Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ล้วงลึกความคิด ชีวิตนักเขียนการ์ตูน ตั้ม – วิสุทธิ์ พรนิมิตร ( เขาคือมือกลองแห่ง “เพนกวิ้น วิลล่า ” อีกด้วย)

 

         
             เมื่อเกือบสิบปีก่อนจำได้ว่ามีนิตยสารอยู่เล่มหนึ่งที่ซื้ออ่านและติดตามมาตลอด เล่มแรกที่ซื้อจำได้ว่าเป็นหน้าปกของหนุ่มหล่อ พีท-ทองเจือ ครั้งแรกที่หยิบดูเพราะแปลกใจกับหน้าปกที่สะดุดตา เป็นภาพของหนุ่มพีทที่มีร่องรอยฟกช้ำดำเขียวเหมือนคนโดนต่อย และแปลกตากับเนื้อหาที่ดิ้นไม่หลุดเมื่อหยิบขึ้นมาอ่านได้สักพัก ยืนอ่านอยู่นาน เลยตัดสินใจซื้อและนั่นถือเป็นการเลือกที่จะเสพสารเสพติดชนิดหนึ่งที่ต้องเสพทุกเดือน หากเดือนไหนไม่ได้เสพ หรือได้เสพช้าจะมีอาการคล้ายลงแดงเล็กน้อย จากช่วงเวลานั้นจนถึงช่วงเวลานี้ผ่านมาราว ๆ เกือบ 10 ปี อาการติดสารเสพติดก็ค่อย ๆ เพลาลง และเริ่มซึมซับเข้าสู่ร่างกายจนทำให้เราเป็นเราจนถึงทุกวันนี้ 
 
           a day คือหนังสือที่เรากำลังพูดถึง และ Scoop ฉบับนี้จะนำเรื่องราวของคนที่เป็นสีสันในหน้ากลางมาพูดคุยกันเพื่อล้วงลึกเรื่องราวของความคิดและที่มาที่ไปของสีจัดจ้านในหน้าขาวดำนั้น ที่ทำให้หลายต่อหลายคนหลงรักกับความดิบและยุ่งเหยิงที่ซ่อนเร้นไปด้วยอะไรต่อมิอะไรมากมายนัก ทั้งความลึกซึ้งในเรื่องของเนื้อหา และความดิบที่ไร้ซึ่งระเบียบของตัวการ์ตูน เรายอมรับว่าครั้งแรกที่อ่านเป็นเพราะไม่มีอะไรจะอ่านเลยย้อนกลับมาอ่านในหน้าที่ยังไม่เคยอ่าน รวมถึงหน้ากลางที่เป็นการ์ตูนลายเส้นยุ่ง ๆ นี้ และแล้วก็ได้รู้ว่าความยุ่งที่เราต้องทนอ่านมันมีความลึกซึ้งแฝงอยู่ด้วยความดิบและสดที่นุ่มลึกไปด้วยความอร่อยที่ซ่อนอยู่ภายในนี้มีชื่อว่า hesheit คอลัมน์การ์ตูนภาพสีขาวดำที่อยู่ในหน้ากลางของนิตยสาร a day โดยเจ้าของคอลัมน์มีชื่อว่า วิศุทธิ์ พรนิมิตร หรือ ตั้ม นั่นเอง 
 
           ปัจจุบันตั้มยึดอาชีพนักเขียนการ์ตูนเป็นอาชีพหลักและเป็นอาชีพเดียว รายได้ส่วนใหญ่ของเขามาจากการเขียนการ์ตูนให้ประเทศญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นภาพปก ภาพประกอบ หรือการจัดนิทรรศการ ซึ่งจะแวะเวียนให้เขาได้เข้านอกออกในประเทศญี่ปุ่นเป็นว่าเล่น
 
