ยปากว่าจะขอซื้อหุ้นคืน

มี ในบางส่วนของระหว่างที่คุยกัน

แล้วคุณไพบูลย์ตอบว่าอย่างไร

ไม่ได้ตอบ

ถ้าอย่างนั้นการเจรจาเดินต่อได้อย่างไร เมื่อฝ่ายหนึ่งอยากจะซื้อหุ้นคืน แต่อีกฝ่ายไม่ได้คิดจะขาย

พี่ช้างไม่ได้ยื้อ พูดผ่านๆ ไพบูลย์ไม่ตอบก็จบ ไม่ได้เจรจาต่อรองอะไรกัน

แต่ในเชิงนักเลงถือว่าขอกันไหม คุณอยู่ตรงนั้นบรรยากาศเป็นอย่างไร

ใน ความรู้สึกผม ผมไม่ได้คิดว่าพี่ช้างขอแบบจริงจัง ไม่ได้เน้น ไม่ได้ขอในภาษานักเลง ไม่ได้จ้องหน้ากัน ไม่มีบรรยากาศแบบนั้น ส่วนหนึ่งเหมือนพี่ช้างก็ยอมรับความเป็นจริงว่าเป็นอย่างนี้แล้ว เหตุการณ์จึงมาสรุปที่การนัดแถลงข่าวร่วมกัน

ในเมื่อฝ่ายหนึ่งขอ ฝ่ายหนึ่งไม่ตอบ มันมาสู่ข้อสรุปว่าจะแถลงข่าวร่วมกันได้อย่างไร

เหมือน เหตุการณ์มันสรุปได้แล้ว ในโมเมนต์นั้นเหมือนตกลงกันได้แล้ว เข้าใจกันแล้ว เป็นที่ยอมรับว่าไพบูลย์เป็นหุ้นใหญ่ แต่จะไม่เข้าไปก้าวก่ายการบริหาร ไพบูลย์บอกว่าไม่ชอบเข้าไปแล้วเกะกะ ถ้ามีอะไรจะช่วยได้ก็บอกมา จะเข้าไปช่วย ก่อนจะเลิกวงก็นัดแถลงข่าวร่วมกันที่มติชน พี่ช้างก็หันมาสั่งผมว่า “เฮ้ยวาณิช มารับไพบูลย์ด้วยนะ เขาไม่คุ้นที่คุ้นทาง” ผมก็ตอบว่า “ครับ” คืนนั้นผมพูดคำว่าครับคำเดียวนี้เอง รุ่งขึ้นตื่นมา นัดกัน 11 โมง อรุณเอารถมารับผมที่บ้าน ไปที่มติชน แต่ที่มติชนเงียบ ไม่มีอะไรเลย

ถ้า ให้อรุณเล่า เขาจะบอกว่าเป็นความโชคดีของเราสองคนที่เป็นคนสูบบุหรี่ ก่อนจะเข้าตึกก็เลยยืนสูบบุหรี่กันอยู่ข้างนอก ทะเล่อทะล่าเดินเข้าตึกขึ้นไปชั้น 9 เลยคงจะถูกจ้องแย่ ดีไม่ดีจะมีคนเดินมาจ้องหน้าเอาด้วยซ้ำ และเราก็จะไม่เข้าใจว่าเขามาจ้องหน้าเราทำไม พอเห็นว่ามันเงียบๆ ผิดปรกติที่จะมีการแถลงข่าว อรุณก็เลยโทรศัพท์ไปหาไพบูลย์ บอกว่า “เฮ้ย นัดแถลงข่าวไม่เห็นมีใครมาเลย” ไพบูลย์ก็บอกว่า “เปลี่ยนแผน มาแถลงที่แกรมมี่แทน พี่ช้างไม่สบาย”

จริงๆ แล้วผมไม่ได้คิดจะไปหรืออยากจะไปงานแถลงข่าวที่แกรมมี่ เพราะไพบูลย์ก็ไม่ได้บอกหรือสั่งให้ผมไป แต่อรุณบอกว่า “ไปเถอะ ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วนี่หว่า ไปฟังดูว่าเป็นยังไงบ้าง” พอไปถึงแกรมมี่ก็ตกใจ ผู้สื่อข่าวรออยู่สัก 200 กว่าคน แน่นห้องเอี้ยดไปหมด ฝ่ายประชาสัมพันธ์พยายามจะให้ผมไปยืนข้างหลังไพบูลย์ แต่ผมไม่ได้เข้าไป ยืนอยู่กับอรุณที่มุมหนึ่ง

