ลุยบ้านเกิด “ชาติ กอบจิตติ” คุยเรื่องภาษาของนักเขียนมืออาชีพ

นักอ่านที่เป็นแฟนตัวจริงเสียงจริง ของ ชาติ กอบจิตติ ต้องรู้ว่า “น้าชาติ” นั้นมีชีวิตผูกพันกับหมายิ่งนัก เพราะบ้านเกิดอยู่ที่ “ริมคลองหมาหอน“ และก็ยังมีผลงานนวนิยายเรื่องดังชื่อ ‘พันธุ์หมาบ้า’ และเรื่องสั้นขนาดยาวเรื่อง ‘หมาเน่าลอยน้ำ’ ทั้งยังมีสำนักพิมพ์ส่วนตัวที่ชื่อ ‘หอน’ อันเป็นชื่อที่มาจากคลองบ้านเกิดนั่นเอง
คลองหมาหอน บ้านเกิด ของศิลปินแห่งชาติ- ชาติ กอบจิตติ อยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร ปัจจุบันมีชื่อทางการว่า คลองสุนัขหอน (จากหมา เป็นสุนัข เสียอารมณ์ไปเยอะเลย)
และเหตุที่ ชาติ กอบจิตติ เดินทางจากบ้านปัจจุบัน ปากช่อง โคราช กลับมายังบ้านเกิด คลองหมาหอน สุมทรสาคร ก็เนื่องจากห้องสมุดของการศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดสุมทรสาคร โดยบรรณารักษ์ กอบกาญจน์ เกษโร จัดเสวนาน่าสนใจ เรื่อง ภาษาของนักเขียนไทยมืออาชีพ
งานนี้ร่วมเสวนาด้วย ปราบดา หยุ่น นักเขียนซีไรต์วัยหนุ่ม ดำเนินการเสวนาโดย ชมัยภร แสงกระจ่าง ผู้ออกตัวว่าเป็นคนอายุน้อยที่สุดบนเวที!
ห้องเสวนาเต็มไปด้วยผู้สนใจ ทั้งนักศึกษาของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน นักเรียน ครูอาจารย์ และบุคคลภายนอกที่สนใจ
เวทีเสวนาเริ่มต้นด้วยศิลปินแห่งชาติ ชาติ กอบจิตติ ทักทายผู้ฟังด้วยการเล่นกับภาษาโดยบอกว่า
“ผมก็เป็นอะไรหลายๆ อย่าง เป็น ศิลปินแห่งชาติ เป็นนั่นเป็นนี่ ตอนนี้ก็ยังเป็น ‘ตับแข็ง’ อีกด้วย…ตำแหน่งใหม่” (ฮา)
ชาติ ออกตัวว่า พูดแบบวิชาการไม่เก่ง (เก่งแต่เล่นมุก) จากนั้นเริ่มเปิดประเด็นเรื่องความแตกต่างของระดับการใช้ภาษา โดยยกตัวอย่างผลงานของตนเองเรื่อง ‘พันธุ์หมาบ้า’ กับเรื่อง ’คำพิพากษา’ ว่าแม้จะเป็นนวนิยายเหมือนกัน แต่ก็ใช้ภาษาที่แตกต่างกัน จำเป็นต้องใช้ภาษาให้สอดคล้องกับงาน
“ทำไมเรื่องอย่างนี้ต้องใช้ภาษาอย่างนี้ เหมือนเพลงลักษณะนี้ต้องใช้เครื่องดนตรีชนิดนี้ ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราเปลี่ยนเครื่องดนตรี ความหมายหรือความไพเราะมันอาจจะตกหล่น”
ผู้ดำเนินรายการ ชมัยภร แสงกระจ่าง ตั้งข้อสังเกตว่างานเขียนของปราบดา หยุ่น เป็นงานของคนรุ่นใหม่ที่นำภาษาแบบเก่ามาใช้ใหม่ มาทำให้เป็นภาษาใหม่ จึงมีข้อสังสัยว่าปราบดา เห็นความสำคัญของการใช้ภาษาขนาดไหน
ปราบดาออกอาการเขินเล็กน้อย ก่อนจะเล่าประสบการณ์ส่วนตัวเรื่องภาษาว่าเกิดจากการรักการอ่านตั้งแต่เด็ก
