ลิขสิทธิ์’ วรรณกรรมไทยยุคดิจิทัล

ทรัพย์สมบัติมีค่าฉันใด สติปัญญาย่อมเลอค่าฉันนั้น การละเมิดสิทธิอันเกิดจากปัญญาก็ไม่แตกต่างกับการก่ออาชญากรรมที่มุ่งหวังต่อแก้วแหวนเงินทอง
ในยุคดิจิทัลเช่นนี้ พฤติกรรมมนุษย์เปลี่ยนแปลงจากเดิมมาก ตั้งแต่พฤติกรรมการกิน การอยู่ แม้กระทั่งการอ่านหนังสือ เดิมทีหนังสือคือสื่อกระดาษซึ่งเกิดขึ้นจากต้นฉบับ ผ่านกรรมวิธีบรรณาธิการ และตีพิมพ์เป็นเล่ม แต่ปัจจุบันกระบวนการเหล่านั้นได้ถูกลดทอนลงแล้ว ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า e-book
e-book คือหนังสือรูปแบบใหม่ที่ไม่ต้องตีพิมพ์ลงกระดาษ อาศัยเพียงข้อมูลดิจิทัล อ่านผ่านเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เช่น iPad โทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องอ่านหนังสือยี่ห้อต่างๆ
ในแง่มุมหนึ่งเทคโนโลยีนี้ช่วยขจัดกระบวนการผลิตหนังสืออันเป็นสาเหตุก่อเกิดมลภาวะ เช่น ไม่ต้องใช้กระดาษซึ่งทำจากเยื่อไม้ เพราะไม้ที่นิยมใช้ทำกระดาษคือยูคาลิปตัสอันเป็นไม้ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องสวาปามแร่ธาตุในดิน และใบของมันที่ร่วงหล่นก็เป็นพิษต่อดินอีกด้วย
แต่อีกมุมหนึ่งนี่คือช่องทางละเมิดลิขสิทธิ์ที่ง่ายดายขึ้น จากเดิมการละเมิดลิขสิทธิ์หนังสือหรืองานวรรณกรรมสักเล่ม ต้องผ่านกระบวนมากมาย ทว่า ตอนนี้ไม่ต้องทำอะไรเกินกว่า คัดลอกและวาง หรือไม่ก็แบ่งปันกันเพียงกดปุ่มไม่กี่ที
แนวโน้มการก่ออาชญากรรมทางปัญญามีมากขึ้น ผู้รับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่าง กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ จึงต้องเร่งสร้างความเข้าใจแก่ผู้เกี่ยวข้องต่อวงการหนังสือ ตั้งแต่ผู้อ่านจนถึงผู้ผลิต เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ยังมีข้อกังขามากมายซึ่งถกเถียงกัน บางอย่างมีข้อสรุป แต่หลายอย่างยังเป็นปริศนา
เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2554 กรมทรัพย์สินทางปัญญา จึงจัดเสวนา เรื่อง 'วรรณกรรมไทย ใน e-book' ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อไขข้อสงสัยแก่ผู้ที่อยู่ในแวดวงบรรณพิภพที่อีกไม่นานก็จะเข้าสู่บรรณพิภพรูปแบบดิจิทัล และยังเป็นช่องทางรวบรวมความคิดเห็นและข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้องเหล่านี้อีกด้วย
e-book มาแล้วจ้า !