ทั้งผมและอรุณไม่รู้ มาก่อนเลยว่าเราเป็นตัวละครสำคัญของเหตุการณ์ ผมเริ่มผิดสังเกตตอนที่ผู้สื่อข่าวถ่ายรูปผมกับอรุณอย่างเอาจริงเอาจัง กล้องทีวีก็จับ เพื่อนคนหนึ่งเป็นเพื่อนผมกับอรุณ เห็นผมสองคนจากทีวี บอกเพื่อนอีกคนว่าไอ้เฒ่าสองตัวมันไปยืนทำไมอยู่ตรงนั้น

วันนั้นคุณไพบูลย์โดนถล่มเสียน่วมเลย

คง มีคนคิดว่าอย่างนั้น แต่ไพบูลย์ไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก ไพบูลย์เป็นคนเก่งในเรื่องการคุยการเจรจา การตอบคำถามคน มีไหวพริบปฏิภาณ เขาก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ แต่เขามาบอกผมทีหลังว่า “ถ้ากูรู้มันยังไม่สรุป กูไม่แถลงข่าว”

คุณจะอธิบายเหตุการณ์วันนั้นอย่างไร เพราะเมื่อคืนเพิ่งคุยกัน มาวันนี้กลับกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ผม ไม่รู้จะอธิบายอะไร ไม่รู้จะอธิบายยังไง ผมเป็นแค่น็อตตัวเล็กๆ ตัวเดียวอยู่ท่ามกลางเครื่องจักรใหญ่ นี่เป็นเรื่องของธุรกิจ เป็นเรื่องของการลงทุนทำมาค้าขาย มันเกินภาวะการรับรู้ของเรา ผมจะไปมีบทบาทอะไร ไม่มีหรอก จะให้ผมไปบอกไพบูลย์ว่า “เฮ้ย บูลย์มึงอย่าซื้อ” ไพบูลย์จะฟังผมเชื่อผมหรือ ที่จริงผมกับไพบูลย์ไม่ได้คุยอะไรกันจริงจังในเรื่องนี้ เป็นเหมือนการกินเหล้าคุยกันผ่านๆ ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย นี่คือนิสัยคือสันดาน ผมเป็นคนไม่นินทาคนก็เพราะนิสัยสันดานนี้ ไม่อยากรู้ อยู่วงการบันเทิงเขามีเรื่องซุบซิบนินทากัน ผมก็ไม่เคยไปซักไซ้อยากรู้

ซึ่งนี่ทำให้มติชนน้อยใจคุณหรือเปล่า ว่ารู้เรื่องนี้แล้ว ไม่เห็นบอกกันบ้าง

คง ไม่ใช่เรื่องน้อยใจ คงจะเป็นเรื่องโกรธ แต่จนเดี๋ยวนี้ผมก็ยังไม่รู้ไม่แน่ใจว่าโกรธผมเรื่องอะไร โกรธว่ารู้แล้วทำไมไม่บอก? โกรธที่ทำไมไปอยู่ตรงนั้นในคืนนั้น? โกรธว่าผมเป็นเพื่อนไพบูลย์? ไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ

คุณรู้จริงๆ เมื่อไหร่ว่าแกรมมี่จะซื้อหุ้นมติชน

รู้ล่วงหน้านาน แต่ไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริงจัง

รู้ก่อนการประชุมบอร์ดวันนั้น

โถ หนังสือพิมพ์มายาแชนแนลลงพาดหัวหน้าหนึ่งมานานแล้ว มติชนก็รู้ ใครๆ ก็รู้ แต่ไม่คิดว่าจะจริง ผมก็ยังคิดว่าจริงก็ดี ผมสนิทกับทั้งสองฝ่าย มาเจอกันร่วมงานกันก็ดี