“โดยส่วนตัว ความทรงจำเกี่ยวกับการสนใจในการอ่านหนังสือ มันเกิดขึ้นจากการหลงใหลในภาษา ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญกว่าตัวเนื้อหาเสียอีก ตอนแรกๆ เริ่มอ่านนวนิยายแปล เรื่องสืบสวนสอบสวน มันก็ได้ภาษาในระดับหนึ่ง เป็นภาษาแปล แต่ที่มาหลงรักภาษาก็ต่อเมื่อได้มาอ่านงานของคนไทยที่มีลักษณะการใช้ภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ อย่างครูอบ ไชยวสุ หรือที่ใช้นามปากกา ฮิวเมอริสต์ เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่ามีสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากเนื้อหาไปอีก และความสำคัญของภาษาก็กลายเป็นเนื้อหาอันหนึ่งของงานเขียน มีทั้งอารมณ์ขันที่แฝงอยู่ในนั้น มีการเล่นคำ มีการพลิกแพลง คำที่ควรจะมีความหมายหนึ่งมีความหมายอีกแบบหนึ่ง เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึก ‘ทึ่ง’ กับมัน ทั้งความคิดสร้างสรรค์ ทั้งอารมณ์ขัน ทั้งสิ่งที่ทำให้เราคิดต่อไปได้ รวมทั้งทัศนคติด้วย ผมค้นพบว่ามันมีบางสิ่งที่ทำให้เราเข้าใจคนเขียน ว่ามีมุมมองต่อโลกอย่างไร”
ชมัยภร เสริมให้ฟังว่า ที่ปราบดา เป็นนักอ่านตั้งแต่เด็ก ส่วนหนึ่งเพราะแม่ (คือคุณนันทวัน หยุ่น) เป็นบรรณาธิการนิตยสารลลนา และปราบดา น่าจะอ่านคอลัมน์ของครูอบ ไชยวสุ ใน ลลนา ซึ่งทำให้ได้เห็นภาษาเก่ามามาก ขณะเดียวกันก็นำภาษามาใช้แบบใหม่
เช่นเดียวกับปราบดา หยุ่น ชาติ กอบจิตติ ก็เริ่มต้นอ่านหนังสือจากเรื่องแปลก่อนเช่นกัน
“เริ่มอ่านเรื่องแปลก่อน ชอบเรื่องแปล แต่ทีนี้ภาษาที่ใช้จะเป็นแบบภาษาแปล คือไม่ได้สละสลวยเหมือนนักเขียนจริงๆ และความที่เราอ่านเยอะ เราก็ติดสำนวนแปล ใครไปอ่านงานต้นๆ ของผมจะเห็นว่าเขียนคล้ายงานแปลมาก คนจะนึกว่าผมแปลมา (ทำท่ามีเลศนัย..ปล่อยมุก “จริงๆ แปลมานะน่ะ”) คุณเรืองเดช จันทรคีรี (บรรณาธิการสำนักพิมพ์สหการคนวรรณกรรม และรหัสคดี) วิจารณ์ว่าผมเขียนเหมือนกับคัดไทยตัวบรรจงเต็มบรรทัด คือภาษาของผมมันจะเป๊ะ ๆ ๆ ประเด็นของผมคือ ต้องการสื่ออะไร ผมจะใช้คำที่ตรง เล่าเรื่อง แต่พอเล่าๆ ไป ความที่คำเรามีน้อย มีปัญหา…เช่น อาการก่อนที่น้ำตาจะออก มีศัพท์ตั้งหลายคำที่จะใช้บรรยาย แต่เรามีอยู่คำเดียวคือ ‘ทะลัก’ ..น้ำตาหล่อนทะลักแล้ว …มันไม่ได้ ถ้าเรามี ‘รื้น’ หรือมีคำอื่นบ้างก็ดีกว่า มันเป็นเรื่องของการสะสมคำ เหมือนเงินฝาก… ค่อยๆ ใส่ไว้ เปิดพจนานุกรม เปิดคลังคำ อ่านวรรณคดีต่างๆ คำไหนชอบก็จดไว้ แต่ก็ไม่ได้หมายถึงคำอย่างเดียว รวมทั้งประโยคด้วย การใช้ในรูปประโยค”
ชาติ ยกประโยคเด็ด ที่เพิ่งได้มาจากผู้หญิงคนหนึ่ง
“ถามผมว่า ‘เสียวมากมั้ยคะ’ ผู้หญิงด้วยเป็นคนถาม ผมก็กำลังนอนหลับตา กรอฟันอยู่ ก็สะดุ้ง ได้คิดว่า เออ ตรงนี้เราก็อาจจะได้ใช้ (หัวเราะ) บางทีเราได้คำแปลก จากแม่ค้า จากใคร เราก็เก็บไว้”
ถึงตรงนี้ ปราบดา ยกมือขึ้นบอกว่า “ผมก็เพิ่งไปทำฟันมา ได้ประโยคเดียวกันเลยครับ แต่ของผมเพิ่มอีกว่า ถ้าเสียวยกมือขึ้น” (ฮา)
ชาติ ย้อนกลับไปอธิบายถึงเรื่องการใช้ภาษาเพิ่มเติม โดยเน้นคำว่า ‘บริบท’ โดยไม่ลืมเอ่ยถึงเรื่องภาษาในพันธุ์หมาบ้า
