Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

‘วัชระ สัจจะสารสิน’ เทียนเล่มน้อยเพื่อสังคม

 

 
๐ “เราหลงลืมอะไรบางอย่าง” ความสำเร็จที่มาจากแรงบันดาลใจ
       
๐ รางวัลซีไรต์ให้อะไรกับผู้ชายชื่อ‘วัชระ สัจจะสารสิน’ และแวดวงวรรณกรรม
       
๐ มุมมองและเส้นทางนักเขียนที่ไม่ได้ยึดงานเขียนเป็นอาชีพ
       
๐ ชักชวนสร้างสรรค์งานเขียนดีๆ เพื่อสังคมและชีวิตที่มีคุณค่า
       
       “วัชระ สัจจะสารสิน” เจ้าของรางวัลซีไรต์ ปี 2551 จากหนังสื่อรวมเรื่องสั้นเรื่อง “เราหลงลืมอะไรบางอย่าง” เขียนไว้ที่หน้าแรกของหนังสือว่า “แด่….. กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ นักเขียนผู้เป็นแรงบันดาลใจไม่รู้จบ” ทำให้เห็นได้ว่า คนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีแรงผลักดันจากบุคคลอันเป็นที่ชื่นชมและสร้างแรงศรัทธาให้มุ่งมั่นไปในทางนั้นได้อย่างไม่ลดละ สำหรับชายหนุ่มคนนี้ก็เช่นกัน กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ เบื้องหลังคือการมีบุคคลที่เป็นเหมือนต้นแบบให้เดินตาม ควบคู่ไปกับการมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ปรารถนา
       
       ๐ เริ่มด้วยแรงบันดาลใจ
       
       “การเขียนของผมเริ่มมาจากการอ่าน ซึ่งสะสมมาตั้งแต่ตอนเด็ก ตอนประถม เพราะปกติเป็นคนเก็บตัวอยู่กับห้องสมุดที่โรงเรียนที่สงขลาถึงจะมีหนังสือน้อยมาก แต่รู้สึกสนุกและมีความสุขกับโลกของการอ่าน ไม่ค่อยไปวิ่งเล่น หนังสือที่ชอบอ่านคือนิทานเยาวชนตามประสาเด็ก หนังสืออ่านเล่นทำให้เราเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่ง”
       
       “แต่เมื่อขึ้นชั้นมัธยมไปเรียนโรงเรียนประจำจังหวัด ห้องสมุดมีหนังสือเยอะมาก ทำให้เริ่มอ่านนิยายแปล นิยายเยาวชน นิยายโรแมนติกรักๆ ใคร่ๆ และเริ่มอ่านงานหนักๆ ตามวัย อย่างงานที่ได้รางวัลซีไรต์เรื่องคำพิพากษา เมื่ออ่านแนวที่ต่างไปจากเดิม ทำให้รู้ว่างานบางแนว ถึงจะไม่สนุกแต่ให้แง่คิดและปรัชญา ทำให้ได้ครุ่นคิดกับเรื่องของมนุษย์แบบรอบด้าน” วัชระ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของเขาตั้งแต่วัยเด็ก
       
       จากนั้น เมื่อได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่นี่เปิดโลกทัศน์ให้เขามาก เพราะมีห้องสมุดที่มีหนังสือและมีกิจกรรมเยอะมาก ได้เปิดกว้างทางความคิด ทำให้อยากเป็นนักเขียนมากขึ้น และรู้ช่องทางว่าจะไปอย่างไร โดยพื้นฐานเป็นคนชอบอ่านและอ่านทุกแนว แต่แนวสังคม-การเมือง เป็นแนวที่ชอบเป็นพิเศษ ยิ่งที่ธรรมศาสตร์มีประวัติศาสตร์ทางการเมือง บรรยากาศช่วยได้มาก
       
       แต่อารมณ์อยากจะเขียนนั้น เริ่มมาจากไปเจอหนังสือ “ถนนหนังสือ” กับ “writer magazine” ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับแวดวงวรรณกรรมและนักเขียน ทำให้รู้ว่าจะเริ่มเขียนและรู้ว่านักเขียนเป็นกันอย่างไร จนกระทั่ง มาเจอเรื่องสั้น “สะพานขาด”ของกนกพงศ์ สงสมพันธ์ ซึ่งเป็นเรื่องสั้นที่เขาชอบมาก และถือเป็นแรงบันดาลใจให้เขียนหนังสืออย่างจริงจัง
       