ฉะนั้นก็เลยคิดว่าไม่ต้องบอกอะไร เพราะรู้กันอยู่แล้ว

ที่ ไม่ได้บอกเพราะจริงๆ แล้วมันบอกไม่ได้ ไอ้รู้ก็รู้กันอยู่แล้ว แต่จะให้ผมไปบอกพี่ช้างหรือว่า “พี่ ไอ้บูลย์มันจะซื้อหุ้นพี่นะ เป็นหุ้นใหญ่เลย” มันพูดไม่ได้ คนสุพรรณเขาไม่ทำกัน ถ้าพูดแล้วผมจะเป็นเพื่อนแบบไหนของไพบูลย์ล่ะ แล้วมันก็ผิดกฎของบริษัทด้วย

ความลำบากใจเป็นอย่างไรในสถานการณ์ที่ด้านหนึ่งก็พี่ ด้านหนึ่งก็เพื่อน

ไม่ ลำบากใจอะไรเลยในเบื้องต้น รู้สึกว่าทั้งฝ่ายก็รู้จักกันดีและนึกว่าเป็นเรื่องปกติ ประเด็นสำคัญคงเป็นเรื่อง Hostile Takeover มากกว่า เมืองนอกเขาทำกันเป็นเรื่องปกติ แต่มันค้านกับวัฒนธรรมไทย เฮ้ย อย่างนี้ต้องบอก อย่างนี้ต้องคุยกันก่อน ผมเองก็เพิ่งรู้จักคำว่า Hostile Takeover เอาคราวนี้

แต่คุณก็ไทยแท้ ก็นักเลง ฉะนั้นน่าจะเข้าใจวัฒนธรรมไทยว่าทำแบบนี้โดนถล่มแน่

ผม ไม่ได้คิดในเรื่องนักเลงหรือประเด็นเรื่องวัฒนธรรมไทย ผมคิดว่าเป็นเรื่องธุรกิจ และเมื่อมันเป็นเรื่องธุรกิจ มันไปอีกขั้นหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่ง ผมไม่รู้เรื่องด้วยแล้ว

ก่อนที่จะไปต่อ อยากทราบความสัมพันธ์ของคุณกับทั้งสองฝ่าย กับพี่ช้างเริ่มต้นมาอย่างไร

นม นานกาเล ผมเห็นพี่ช้างครั้งแรกเมื่อปี 2508 เรียนอยู่ช่างศิลป์ฯ ปี 1 อาจารย์ไขศรี ศรีอรุณ เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ วันหนึ่งพี่ช้างไปหาอาจารย์ไขศรี เพื่อนผมคนหนึ่ง บ้านมันอยู่ในเขตคณะโบราณคดี ชี้ให้ผมดูว่าคนนี้คือขรรค์ชัย บุนปาน เป็นน้องอาจารย์ไขศรี เป็นนักเขียน มาเจอกันจริงจังตอนที่ผมเข้าไปเรียนปี 1 คณะจิตรกรรมฯ ศิลปากร พี่ช้างกับพี่จิตต์ (สุจิตต์ วงษ์เทศ) เรียนอยู่คณะโบราณคดีปี 3 มีชื่อเสียงใหญ่โต สองคนเป็นนักเขียนนักกลอนมีชื่อ ผมเกรียนด้วยกันทั้งคู่ ตอนนั้นผมเขียนโคลงลงหนังสือรับน้องใหม่ พี่ช้างอ่านแล้วยังบอกเพื่อนผมที่คณะโบราณฯว่าไอ้นี่มีอนาคต อยู่ศิลปากรผมเป็นนักกลอน พี่ช้างพี่จิตต์ก็เขียนกลอน ก็รู้จักคุ้นเคยกันมาตั้งแต่สมัยนั้น