“ภาษามันมีที่มีทางของมัน แม้แต่คำบางคำถ้าเราเอาคำอื่นมาแทน ความหมายมันก็ไม่ได้ หรือให้สังเกตว่าเราคุยกับเพื่อน แล้วเราถามว่าเข้าใจมั้ยๆ แสดงว่าคำมันอธิบายความไม่หมด คำมีน้อยกว่าความรู้สึก ซึ่งเราต้องถอดมาให้ใกล้เคียง ส่วนเรื่องที่ว่ากันว่าภาษาหยาบ คำหยาบ ผมว่ามันไม่ใช่ พูดกับแบบวิชาการก็ต้องบอกว่า เป็น ‘บริบท’ ในการใช้ ยกตัวอย่างเช่น ตัวละครอยู่ในสลัม แม่เรียกลูกกินข้าว บรรยากาศช่วงเย็นๆ ยุงกำลังบินชุม แม่เรียกว่า คุณแดงขา…มารับประทานข้าวเถอะลูก ได้เวลามื้อเย็นแล้วนะลูก มันไม่ได้…. มันต้องเป็น ไอ้แดง แ-กมั้ยแ-ก อะไรยังเงี้ย จะแ-กข้าวมั้ยไอ้สัตว์ ไม่แ-กเดี๋ยวแม่เทให้หมาแ-ก…นะ ไอ้เอี้ย… (คนฟังหัวเราะ) มันได้บรรยากาศของเรื่อง ของสลัม ของฉาก มันได้ แต่ความหมายของมันก็คือ เชิญลูกกินข้าว แต่ลีลาของภาษามันต่างกัน อย่างในเรื่องพันธุ์หมาบ้า จะมาใช้ภาษาแบบบ้านทรายทองก็ไม่ได้…”
ส่วนปราบดา เล่าถึงเรื่องการใช้ภาษาในการเขียน
“ทุกครั้งที่ผมเขียนหนังสือ ผมจะคิดอยู่เสมอว่า เพื่อถ่ายทอดตัวละครให้ใกล้เคียงกับสิ่งที่ผมเห็น แต่ว่าวันหนึ่ง ผมก็ไปเที่ยวที่เมืองเก่า บรรยากาศก็เป็นแบบสลัมนั่นล่ะ จู่ๆ ก็มีเด็กคนหนึ่งวิ่งออกมา ไม่ใส่เสื้อผ้า แล้วก็เห็นแม่ของเขาวิ่งตามออกมา แล้วแม่เขาพูดกับลูกเขาว่า ‘Please come back’ คือถ้าผมเขียนเรื่องว่า แม่ที่สลัมพูดกับลูกแบบนี้ มันก็ไม่น่าเชื่อใช่ไหมครับ แต่ในความเป็นจริงมันมี ซึ่งทำให้ผมคิดว่า มันมีความจริงมากกว่านั้น”
ชาติ จึงนำประเด็นเรื่อง “ความจริง” มาอธิบายความโยงไปถึงประเด็นความสมจริง
“ที่ผมพูดเรื่องภาษาในสลัมนั้นถือเป็นเรื่องของภาษาแบบ ‘สูตรสำเร็จ’ แต่เรื่อง ‘please come back ‘ ของปราบดา นั้น ถือว่าเป็น ‘ความจริง’ แต่มันมีอีกคำครับ คือคำว่า ‘ความสมจริง’ จริง ซึ่งมันไม่เหมือนกันกับความจริงในชีวิตนะครับ สมมติว่าตัวละครมีปัญหาเยอะแยะ แล้วคนเขียนแก้ไม่ตก ก็ให้มันไปยืนที่สี่แยกแล้วให้รถสิบล้อแฉลบเข้ามาชน คนก็อ่านไม่ยอมหรอก ไม่ได้ มันง่ายไป ทั้งที่ความจริงมันมี คนที่ทุกข์แล้วรถก็ชน หนีเลย สบายไป แต่ในนวนิยายมันไม่สมจริง แต่บางครั้งความจริงในชีวิตจริงกับความจริงในนวนิยายก็เป็นอันเดียวกัน มันมี 2 เส้นที่ทับกัน”
ชาติโยงกลับไปเรื่องภาษา ว่าบางทีก็เป็นเรื่องที่หากให้ความสำคัญกับภาษามากเกินพอดีก็ถือเป็นเรื่องอันตราย