       “ตอนนั้นคุณกนกพงศ์อยู่พัทลุงใกล้กับบ้านเกิดคือสงขลา การเขียนเรื่องสะท้อนปัญหาสังคของปักษ์ใต้ทำให้เห็นได้ว่ามันเป็นเรา และเราเคยเห็นบรรยากาศตัวละครในเรื่อง ซึ่งคุณกนกพงศ์ดึงมาเขียนได้และเขียนอย่างมีพลัง ทำให้เราชัดเจนว่าอยากทำอย่างนี้ ตอนนั้น crazy เขามาก เหมือนเขาเป็น idol ก็เลยเดินทางไปหาที่หุบเขาฝนโปรยภัย ที่นครศรีธรรมราช และขลุกอยู่ที่นั่นประมาณเกือบ 1 อาทิตย์ ไปแอบมองเขาทำงาน ไปฟังเสียง ดูวิถีชีวิต ดูต้นฉบับ ชั้นวางหนังสือ ไปนั่งจิบกาแฟด้วย ขอแค่นั้น แต่ก็ได้รับคำแนะนำหนังสือดีๆ ให้อ่าน ตอนนั้นเรียนรัฐศาสตร์อยู่ปี 2 ยังเขียนอะไรไม่ได้เลย ไม่เคยเขียนเรื่องลงที่ไหนเลย เพียงแต่มีแรงบันดาลใจอย่างมาก”
       
       ๐ สำเร็จได้ด้วยประสบการณ์
       
       ในที่สุดเมื่อเริ่มเขียนอย่างจริงจัง งานเขียนของเขาก็ได้ลงตีพิมพ์เรื่องแรกที่สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์เรื่องภาพฝัน ถ่ายทอดความรู้สึกถึงความไม่แน่นอนของการเป็นนักเขียน แต่ไม่ได้ตรงกับเรื่องที่ตั้งใจจะเขียนคือแนวสะท้อนสังคม เพราะยังเด็กและไม่มีข้อมูลมากพอที่จะทำ ซึ่งการเขียนในสมัยนั้นไม่มีครูสอนทำให้ต้องเรียนเอง และต้องใช้พิมพ์ดีดทำให้เหนื่อยเวลาต้องแก้ต้องพิมพ์ใหม่ แต่การได้ลงพิมพ์แปลว่าการใช้ภาษาเริ่มจะดีขึ้น เพราะเขียนมาปีกว่าไม่เคยได้ลง แม้ว่าจะส่งหว่านไปตามนิตยสารต่างๆ
       
       จากนั้น เรื่องราวสะท้อนสังคมก็มีโอกาสได้ลงตีพิมพ์ในนิตยสารการเมืองต่างๆ แต่ที่ใฝ่ฝันและภูมิใจคือ “ช่อการะเกด” และเพราะเป็นพื้นที่ที่สำคัญของคนในแวดวงวรรณกรรมทุกแนวไม่ใช่แค่แนวสะท้อนสังคม ซึ่งคนดังๆ ผ่านกันมาหมด และมีคนจับตามองมากกว่านิตยสารอื่น โดยเฉพาะ “คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี” บรรณาธิการที่เป็นเหมือนหลักไมล์ของนักเขียนซึ่งทุกคนอยากจะผ่านให้ได้ เหมือนการผ่านการพิสูจน์บางอย่าง
       
       “ได้ลงครั้งหนึ่ง แต่ถึงจะไม่ผ่านก็สนุกเพราะอย่างน้อยคุณสุชาติ ได้อ่าน และเมื่ออ่านจะแบ่งงานเป็น 3 กลุ่มคือ 1.ผ่านเกิด แปลว่าได้ลง 2.ผ่านรอ แปลว่าเรื่องดี แต่ยังไม่ได้ลง และ3.ผ่านหาย แปลว่ายังไม่ได้คุณภาพ ติดต่อผู้เขียน สำหรับเรา ขอแค่ผ่านรอ ซึ่งจะได้รับการติดต่อ เพราะตอนนั้นช่อการะเกดเป็นเหมือนบันไดของการก้าวไปสู่การเป็นนักเขียน”
       
       ขณะที่เรื่องรายได้จากงานเขียน ไม่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของชายหนุ่มที่รักจะทำในสิ่งที่รัก เพราะไม่คิดจะเลี้ยงชีพด้วยงานเขียน และรู้ว่าโดยบุคลิกของตัวเองไม่เหมาะ เพราะถ้าไม่อยากเขียนจะไม่เขียน ทำให้การจะทำเป็นอาชีพเป็นเรื่องยาก และต้องแบกรับความคาดหวังของครอบครัวทำให้ยึดอาชีพรับราชการ เป็นพนักงานคดีปกครอง อยู่ที่ศาลปกครอง กระทรวงยุติธรรม
       
       “ในบทบาทพนักงานศาลปกครองเป็นเรื่องการหารายได้เลี้ยงชีวิต เพราะชีวิตมีเงื่อนไขและองค์ประกอบ เรามีครอบครัวที่เรารัก เพราะฉะนั้น เราต้องเลือกอย่างนี้”
       
       แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับมุมมองต่อการได้รางวัลซีไรต์ มาถึงวันนี้ ยังมองว่าเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการเขียน เป็นการพิสูจน์ตัวองระดับหนึ่ง และทำให้ภูมิใจในตัวเองว่าเรื่องที่เขียนมีคนอ่าน เสริมความมั่นใจจากที่เคยสงสัยว่าภาษาที่เขียนดีพอหรือยัง และที่สำคัญคือคำวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งจะทำให้รู้จุดอ่อนจุดบอดเพื่อนำไปสู่การพัฒนา
       
       “การมาถึงตรงนี้อีกมุมหนึ่งเป็นการจุดประกายให้ต้องจริงจังขึ้น แต่เพราะสมัยนี้นักเขียนเป็นแค่คนๆ หนึ่งที่เดินไปมาบนถนน ใครๆ ก็เป็นได้ง่ายๆ ในแง่ตัวเราเองเมื่อคิดแบบนี้เป็นการลดความกดดันลงไปได้ ต่างจากสมัยก่อนการเป็นนักเขียนรวมไปถึงการเป็นนักคิด คนที่ชี้นำสังคม ยิ่งในยุโรป ซึ่งเป็นไปตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป”
       
       เนื่องจากการเป็นนักเขียนในปัจจุบันใครๆ ก็เข้ามาได้ง่ายๆ เพราะมีสื่อเยอะมาก เช่น การเขียนลงในอินเทอร์เน็ต รวมถึง วิธีการและเทคโนโลยีในสมัยนี้เอื้อให้เขียนได้ง่ายกว่าเดิมมาก จึงอยากให้คนที่ทำงานประจำที่ชอบเขียน ทำงานเขียนไปด้วย แต่การจะเขียนให้ดีจำเป็นต้องมีจุดยึดเกาะคือความจริงจัง
       
       ในขณะที่ วรรณกรรมสร้างสรรค์ของไทยไม่ค่อยได้รับคุณค่าเหมือนวัฒนธรรมตะวันตกที่มีการหยั่งรากการอ่านวรรณกรรมแนวนี้อย่างจริงจัง เพราะวัฒนธรรมการอ่านหนังสือแนวนี้ของคนไทยไม่ค่อยมีพื้นที่ให้ จากคนอ่านที่น้อย คนเขียนก็น้อยลงตามไปด้วย ไม่เช่นนั้นนักเขียนจะสามารถต่อรองได้มากกว่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกันไปหมด
       
       “การเขียนคือชีวิต เพราะเรามีความสุขเวลาที่เราอยู่ด้วยกว่าการทำกิจกรรมใดๆ และมันทำให้เรามีพลังในการใช้ชีวิต นี่คืออุดมคติทางด้านงานเขียน ซึ่งยกย่องความดีความงาม และนี่คืออำนาจของงานเขียน ที่ทำให้เรามีพลัง มีคุณค่าในการใช้ชีวิตด้วยการรู้ว่าชอบอะไร แล้วอยู่กับมันโดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน” วัชระ สรุปถึงมุมมองที่มีต่อการเขียน
       
       *******
       
       ประวัตย่อและผลงาน
       
       ชื่อจริง วัชระ เพชรพรหมศร
       
       เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2518
       
       เป็นชาวอำเภอควนเนียง จังหวัดสงขลา
       
       เรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านควนเนียง
       
       มัธยมศึกษาที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา
       
       ปริญญาตรี/โท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       
       ปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
       
       อาชีพการงาน เป็นพนักงานคดีปกครอง สังกัดสำนักงานศาลปกครอง
       
       เรื่องสั้นเรื่องแรก “ภาพฝัน” ตีพิมพ์ในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ เมื่อปี พ.ศ.2538
       
       เรื่องสั้น “ทราย” ได้รับรางวัลสุภาว์ เทวกุล ประจำปี พ.ศ.2540
       
       เรื่องสั้น “วาวแสงแห่งศรัทธา” ได้รับรางวัลชนะเลิศรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี พ.ศ.2548
       
       เรื่องสั้น “เรื่องเล่าจากหนองคาย”เข้ารอบสุดท้ายรางวัลนายอินทร์อะวอร์ด ประจำปี พ.ศ.2549
       
       เรื่องสั้น “แก้วสองใบ” เข้ารอบสุดท้ายรางวัลนายอินทร์อะวอร์ด
       ประจำปี พ.ศ.2550
       
       เรื่องสั้น “ในวันที่วัวชนยังชนอยู่” ได้รับรางวัลชมเชยรางวัลกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ประจำปี พ.ศ.2551
       
       รวมเรื่องสั้น “เราหลงลืมอะไรบางอย่าง” ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี พ.ศ.2551
 
 
โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์ 30 มีนาคม 2552 16:53 น