สำหรับ นิวัต พุทธประสาท นักเขียนและบรรณาธิการ ยุคนี้ถือเป็นยุคคาบเกี่ยวระหว่างอนาล็อกกับดิจิทัล เขามีโอกาสได้เห็นและได้ใช้ปากกา เครื่องพิมพ์ดีด และคอมพิวเตอร์
"การทำหนังสือสะดวกกว่าสิบกว่าปีที่แล้วอย่างมาก มีคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องก็ตั้งสำนักพิมพ์ จัดพิมพ์งานได้ทันที ขอแค่มีต้นฉบับก็ทำหนังสือได้แล้ว จะพิมพ์กี่เล่มก็ได้ แต่ถ้าเป็นยุค 15-20 ปีที่แล้ว การเขียนหนังสือหรือทำหนังสือจะยากขึ้นหลายเท่า เพราะการจัดพิมพ์มีกระบวนการที่ยุ่งยากมาก การทำต้นฉบับผมเองยังต้องพิมพ์ดีด ได้เขียนเป็นตัวอักษรก่อน แล้วไปพิมพ์ดีด เวลาส่งต้นฉบับก็ต้องพิมพ์สำเนาของตัวเองไว้อีกชุดหนึ่งหรือไม่ก็ถ่ายเอกสาร ถ้าเรื่องไม่ได้ตีพิมพ์เขาก็ไม่ส่งคืนนะครับ โยนทิ้งลงถังขยะ ก็ต้องมาพิมพ์ใหม่ส่งที่อื่น พิมพ์ใหม่ส่งที่อื่นอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งมีคอมพิวเตอร์เข้ามาการทำต้นฉบับก็ง่ายขึ้น ผลิตหนังสือได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ"
หากจะกล่าวกันตามช่วงอายุของนิวัตเพียง 39 ปี การเดินทางของเทคโนโลยีช่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด มาถึงวันนี้เทคโนโลยีก็ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว
จากหนังสือซึ่งเกิดจากกระบวนการใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเขียน พิมพ์ดีด หรือพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ สู่หนังสือไร้หมึก อ่านบนหน้าจอสี่เหลี่ยมที่เรียกว่า e-book
"e-book หรือที่บางคนเรียกว่า digital publication มีมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดปีสองปีนี้ มีเป็นสิบปี แต่ e-book เพิ่งจะมาเติบโตเอามากๆ ประมาณสองปีกว่าๆ คือตอนที่แทบเล็ตหรือเครื่องอ่านแพร่หลาย คนก็หันมาอ่าน e-book มากขึ้น" ดร.พลภัทร์ อุดมผล ผู้เชี่ยวชาญด้าน e-book กล่าว
"ทวีปอเมริกาเหนือเมื่อสองปีก่อน (2009) ยอดขายหนังสือประมาณ 250 ล้านเหรียญ และยอดขาย e-book ประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์ของเล่มกระดาษ ที่อเมริกาจ่ายให้นักเขียนประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเป็น e-book จะประมาณ 21 เปอร์เซ็นต์ แต่เปอร์เซ็นต์ตรงนี้มันสูงกว่า แต่ e-book ราคาต่อเล่มมันถูกกว่า ราคาถูกกว่าก็จริง ก็ต้องดูจำนวนว่ามันขายได้หรือเปล่า ผ่านมาหนึ่งปี ยอดขาย e-book แซงเล่มปกแข็งเกือบสองเท่า เท่ากับโตสามเท่า ปีนี้ e-book ชนะปกแข็งและปกอ่อนเลย ยอดขาย e-book ปีปัจจุบัน (2011) ประมาณ เกือบๆ 40,000 ล้านบาท"
นอกจากนี้ ดร.พลภัทร์ ยังเล่าถึงคุณประโยชน์ของ e-book ซึ่งหนังสือเล่มตอบโจทย์ไม่ได้อีกว่า อย่างแรก คือ e-book ไม่ต้องใช้กระดาษ จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายในการพิมพ์และจำหน่าย และอีกอย่างซึ่งเขาเคยคุยกับผู้ประสบปัญหาเอง คือ นักเขียนที่ขายหนังสือหมดแล้ว เชื่อว่างานของตนยังขายได้ แต่ติดปัญหากับสำนักพิมพ์ที่ไม่ยอมตีพิมพ์เพิ่มเพราะคิดว่าไม่คุ้ม การแปลงงานไปขายในรูปแบบ e-book อาจช่วยพวกเขาได้