“บางทีคนที่เขียนหนังสือเริ่มต้นด้วยการหมกมุ่นอยู่กับภาษาอย่างเดียว มันไปไม่รอด และก็เป็นเรื่องอันตรายด้วย เพราะพอเราไปเน้นมันมากก็จะกลายเป็นเชยไปเลย เป็นลิเก ออกมาวูบวาบ แต่ไม่รู้ว่ากำลังพูดถึงอะไร เราต้องนึกภาพว่า อีกสัก 100-200 ปีข้างหน้า ภาษามันจะเคลื่อน อย่างคำว่า กู มึง เป็นคำที่พ่อขุนรามใช้ มันหยาบตรงไหน แต่เวลาเปลี่ยนไปภาษามันก็เปลี่ยน กลายเป็นหยาบไป มีคำว่า คุณ ผม มาแทน เช่นเดียวกัน การเขียนถ้าเราเอาภาษามาก่อน ภาษาสวย แต่เนื้อมันอ่อน มันก็ไม่ได้ ผมว่าพอเริ่มจับปากกาปุ๊บ ไม่ต้องมัวคิดว่าจะใช้ภาษายังไง แต่ผมว่าให้เล่าไปก่อน ส่วนคำผิดก็ให้เขียนไปก่อนก็ได้ อย่างผม ทุกวันนี้ยังเขียนคำว่า ‘พิพิธภัณฑ์’ ไม่ถูกเลย ผมเขียนหนังสือผิดประจำ แต่ก็เขียนไปก่อน คือตอนเขียนความคิดกำลังแล่นอยู่ ถ้ามามัวแก้ตอนเขียนความคิดก็อาจจะสะดุด แต่เราต้องมาแก้ไขทีหลัง ไม่ใช่ปล่อยให้คำผิดหลุดมาถึงบรรณาธิการ หรือหนังสือ ถ้าบรรณาธิการดีๆ เขาเห็นผิดมากๆ ถึงเรื่องดีเขาก็ไม่ลงให้นะครับ เพราะเขาถือว่าหน้าที่ของคุณยังไม่ทำเลย วิธีง่ายๆ ก็คือ ไม่แน่ใจก็ขีดไว้ก่อน ค่อยมาเปิดพจนานุกรม แล้วพจนานุกรมก็อ่านคำรอบๆ มันด้วย แต่ก็อย่างที่บอก เมื่อเราทำไปเรื่อยๆ ไม่นิ่งดูดาย คำของเราก็จะเพิ่มพูน มีคำให้เลือกใช้ได้มากขึ้น สามารถหยิบมาใช้ได้ ไม่ถึงกับต้องสวมชฎาให้มัน ให้มีความพอดี มีอำนาจของคำ วางแล้วมันได้อำนาจในประโยค ความสวยของภาษาก็จะตามมา ทำมากๆ ก็ชำนาญเอง แต่มันก็มีอันตรายนะ พอเราใช้มาก เราจะกลายเป็นช่างฝืมือ ใช้คำซ้ำ ต้องระวัง”
คุณปราบดา เห็นด้วยกับประเด็นของคุณชาติ เรื่องการใช้ถ้อยคำจนซ้ำ
“เห็นด้วยกับน้าชาติทุกประเด็น…. สิ่งที่สะกิดผม คิดว่าสำคัญคือ ต้องคอยระวังว่าจะไม่ซ้ำด้วย เพราะทำอะไรไปบ่อยๆ หลายครั้งซ้ำตัวเอง หลายครั้งเราจะชินกับบางคำ บางประโยค บางวิธีอธิบาย มักจะใช้ในทุกกรณีที่พบ เหมือนจนตรอก ไม่รู้จะใช้อะไร ก็ใช้ไปโดยไม่ทันได้คิดอะไร นานๆ ครั้งเข้ามันก็มีผลเสียต่อความคิดสร้างสรรค์ของเราเอง อย่างช่วงนี้ผมรู้ตัวว่าผมชอบใช้คำว่า ‘ความรู้สึก’ กับคำว่า ‘พื้นฐาน’ แล้วพอผมใช้ ผมก็นึกพยายามที่จะเปลี่ยนมัน อาจจะพูดถึงอย่างอื่นไปเลย หรือหาคำอื่นที่สามารถอธิบายได้ใกล้เคียงกัน เพราะผมว่าความมีเอกลักษณ์ในงานเขียนมันต่างกับวิธีใช้ซ้ำๆ เอกลักษณ์มันควรจะมีความหมายลึกซึ้งไปกว่านั้น ควรจะมีทั้งวิธีคิด การสร้างสรรค์ แม้กระทั่งการพยายามเปลี่ยนและพัฒนาตัวเองตลอดเวลา น่าจะเป็นเอกลักษณ์ ได้ แต่การซ้ำ หรือการใช้สิ่งเดิมๆ ที่มีอยู่แล้วตลอดเวลา น่าจะนำไปสู่ความซ้ำซาก ในที่สุดงานของเราก็จะไม่สดใหม่เหมือนเดิม คำแนะนำของผม คือน่าจะเป็นความพยายามตรวจตราหรือตั้งคำถามกับงานของตัวเองด้วยว่า สิ่งที่เราทำมันเริ่มจะวนกลับเหมือนเดิม หรือประเด็นที่พูดถึงมันเริ่มเป็นทัศนคติเดิมๆ ของเรา หรือควรจะพยายามหาแง่อื่น หาวิธีนำเสนอที่สื่อสารกับคนได้หลายรูปแบบมากขึ้น”
ผู้ร่วมฟังมีคำถามถามนักเขียนมากมาย แต่ด้วยเรื่องเล่าของสองนักเขียนรางวัลซีไรต์ เรื่อง ‘เสียวมั้ยคะ ถ้าเสียวยกมือขึ้น’ ทำให้งานนี้คนฟังไม่ยอมยกมือถามคำถาม แต่ส่งเป็นคำถามในแผ่นกระดาษขึ้นมาเพียบ!