           "เมื่อ 3 ปีก่อนเราไปลุยที่ประเทศญี่ปุ่นมา ตอนนั้นเราเริ่มจากศูนย์เลยนะ ไปจัดนิทรรศการ แล้วเราก็พิมพ์หนังสือการ์ตูนของเราไปแจกบ้าง ขายบ้าง คนญี่ปุ่นก็เริ่มที่จะรู้จักตัวการ์ตูนของเราไปเรื่อย ๆ ซึ่งตอนนี้รายได้หลักของเราก็จะมาจากประเทศญี่ปุ่น เราเขียนลงหนังสือรายวัน รายเดือน ราย 4 เดือน เขียนปก เขียนภาพประกอบ จัดนิทรรศการ เล่นเปียโนโชว์แอนิเมชั่น การ์ตูนที่เขียนแทบจะไม่ได้ปรับอะไรให้เข้ากับประเทศญี่ปุ่นเลย เพราะประเทศเขากว้างกว่าเราเยอะ มีทุกแบบ เราเลยแทบจะไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปจากตัวการ์ตูนเดิม ๆ ที่เราวาดอยู่ อาจจะมีเพิ่มบ้างเล็กน้อย และที่ไม่เคยทำก็ลองทำดู อย่างนิทรรศการเราอยู่เมืองไทยเราไม่เคยทำเราก็ได้ไปทำที่โน่น ส่วนงานที่เมืองไทยตอนนี้แทบจะไม่มีเลย"
 
           หัวใจหลักของการวาดการ์ตูน ตั้มบอกกับเราว่า สิ่งแรกคือเราต้องบอก Message ให้ได้ การ์ตูนคือการทำเรื่องยากให้ง่าย วาดให้มันเหลือเส้นเดียว สมมติวาดหน้าคนก็วาดไม่กี่เส้น ให้เป็นหน้าคนนี้ได้ สมมติเรื่องราวก็ต้องเอาเรื่องราวในโลกนี้ให้มันเหลือนิดเดียว แล้วต้องให้เข้าใจเหมือนกัน ตัดทอนให้หมด
 
           "การ์ตูนมันจะไม่เหมือนจริง ด้วยความที่มันไม่เหมือนจริง มันจะทำให้เรามองได้หลายแบบ เช่น เห็นการ์ตูนหน้าผู้หญิง คนที่อ่านก็จะแปลงค่ามันเป็นผู้หญิงได้หลายคน หน้าเหมือนแฟนตัวเอง เหมือนเพื่อนตัวเอง คือเรามองได้หลายมุมกว่าภาพยนตร์ หรือว่าวาดภาพทิวทัศน์ซึ่งเป็นขาวดำ คนก็ทำให้มันมีสีได้ตามใจตัวเอง การ์ตูนมันไกลกว่าชีวิตจริงนิดนึงอะ เหมือนเราได้เข้าไปอีกโลกนึง มันก็เลยดีต่อชีวิต เหมือนกับเราได้พักผ่อน ได้อ่านการ์ตูน มันไม่มีเสียง มันก็เงียบดี ไม่ต้องดูหนัง แต่เห็นรูปไม่มีเสียง ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า 
 
           การหาคาแร็คเตอร์ในการวาดการ์ตูนของเรานั้น "เราหาโดยไม่ต้องหา" คือเขียนไปเรื่อย ๆ คาแร็คเตอร์มันจะอยู่ในตัว ถ้าไปหามันจะไม่เจอ เมื่อเราวาดทุก ๆ วันมันก็จะเป็นของมันเอง ก่อนหน้านี้เราเคยมีไอดอลนะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว เคยมีตอนที่เรายังไม่ได้เป็นนักเขียนการ์ตูนจริงจัง แต่พอได้เป็นแล้วเลยเข้าใจว่าไม่ควรมีไอดอล เพราะว่าเขาคงไม่อยากให้ใครมาเลียนแบบเขานักหรอก มีเขาสองคนทำไม เราคิดว่าเราควรจะเป็นแบบเรา ไม่ควรจะมีไอดอลแล้วก็ไปเหมือนเขา อุปกรณ์ในการวาดการ์ตูน ถ้าเป็น hesheit ก็จะเป็นปากกากับกระดาษ ตอนแรกที่วาด hesheit เราวาดด้วยความไม่สนใจใคร ไม่ได้อยากให้ใครดู แล้วก็อยากวาดให้เสร็จเร็ว ๆ เพื่อจะได้อ่าน อ่านเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องลบให้สวยก็ได้ รู้เรื่องอยู่แล้ว นั่นคือความคิดครั้งแรกตอนวาด พอวาดไปเรื่อย ๆ ถึงมีคนมาจ้างให้เราเขียน เราก็อยากจะเก็บอันนี้เอาไว้ ถึงจะมีคนอ่านกี่คนเราก็จะเก็บอันนี้ไว้ อยากอ่านหรือไม่อยากอ่านก็ไม่สนใจ เราวาดด้วยใจที่อยากวาดขึ้นมาจริง ๆ ก็เลยพยายามเก็บไว้ อุปกรณ์เดิม ๆ แล้วก็ใจเดิม ๆ อย่างส่วนอื่น ๆ ก็ตามเนื้องาน มีสีก็ใช้สี เขาให้เรียบร้อยก็เรียบร้อยให้ตามสั่ง บางทีก็สั่งตัวเองด้วย อย่างการใช้เทคนิคของ hesheit มันจะมีตัวละครได้ประมาณ 3-4 ตัว ด้วยความที่เส้นมันไม่เรียบร้อย ถ้าเราไปวาดตัวละครเยอะก็จะทำให้มันมีหน้าตาคล้ายกัน เพราะเราไม่สามารถบอกรายละเอียดมากได้ ถ้าจะวาดให้มีรายละเอียดมากก็ต้องวาดให้เรียบร้อยหน่อย นี่คือเหตุผลของการวาดแต่ละอย่าง 
 