แล้วผูกพันกันต่อมาอย่างไร

ผม เรียนอยู่ปี 5 พี่ช้างกับพี่จิตต์คิดจะทำหนังสือพิมพ์รายวัน ก็ไปซื้อหัวหนังสือพิมพ์ไทยเสรี ของคุณสถิต ปรีชาศิลป์ ซึ่งผมรู้จัก เรียกแกว่าเฮียเอี๋ยว เป็นคนบ้านเดียวกัน หัวหนังสือสมัยนั้นรัฐบาลไม่ให้จดใหม่เปิดใหม่ มีแต่หัวหนังสือที่มีอยู่แล้ว ราคาเลยแพง เฮียเอี๋ยวเรียกมาล้านหรือล้านห้าก็ไม่รู้ เกินงบ ซื้อไม่ไหว เลยมาทำโรงพิมพ์พิฆเณศ อรุณคุ้นเคยรู้จักพี่จิตต์ เพราะพี่จิตต์ชวนไปเขียนการ์ตูนชุดม้าหินจอมปลวกที่สยามรัฐรายวัน ตอนพี่จิตต์ พี่ช้าง พี่เถียร (เสถียร จันทิมาธร) ถูกออกจากสยามรัฐ อรุณก็ถูกยกเลิกการ์ตูนที่เขียนอยู่ด้วย อรุณไปเป็นฝ่ายศิลป์อยู่วิทยาสารพักหนึ่ง พี่เถียร พี่ชูเกียรติ อุทกะพันธ์ ดาราวรรณ เกษทอง อยู่ตรงนั้น ผมแวะไปหาอรุณบ่อยๆ รู้จักคุ้นเคยกับคนพวกนี้ พอพี่จิตต์ พี่ช้าง เริ่มทำโรงพิมพ์พิฆเณศ อรุณก็มาเป็นฝ่ายศิลป์

ทีนี้ผมกับอรุณนั้นกินนอนอยู่ด้วยกันที่คณะ ผมก็เลยไปสิงสู่อยู่แถวพิฆเณศ ช่วงนี้ที่ใกล้ๆ เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ผมไปกินเหล้ากินข้าวที่วงพี่จิตต์ที่ร้านนามชัย อยู่ตรงข้ามประตูแพร่งสรรพศาสตร์ ตอนนั้นพี่ช้างไปทำงานที่ไทยรัฐ แต่ก็แวะมาเสมอ ต่อมาพี่จิตต์ พี่ช้าง พี่ป๋อง (พงษ์ศักดิ์ พยัคฆวิเชียร) เฮียหยุ่น (สุทธิชัย หยุ่น) เขาร่วมกันทำหนังสือพิมพ์รายวัน ประชาชาติรายวัน ผมทำงานแบงก์แล้ว แต่ก็แวะไปตลอด อรุณไปเขียนการ์ตูนที่นั่น พี่จิตต์แกชอบเพลงลูกทุ่ง ก็เขียนคอลัมน์เรื่องเพลงลูกทุ่ง แต่คุยกับผมในวงเหล้าเรื่องเพลงลูกทุ่งไม่กี่ครั้ง แกก็บอก “มึงรู้เรื่องเพลงลูกทุ่งดีนี่หว่า งั้นมึงเขียนแทนกู” ผมก็เขียน เขียนไปได้สักพักก็ไปเมืองนอก ไปอยู่เกือบๆ 4 ปี ช่วงนั้นเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 พี่จิตต์กับพี่ช้างทะเลาะกัน น้ำแยกสายไผ่แยกกอ วุ่นวายไปหมด อรุณเขียนจดหมายไปเล่าให้ผมอ่านอยู่เรื่อยๆ

พอกลับจากเมืองนอกผมก็ มาเป็นนักเขียน เขียนคอลัมน์ที่โน่นที่นี่ พี่จิตต์ทำหนังสืออะไรหรือไปช่วยใครเขาทำหนังสืออะไร ก็จะมาเรียกให้ไปเขียน เรื่องการเขียนคอลัมน์นี่ต้องบอกว่าพี่จิตต์เป็นคนแรกที่เห็นแววผม ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีแวว

แล้วเรื่องพี่ช้าง

พี่ ช้างเป็นคนอ่านหนังสือเยอะ เพราะฉะนั้นผมเขียนอะไรแกก็จะได้อ่าน ทั้งในสตรีสาร ลลนา ตอนที่เล่านี้พี่ช้างเริ่มทำมติชนแล้ว ได้เจอกันบ่อยเพราะตอนนั้นออฟฟิศลลนาอยู่ที่โรงพิมพ์กรุงสยาม แถวถนนราชบพิธ ออฟฟิศมติชนอยู่ใกล้กัน พี่ช้างจะแวะมาหาสุวรรณี สุคนธา บ่อยๆ เจอกันตลอด ไปนั่งที่ร้านมิ่งหลีพี่ช้างก็แวะไป ไปจ่ายค่าอาหาร บริการรินเหล้ารินเบียร์ให้ใครต่อใคร วันหนึ่งที่ร้านมิ่งหลีพี่ช้างก็บอกผมว่า “เฮ้ย มึงไปเขียนที่มติชน” ผมก็ไป เขียนสัพเพเหระ กลอนมั่ง อะไรมั่ง

เขียนไปพักหนึ่ง วันหนึ่งพี่ช้างก็เรียกเข้าไปพบ ห้องทำงานพี่ช้างกับพี่ป๋องเป็นห้องเดียวกัน มีม่านแบ่งครึ่ง พี่ช้างก็บอกให้ผมนั่งแล้วก็รูดม่านปิด ก่อนม่านจะปิดพี่ช้างถามพี่ป๋องว่า “ตกลง เอามันนะ” พี่ป๋องก็บอก “เอา เอา” พี่ช้างก็บอกผมว่า “เอ็งมาเป็นที่ปรึกษา จะได้มีเงินเดือน ส่วนที่เขียนเรื่องก็ได้ค่าเรื่องต่างหาก” ผมก็ถามว่าแล้วผมจะต้องทำอะไรบ้าง พี่ช้างก็บอก “วันศุกร์เย็นๆ ก็แวะมาฟังผู้ใหญ่เขาคุยกัน”

ผู้ใหญ่คือใคร

ก็ พวกที่ปรึกษา มีพี่เส (เสนีย์ เสาวพงศ์) พี่เสริม (เสริมศรี เอกชัย) พี่วีป (ทวีป วรดิลก) ลุงอุดม (อุดม ศรีสุวรรณ) แล้วก็อามหามานิต (มานิต สังวาลย์เพชร) ผมเป็นคนที่ 6 เบบี๋ที่สุดในนั้น

พวกที่ปรึกษาเขาคุยอะไรกัน

สัพเพเหระ เป็นบรรยากาศที่ดีที่ผมมีความสุขและภูมิใจมากที่ได้อยู่ตรงนั้น การคุยกันวันศุกร์นี้ต่อเนื่องมาหลายปี

เป็นที่ปรึกษามติชนปีอะไร

ราวๆ ต้นปี 2527 ก่อนได้รางวัลซีไรต์

สมัยก่อนที่ปรึกษาเขาจ่ายเงินเดือนเท่าไหร่

ของผมเริ่มที่ 5,000 บาท

ก่อนที่จะเกิดเรื่องต้องออกมา ได้เงินเดือนเท่าไหร่

ผม ไม่รู้ว่าได้เงินเดือนเท่าไหร่ เพราะมันส่งเข้าบัญชี ค่าเรื่องได้เท่าไหร่ยังไม่รู้เลย ไม่ได้สนใจ มารู้ตอนที่ทนายซักค้านในศาล ถามผมว่ามีเงินเดือนเท่าไหร่ ผมบอกว่าไม่รู้ ทนายเขาเลยบอกว่าผมมีเงินเดือน 38,000 จากการเป็นที่ปรึกษา ที่ข่าวสดเหมาจ่ายเดือนละ 5,000 มติชนสุดสัปดาห์ให้ชิ้นละ 3,000 จำได้ว่า 2,000 อยู่นาน มาขึ้นตอนไหนผมไม่รู้ ที่มติชนรายวันเข้าใจว่าจะให้ชิ้นละ 2,000

ตัดกลับไปฟากคุณไพบูลย์บ้าง รู้จักคุณไพบูลย์ได้อย่างไร ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันหรือเปล่า