คำถามแรกเกี่ยวกับการศึกษาข้อมูลเรื่องที่จะเขียน ซึ่งชาติให้คำตอบว่าเป็นเรื่อสำคัญที่นักเขียนจะต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด
“สำหรับนักเขียนมืออาชีพ ต้องคำนึงไว้เสมอเลยว่าคนอ่านฉลาดกว่าเรา เรื่องที่เราไม่รู้ ต้องไปหามาให้รู้ ถ้าเราเขียนอะไรที่ผิดไป เขาจับได้ ความน่าเชื่อถือมันก็ไม่มี และบางครั้งมันก็อาจจะเกิดผลเสีย เช่น สมมติ ผมเขียนว่า ตัวละครตัวหนึ่งเป็นริดสีดวงทวาร ผมก็เขียนว่าตัวละครใช้ผงหมามุ่ยโรยแล้วหาย แล้วในเรื่องมันหายจริงๆ เกิดมีคนเชื่อ ไปปฏิบัติตาม มันก็เป็นอันตรายอีกนั่นล่ะ อย่างผมเขียนเรื่อง ‘เวลา’ เรื่องของคนอายุ 80-90 ถ้าผมจะรอตอนอายุเท่านั้นมันก็อีกนาน ผมก็ต้องใช้วิธีไปหาข้อมูล ไปบ้านพักคนชราอยู่3 เดือน (ไปกลับนะ ไม่ใช่ไปนอน) เราก็จะได้ข้อมูลแล้วก็เอามากลั่นออกมาว่าจะเอาไปใช้อย่างไรเราจำเป็นต้องศึกษา บางเรื่องเราก็ต้องอ่าน คือมันมีทั้งประสบการณ์ทางตรง เช่น โดนชกมาเป็นไง และมีประสบการณ์ทางอ้อม เช่น ผมไม่เคยคลอดลูก ถึงคลอดออกมาคงไม่ใช่ลูก (ฮา) ผมไม่สามารถจะคลอดลูกได้ แต่ตัวละครผมจะต้องคลอดลูก ผมก็ต้องถามแม่ ถามพยาบาล หาหนังสือมาอ่าน เรียกว่าประสบการณ์ทางอ้อม”
ชมัยภร เล่าเสริมเรื่องประสบการณ์ของนักเขียนเรื่อง ในเรื่อง ‘จนตรอก’ ตัวละครผูกคอตาย ชาติทดลองผูกคอตาย อันเป็นการทดลองที่เสี่ยงมาก ซึ่งชมัยภรแนะนำว่าห้ามเอาอย่างเด็ดขาด ชาติเสริมว่า
“รู้สึกไม่ไหวแล้ว ถ้ามากกว่านี้ตายแน่ หูมันลั่นเปรี๊ยะๆ ๆ ผมถึงเขียนไว้ในเรื่อง ว่ามีอาการหูลั่น ผมบรรยายต่อไม่ได้แล้ว เพราะถ้าปล่อยก็ตาย แต่ผมรู้สึกว่าต้องลอง จะให้ใครมาลอง ภรรยาเขาก็ยิ่งไม่กล้าลองใหญ่ (ฮา)”
มีคำถามปวดหัวจากนักอ่านว่า คำบางคำจากความรู้สึกบางอย่าง หากเราถ่ายทอดเป็นคำพูดไม่ได้ ควรทำอย่างไรให้ผู้อ่านเห็นภาพ งานนี้คุณชาติสวนทันควัน
“แนะนำว่า—ลืมเสียเถอะ—(ฮา)
ส่วนปราบดา พยายามอธิบายการถึงสร้างความหมายของถ้อยคำที่อธิบายความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ ว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายนักเขียน
“คุณ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ เคยเล่าให้ผมฟังว่า สมัยก่อนเคยได้รับจดหมายจากคุณสุวรรณี สุคนธา บ่อยมาก เวลาไปเที่ยวน้ำตก หรือที่ไหน ก็จะเขียนจดหมายมา แต่ว่าในจดหมายมีรูปภาพมากกว่าตัวหนังสือ เพราะคุณสุวรรณีจะเขียนมาบอกว่า มันอธิบายเป็นคำไม่ได้ก็เลยต้องวาดภาพให้ดู ก็คงไม่สามารถทำได้ทุกคน แต่..ผมว่ามันเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของการเป็นนักเขียน คือคงสามารถให้คำตอบชัดเจนได้ว่าควรทำอย่างไร แต่เหมือนกับมันทำให้เราตระหนักว่าภาษาที่เราใช้เป็นเพียงสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นมา และเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เราเองก็มีความสามารถ ความรู้สึก นึกคิด ประสบการณ์ทัดเทียมกับคนที่ผลิตคำเหล่านี้ขึ้นมา คือมันไม่ใช่กรอบที่เป็นกรงขัง มันทำให้เราเห็นว่าหลายๆ อย่างถ้ามันตรงกับความรู้สึก เราอาจจะประดิษฐ์มันขึ้นมาก็ได้ และอาจจะกลายเป็นคำที่ทุกคนใช้เรียกอะไรก็ได้ที่มันไม่เคยมีคำก่อนเลยก็ได้ มันเหมือนเป็นกำลังใจมากกว่า สำหรับผมที่ค้นพบความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำได้ มันจะเป็นการค้นพบที่ทำให้รู้สึกดีมาก”
ชมัยภร ถามว่า “แล้วปราบดามีคำที่คิดขึ้นใหม่บ้างไหม”
“ไม่มีครับ แต่อย่างตอนที่ผมตั้งชื่อหนัง ว่า ‘เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล’ ผมพบว่าหลังจากนั้นหลายๆ คนก็นำคำว่า ‘น้อยนิดมหาศาล’ ไปใช้ ซึ่งมันอาจจะเป็น เหตุการณ์ปกติของคนในสื่อที่หยิบทุกอย่างมาใช้ แต่ผมว่ามันก็แสดงว่ามันมีการอธิบายตัวเอง เป็นคำที่มีเสน่ห์บางอย่างพอที่ทำให้คนหยิบยืมใช้ได้ในกรณีที่เขารู้สึกว่าต้องการอธิบาย”
นักอ่านอีกคนมีคำถามว่า ชอบอ่านเรื่องสั้น และนวนิยายมาก แต่เขียนไม่ได้ ทำอย่างไรจึงจะเป็นนักเขียนมืออาชีพ คำถามนี้ “น้าชาติ” ก็สวนคำตอบที่สร้างเสียงฮาอีกครั้ง
“อ่านไปเถอะครับ อย่ามาแย่งอาชีพกันเล้ย….”