           พัฒนาการในการวาดการ์ตูนตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามธรรมชาติของมัน วาดคล่องขึ้น มีวิธีการวาดหลายแบบมากขึ้น เนื้อเรื่องมันจะฉูดฉาดน้อยลง จะไม่ตื่นเต้นกับเรื่องตื้น ๆ เราจะมีความลึกซึ้งขึ้น ปล่อยเป็นธรรมชาติ ขึ้น เช่น มันจะน่าเบื่อก็ปล่อยให้มันเป็นไป ไม่ต้องไปทำให้มันสนุกก็ได้ แต่สุดท้ายมันก็มีความซาบซึ้งอยู่ในความเบื่อ เหมือนกิน ก๋วยเตี๋ยวไม่ปรุงอะไรอย่างนั้น คือถ้าใจเราไม่พร้อมที่จะอร่อยมันก็ไม่อร่อย แต่ถ้าตอนนี้ใจมันพร้อมว่าเออไหนลองชิมสิว่าความจืดมันอร่อยยังไง มันก็อร่อยขึ้นมาได้บ้างนะบางที บางทีเราไปเติมอยู่นั่นแหละ"
 
           สำหรับผู้ที่สนใจทำอาชีพนักเขียนการ์ตูนตั้มมีข้อแนะนำดี ๆ อยู่สองข้อคือ "หนึ่งต้องมีเรื่องที่จะเล่า ต้องมีข้อความที่อยากจะบอก สองต้องชอบบรรยายด้วยภาพ ต้องชอบเล่าเรื่องด้วยภาพ ภาพวาด และอย่าใช้ทุนเยอะ ปากกากับกระดาษก็พอแล้ว แล้วอย่าใช้เวลาเยอะไปก่อนในตอนแรก ๆ เล่าให้มันจบในข้อความนึงให้ได้ อย่าไปเพ้อเจ้อมาก ถ้าอยากจะเป็นนักเขียนการ์ตูนจริงก็ต้องให้รู้ตัวว่าต้องเล่าเรื่องนะ ไม่ต้องไปคิดเรื่องภาพมาก ภาพมันจะมาเองตามเรื่องที่เราอยากเล่า เช่น เราอยากเล่าเรื่องผีมาก ผีที่มันน่ากลัวมาก ๆ ซึ่งไม่ตลกเลยรูปมันก็จะออกมาอย่างนั้นเอง มันก็จะออกมาตามเรื่องที่เราจะเล่า ไม่ต้องคิดมากเลย มันจะออกมาเอง ในเมืองไทยตอนนี้ยังไม่มีระบบของการ์ตูนดีพอ ก็อย่างที่บอกใช้ทุนน้อย ๆ แล้วก็ทำงานอื่นไปด้วย ถ้าทำงานแล้วถ้าจะทิ้งงานแล้วมาวาดก็ไม่แนะนำ เอาให้มันได้ก่อนแล้วค่อยทิ้ง เพราะไม่มีอาชีพนั้นอยู่สำหรับทุกคน เหมือนนักดนตรีแหละ ใครจะเป็นนักดนตรีได้ถ้ามันไม่เวิร์ค"

ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก :   JobCyber ฉบับที่ 067  วันที่  23  ม.ค  2551