จริงๆ ก็ควรจะไล่เลี่ยกัน ตอนผมไปติดวงเหล้าวงข้าวพี่จิตต์ที่ร้านนามชัย ไพบูลย์ก็แวะไปหาพี่จิตต์ที่ร้านนามชัยเหมือนกัน ก็อาจจะเจอกันแต่ไม่รู้จักกัน ผมกลับจากอเมริกาปี 2521 พี่จิตต์ทำหนังสืออยู่กับไพบูลย์ ตอนนั้นไพบูลย์ออกจากสหพัฒน์ฯ มาทำพรีเมียร์มาร์เก็ตติ้งกับคุณสุวิทย์ โอสถานุเคราะห์ พี่จิตต์ดูแลในส่วนที่ทำหนังสือ มีหนังสือชื่อยาวๆ ชื่อเศรษฐกิจการเมืองและศิลปวัฒนธรรม และหนังสืออื่นๆ อีก อรุณทำอยู่ด้วย ผมแวะไปหาอรุณ พี่จิตต์ก็เลยบอก มึงมาทำงานที่นี่แล้วกัน ทำไปแล้วรู้สึกเงินเดือนมันน้อย พอดีสมภพ โรจนพันธ์ มาชวนไปทำหนังสือบ้านของการเคหะแห่งชาติ พี่ชูเกียรติ อุทกะพันธ์ เคยทำอยู่แล้วแกออกไปทำหนังสือบ้านและสวนของตัวเอง ทำไปพักหนึ่งก็เบื่อ ไม่ชอบรับผิดชอบหน้าที่บรรณาธิการ อาจารย์นิลวรรณ (คุณนิลวรรณ ปิ่นทอง) ชวนให้มาช่วยงานที่สตรีสาร ผมก็มา ตอนนั้นมีคอลัมน์ประจำที่ลลนาด้วย

ช่วง นี้ผมก็เจอไพบูลย์อยู่บ่อยๆ กินข้าวกินเหล้าด้วยกัน ต่อมาไพบูลย์ไปเปิดแกรมมี่ ด้วยเหตุการณ์อะไรจำไม่ได้ โทรศัพท์คุยกัน เขาบอกว่า “เฮ้ย สรวง สันติ ตายแล้ว มึงมาแต่งเพลงดีกว่า” ผมก็ไป แกรมมี่ยังเช่าตึกวานิชอยู่ ไปเป็นนักแต่งเพลงมีเงินเดือนประจำ

ตอนนั้นแกรมมี่ให้เงินเดือนเท่าไหร่

ได้เงินเดือน 10,000 บาท ถ้าเพลงได้ทำเทปก็ได้ค่าแต่งเพลงต่างหาก น่าจะเป็นปลายๆ ปี 2527 ผมได้รางวัลซีไรต์แล้ว

ทำงานที่แกรมมี่จากจุดนั้นยาวมาจนถึงปัจจุบัน

ใช่ แต่ทำได้ไม่นานผมก็ไปเมืองนอกอีก รับทุนฟุลไบรต์ไปสอนภาษาไทยที่อเมริกา ไปอยู่หลายเดือน กลับมาก็มาทำงานที่แกรมมี่เหมือนเดิม ขอไพบูลย์ขึ้นเงินเดือนเป็น 15,000 เขาก็ให้ ตอนนั้นนึกว่าสบายแล้ว มีเงินเดือนที่มติชนด้วย เริ่มเขียนคอลัมน์ประจำในมติชนสุดสัปดาห์ มีคอลัมน์ประจำที่โน่นที่นี่ แต่การรับเงินที่แกรมมี่นั้นมันตะขิดตะขวงใจ เพราะผมรู้แล้วว่าผมแต่งเพลงไม่เป็น เขียนกลอนเก่ง แต่แต่งเพลงนี่สากกะเบือมาก ผมเลยบอกไพบูลย์ว่า “กูไม่เอา กูไม่อยู่แล้ว เกรงใจมึง” ไพบูลย์บอก “ทหารเวลาไม่มีสงครามก็ไม่ได้ทำอะไร แต่ไม่มีไว้ก็ไม่ได้ มึงก็เหมือนทหาร เวลากูบอกให้รบมึงรบก็แล้วกัน” ก็อยู่ต่อ แต่ไม่ค่อยได้ทำอะไร กินข้าวกินเหล้ากันมากกว่า

หน้าที่คือกินข้าวเป็นเพื่อนคุณไพบูลย์

ใช่ หน้าที่หลักเลย เลิก