แต่ก็อธิบายเรื่องการอ่านที่จะสร้างให้นักอ่านเป็นนักเขียนได้
“ผมเองไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้ ผมเรียนมาทางวาดรูป แต่ผมได้หนังสือเป็นครู อ่านแล้วเราก็แยก เหมือนกับแกะเครื่องมือมาดู ตัวอย่างเช่นผมอ่านเรื่อง จอมทระนง แปลโดย ประมูล อุณหธูป แต่ก่อนสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นเป็นคนพิมพ์ มี 4 เล่ม ผมจะมีนิสัยคือก่อนนอนต้องอ่านหนังสือ เรื่องจอมทระนง ผมอ่านสว่างเลยนะ… ผมก็มาถามตัวเองว่า เฮ้ย ทำไมเราอ่านได้ขนาดนี้ หนังสือเล่มนี้ต้องมีอะไรดี เลยกลับมาอ่านใหม่ มาถอด มารื้อใหม่ ปรากฏว่าวิธีการเขียนของเขาใช้วิธีการตั้งคำถาม ถามว่าใครฆ่าคนนี้ เราก็เดาไปว่า ไอ้นั่นมั้ง ตาแก่มั้ง พอบทที่ 2 เขาเฉลย ก่อนจะจบบทที่ 2 เขาก็ถามอีก แล้วใครเป็นชู้กับคนนี้ เราก็อยากรู้ ก็ลุ้น ก็ตามไปเรื่อย จนสว่าง นั่นเป็นวิธีการ ผมก็เอามาใช้ วางแล้วก็ซ่อน แล้วก็จบแล้วก็ซ่อน แต่วิธีการอ่าน จะเห็นได้ว่ามี 2 วิธี คืออ่านเอาเรื่อง กับอ่านแบบเอากลวิธี ต้องรู้ว่าเขาเขียนอย่างไร เหมือนกับเรื่อง ‘คนปลูกต้นไม้’ ผมอ่านแล้วนึกว่าเป็นเรื่องจริง พออ่านแล้วตอนหลังถึงรู้ว่าเป็นเรื่องแต่ง แต่เพราะอะไรเราถึงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ผมก็อ่านแล้วถอดเอา ก็พบว่าเพราะเขาใช้ตัวเลขมาช่วย วันนี้ปลูกเท่านี้ พ.ศ. นั้นเดือนนั้น ตัวเลขมันทำให้เราเชื่อ เหมือนนักการเมืองของเราคนนึงที่ชอบพูดตัวเลข เราก็หูห้อยฟัง คิดว่าทำไมมันเก่งนักวะ คิดว่าเป็นเรื่องจริง ที่จริงอาจจะอ่านหนังสือเล่มเดียวกันมา (ฮา) ลักษณะการอ่านแบบนี้ เป็นการอ่านแบบเรียน ยกเขาขึ้นเป็นครู อ่านเพื่อจะถอด นักเขียนก็ต้องอ่านให้แตก อ่านถอดได้ ไม่ใช่ว่าอ่านไปถอดไปนะ คือ อ่านแล้วค่อยมาถอด เราไม่ได้ลอกแบบ แต่จากเทคนิคการอ่าน เราก็นำมาใช้ในงานต่างๆ เช่น การสร้างความสมจริง ด้วยการใส่ตัวเลข เราอ่านหนังสือที่ชอบแล้วก็ถอดออกมา”
ผู้ฟังสนใจว่าทำไมนักเขียนถึงหลงเสน่ห์ในการเขียน ปราบดา กล่าวว่าเรื่องการหลงเสน่ห์นั้นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ในส่วนตัวของเขาเป็นสิ่งที่ตรงกับความต้องการ
“แต่ละคนคงต่างกัน คือมันมาทดแทนหรือตอบสนองความรู้สึกอะไรบางอย่าง สำหรับผม เป็นคนที่มักจะอยู่คนเดียว ชอบมีโลกของตัวเอง อยู่คนเดียว ชอบอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน เหมือนกับเป็นเพื่อน สิ่งที่เราสื่อสาร เราสื่อสารกับความคิดกับคนเขียน หรือถ้าเราเป็นคนเขียนก็เหมือนเราต้องการสื่อสารความคิดของเรา สู่โลก”
ส่วนชาติ ย้อนกลับไปถึงเรื่องวัยเด็ก สมัยที่ยังเป็นนักเรียน ม.ศ. 2 ของโรงเรียนปทุมคงคา มีความคิดว่า ต้องเป็นนักเขียน
“อายุสัก 13-14 ม.ศ. 2 ผมรู้สึกแล้ว ตอบไม่ได้ว่าทำไมอยากเป็น ทำไมหลงเสน่ห์ ผมเรียนโรงเรียนชาย ปทุมคงคา เพื่อนก็อยากเป็นทหารบ้าง เป็นแบบผู้ชาย แต่ผมไม่รู้สึกอยาก บางทีอาจจะเป็นเพราะอ่านหนังสือมาแต่เด็ก แต่ก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมอยากเป็นนักเขียน อยู่ๆ มันเข้ามาเลย มันเป็น…รักครั้งแรก”
ผู้ฟังกรี๊ดกร๊าดเล็กน้อยกับประโยคจบของ “น้าชาติ” ก่อนจะเข้าประเด็นคำถามเรื่องการเริ่มเขียนหนังสือว่า ควรจะเริ่มจากอะไร จากเรื่องที่ชอบ หรือเรืองที่สังคมกำลังนิยม
ปราบดา เห็นว่าควรจะเริ่มจากตัวเองก่อน
“เริ่มจากสิ่งที่เราสนใจ ที่เราเข้าใจ รู้สึกร่วมกับมัน เพราะผมรู้สึกว่าถ้าเราจะเริ่มเขียนหนังสือสักเล่ม เพื่อตอบสนองกระแสความนิยมของสังคม เช่น ถ้าช่วงนี้สังคมชอบอ่านเรื่อง พ่อมดตัวน้อย แฮรี่ พ็อตเตอร์ แล้วเราเขียนแบบนั้นออกมามันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ผมเชื่อว่าผู้เขียนที่กลายเป็นกระแสหรือโด่งดัง เขาไม่ได้เริ่มจากความคิดที่อยากจะเขียนตามคนอื่น หรือเขียนเพื่อเข้าร่วมเป็นกระแส เพราะสิ่งที่ตามมักจะเป็นรองเสมอ เหมือนแฮรี่ พ็อตเตอร์ดัง ก็มีเรื่องอื่นๆ ออกมา แต่ก็ไม่ดัง ไม่มีคนรู้จักหรือโดดเด่นมากเท่า การเขียนอะไรก็ตามผมว่าเราต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง แล้วก็ไม่เสแสร้งกับคนอ่าน เขียนในสิ่งที่เรารู้สึกก่อน แล้วต่อมาก็อาจค่อยไปหาวัตถุดิบอื่น”
ชาติ เห็นด้วยกับปราบดา และให้ข้อสังเกตไว้ด้วยว่าการตามกระแสจะทำให้เหนื่อย
“ผมเชื่อว่านักเขียนก็มีหลายระดับ ที่เขียนตามกระแสก็คงมี ตอนนี้เรื่องผี ก็เขียนเรื่องผี แต่ผมจะให้ข้อสังเกตว่า ถ้าเราเขียนตามกระแสเราจะเหนื่อย ต้องตามกระแสตลอด แล้วก็ตกรุ่น ทางที่ดีเราเขียนอย่างที่ปราบดาว่า คือเป็นแบบของเรา แล้วสร้างกระแสขึ้น คือให้คนมาตามงานของเราเองดีกว่า เราจะทำงานได้อย่างที่ใจเราอยากทำ แล้วก็ให้คนที่เขาอยากอ่านงานอย่างนี้เขาได้อ่าน ถ้าเราตามกระแสมันอาจเสียเวลา อาจจะได้เงิน แต่งานพวกนี้มันจะอยู่ได้ไม่นาน มันจะขึ้นมาแล้วก็หายไป แต่ถ้าทำงานของเรา มันก็จะอีกแบบ คืออยู่ได้นาน”
นักอ่านถามถึงประสบการณ์ชีวิตของนักเขียน ซึ่ง “น้าชาติ” ปล่อยมุกอีกแล้ว
“30 กว่าปี ทุกวัน ทุกวัน ผ่านประสบการณ์ กินข้าว” (ฮา)
ปราบดา ช่วยสำทับ “กินน้ำ” (ฮา) แล้วเข้าประเด็นจริงจัง
“ ถ้าพูดถึงประสบการณ์การเขียน ก็อาจจะไม่มากมายอะไร แต่ถ้าพูดถึงประสบการณ์ มีประสบการณ์การอ่านมากกว่า การอ่านที่ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ ก็มีนิสัยเหมือนน้าชาติ คือต้องอ่านหนังสือก่อนนอน อันที่จริง เป็นสิ่งที่รู้สึกว่าอยากทำเป็นอาชีพมากกว่าเขียนหนังสือ คืออยากอ่านหนังสือเป็นอาชีพ ถ้าอ่านได้หน้าละพันห้า ก็จะดี (หัวเราะ) คือการอ่านมันทำให้เราบางทีรู้สึกไม่อยากเขียนแล้ว อยากมีให้คนเขียนแบบนี้เยอะๆ เราจะได้ไม่ต้องเขียน แต่บางที่การเขียนมันเกิดขึ้น จากไม่มีสิ่งที่เราอยากอ่าน เราก็เลยเขียน ประสบการณ์ที่มากที่สุด ก็คือเรื่องการอ่าน”
ชาติ เสริมเรื่องประสบการณ์เรื่องการเป็นนักเขียนใหม่ ว่าเป็นสิ่งที่ต้องอดทน และต้องมีความตั้งใจ
“เข้ามาใหม่ๆ เราเป็นใครก็ไม่รู้ มันไม่เหมือนกับวันนี้หรอก เราต้องสะสม เป็นเรื่องจริงที่พี่อาจินต์ ปัญจพรรค์ บอกว่าตะกร้าสร้างนักเขียน เราต้องผ่านการทดสอบ แน่นอน ต้องมีนักเขียนใหม่เกิดขึ้นมาเสมอๆ แต่การเกิดขึ้นมาก็ต้องผ่านขั้นตอนใหม่ๆ มันต้องทนทุกข์กันทั้งนั้นล่ะ แม้กระทั่งคนในวงการหนังสือเองก็ต้องต่อสู้ อาชีพนี้มันแปลก ไม่เหมือนเป็นดารา ที่พอดังแล้วก็ไปตลอด แต่นักเขียนต้องอาศัยการสั่งสมการทำงาน อาศัยความอดทน การทำงาน อาศัยเวลา เหมือนตอนที่ผมเข้ามาวงการใหม่ๆ รุ่นผมก็ 20 เกือบ 30 คน ตอนนี้คิดแล้วเหลืออยู่ 3-4 คน (ที่ยังหน้าด้านอยู่—ฮา) บางทีเขาไม่จ่ายค่าเรื่อง ต้องไปตามทวง สารพัด เล่าแล้วน้ำตาจะร่วง (คนฟังฮา) ดังนั้น ถ้าใครอยากเป็นก็ต้องยอมรับมันก่อน เพียงแต่ว่าใครจะอดทนพอจะข้ามขวากหนาม ไปได้ แต่พอมายืนอีกฝั่งได้ก็สบายแล้ว”
สุดท้าย ผู้ฟังอยากทราบว่านักเขียนต้องใช้อารมณ์ความรู้สึกในการเขียนเรื่องมากน้อยเพียงใด ซึ่งประเด็นนี้ปราบดาบอกว่าเคยคิดว่าอารมณ์ไม่สำคัญ
“เมื่อก่อนผมจะคิดว่าไม่ค่อยสำคัญ ผมจะพยายามคิดว่าการเขียนหนังสือเป็นงานอย่างหนึ่ง แล้วก็พยายามทำให้เป็นแบบนั้น เช่น คนอื่นทำงานเริ่ม 9 โมง ผมก็พยายามทำให้เป็นแบบนั้น แต่ผมว่ามันก็ไม่เข้ากับทุกๆ คน เพราะต่อมาผมก็ค้นพบว่าผมทำไม่ได้ ผมเป็นคนที่ชอบเก็บสะสมความคิดเอาไว้ก่อนแล้วค่อยลงมือทำ ทีเดียว ก็เรียกว่าอารมณ์ได้เหมือนกัน ต้องรออารมณ์ คือความสงบ คือมีเวลาที่จะทำได้ ช่วงหลังๆ ก็เริ่มแยกตัวไปต่างจังหวัดบ้าง ไม่ต้องกังวลกับว่าต้องทำอะไรกี่โมง ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไปจ่ายค่าอะไรต่อมิอะไร ต้องไม่มีเรื่องพวกนี้ ใช้เวลาทั้งหมดกับงานที่จะทำ”
ชาติ มีวิธีการทำงานต่างจากปราบดา คือวางตารางทำงานแน่นอน
“ผมจะไม่เหมือนปราบดา คือผมจะวางตารางการทำงานค่อนข้างจะแน่นอน คือ สี่โมงเช้าเลิกสี่โมงเย็น หมายถึงช่วงที่มีงานนะ มีข้อมูลแล้ว แต่ก็ไม่ได้นั่งติดเก้าอี้ ก็จะทำงาน ไปเดินเล่นมั่ง อาจจะนอนเปลอ่านหนังสือด้วย ผมคิดว่าสิ่งที่มันน่าจะเกี่ยวข้องกับการทำงานคือ ที่ทำงานมากกว่า ร้อนๆ นี่ทำไม่ไหว ถ้าโปร่งๆ โล่งๆ ตา จะทำงานได้เยอะ ถ้าให้เขียนในคุกคงลำบาก (ฮา) แต่ต้องมีระเบียบวินัย ผมพูดอยู่เสมอว่าการที่คนเราจะทำอาชีพอิสระ ถ้าเราควบคุมตัวเองไม่ได้โอกาสจะเป็นอันตรายสูง เพราะว่าในบ้านเนี่ย เบียร์ก็มีอยู่ในตู้ โซดาก็แช่ไว้แล้ว เช้าๆ มา เอาเบียร์เสียหน่อยเป็นไง กินไป เอ้า นอนสักตื่น ตื่นมา เหล้าดีกว่ามั้ง …เวียนอยู่อย่างนี้ มันก็ไม่ได้ทำงาน คุณต้องบังคับตัวเองให้ได้ หลายๆ คนเป็น สำหรับคนที่เป็นศิลปินต้องตระหนักมากๆ ถ้าคุณบังคับตัวเองไม่ได้ก็ขอเถอะ ให้คนอื่นเขาบังคับคุณดีกว่า ไปเข้างานตอกบัตรไปเลย อย่าทำงานอย่างนี้ดีกว่า ผมสงสารลูกเมียเขา อนาคตมันจะลำบาก ถ้าจะทำงานอิสระจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีวินัยในตัวเอง”
ทั้ง ชาติ กอบจิตติ และ ปราบดา หยุ่น เผยเคล็ดลับการทำงานเสียหมดพุง งานนี้ผู้ฟังได้ประโยชน์เต็มที่ ก่อนจะจบรายการเสวนา “น้าชาติ” เปลี่ยนบทบาทเป็นคนถามบ้าง น้องๆ หลานๆ ที่นั่งฟังกันอยู่เงียบเมื่อครู่แย่งกันตอบเสียงดัง โดยเฉพาะที่ถามถึงเรื่อง โรงเรียนเก่าของน้าชาติ คือโรงเรียนเอกชัย กับโรงเรียนสมุทรสาคร เรียกว่าย้อนอดีตกันเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะจบการเสวนาจบลงด้วยความเป็นกันเอง
หลังจากงานนี้น่าจะเกิดนักเขียนหน้าใหม่กันอีกหลายคน หนทางของการเป็นนักเขียนมืออาชีพรออยู่ เพียงแต่คนรุ่นใหม่จะตั้งใจจริงกับอาชีพนักเขียนแค่ไหน ต้องคอยดู!
ขอขอบคุณบทความจาก : นิตยสารสกุลไทย รายสัปดาห์