"เราไม่ควรจะกลัว e-book เพราะถึงตัวเองไม่ทำ แต่คนอื่นทำหมด แล้วคุณจะไม่ทำอยู่คนเดียวหรือเปล่า มันเป็นทั้งวิกฤตและโอกาส เราจะทำอย่างไรให้ตรงนี้เป็นโอกาส เราก็ต้องมาทำให้ e-book เป็นช่องทางเผยแพร่หนังสือของเรา"
"e-book มีสองแบบ หนึ่งแบบที่เหมือนหนังสือเลย คือเอาต้นฉบับดิจิทัลไปเผยแพร่เลย สอง เราเรียกว่าทำแบบดิจิทัลเวอร์ชั่น คือ มีลูกเล่นเพิ่มขึ้น แบบแรกจะละเมิดลิขสิทธิ์ค่อนข้างง่าย เพราะส่วนใหญ่เป็นไฟล์เอกสารธรรมดา แต่แบบดิจิทัลเวอร์ชั่น จะมีลูกเล่นมากมาย หากจะละเมิดต้องก๊อบปี้ไปทีละหลาย มันวุ่นวาย และอีกอย่างคือ ส่วนมากจะมีการใส่รหัส อาจก๊อบปี้ไปได้ แต่เปิดอ่านไม่รู้เรื่อง"
แต่ในมุมมองของนักเขียนผู้หลงใหลในเนื้อกระดาษอย่าง นิวัต หนังสือเล่มจะยังคงอยู่ ส่วน e-book เป็นแค่ส่วนเสริมเท่านั้น
"สำหรับผมยังเชื่อว่ารูปแบบที่เป็นหนังสือยังดีอยู่ ความเชื่อโดยส่วนตัวแล้วคนก็ยังอ่านหนังสือที่เป็นเล่มอยู่ e-book เข้ามามันต้องมีความเปลี่ยนแปลง แต่ผมเชื่อว่าคนที่ใช้แทบเล็ตทั้งหลายแหล่ไม่ได้ใช้เพื่ออ่านหนังสือ ยังซื้อมาเพื่อเล่นเกม หรือ e-book ที่เป็นภาษาไทยก็ยังมีน้อยอยู่ ในอนาคตอาจจะมีมากขึ้น และผมมองว่า e-book จะเป็นส่วนเสริมให้หนังสือเล่มมากกว่า"
เข้าใจให้ได้ ตามให้ทัน
ในเมื่อแนวโน้มการละเมิดลิขสิทธิ์จะแผ่ขยาย หลายฝ่ายก็จำเป็นต้องเตรียมการเพื่อรับมือ สิ่งสำคัญที่เราๆ ท่านๆ ควรกระทำ คือ เข้าใจ และตามให้ทัน
นิวัต บอกว่า e-book จะก่อให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์มาก นักอ่านจะแบ่งกันอ่านอย่างผิดกฏหมายมาก สังเกตได้จากสื่อประเภทอื่น อาทิ เพลงหรือภาพยนตร์ซึ่งต่อต้านการละเมิดลิขสิทธิ์ไม่ได้เลย แต่เราไม่ต้องกลัว เพียงแค่ทำอย่างไรให้สำนักพิมพ์และนักเขียนอยู่ได้
ด้าน สุชาติ ธรรมาพิทักษ์กุล ผู้เชี่ยวชาญด้านกฏหมายลิขสิทธิ์ กลับไม่สนใจว่าจะเป็นหนังสือกระดาษหรือดิจิทัล เพราะถึงอย่างไรกฏหมายก็คุ้มครองผู้สร้างสรรค์งานเช่นเดิม เพียงแต่เราอาจจะสังเกตได้ยากขึ้นเท่านั้นเอง
"ถ้าเราเดินไปเดินมาเห็นหนังสือที่ผิดหูผิดตานิดนึงก็จะทราบ หรือว่าสัญญาให้เขาพิมพ์ได้เท่าไร ทำไมมันขายสามปีไม่หมดสักที ทั้งๆ ที่ขายดี แสดงว่ามันพิมพ์เพิ่มเข้ามา แต่พอคราวนี้ไม่เป็นเล่มให้เราจับต้อง ให้เราเห็น ในที่สุดที่อยู่ในเว็บไซต์ต่างๆ มีการดาวน์โหลดเท่าไร เราจะมีโอกาสทราบหรือไม่ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะดำเนินการติดตามอย่างไรมากกว่า ถ้าท่านติดตามได้อย่างเข้มข้น รู้เท่าๆ กับที่สำนักพิมพ์เขารู้ เราก็ไม่เสียเปรียบ แต่ถ้าท่านไม่ทราบ อย่างดาวน์โหลดไปแล้ว 100 แต่แจ้งว่า 10 ท่านก็จะได้ค่าลิขสิทธิ์แค่นั้นแหละ อยู่ที่ว่าคิดกันอย่างไร ส่วนใหญ่จะใช้ร้อยละคูณเข้าไป อย่างดาวน์โหลดครั้งละ 30 บาท เราได้ 10 เปอร์เซ็นต์ก็สามบาท 20 เปอร์เซ็นต์ก็หกบาท แล้วก็คูณจำนวนครั้งดาวน์โหลด"
ในฐานะนักเขียนและสำนักพิมพ์ นิวัต อธิบายว่าลิขสิทธิ์ใน e-book ยังไม่มีมาตรฐาน จะจ่ายค่าลิขสิทธิ์กับนักเขียนอย่างไร ซึ่งต้องคุยกันต่อไปว่ามาตรฐานที่นักเขียนควรได้รับเป็นอย่างไร เขาเสนอทางเลือกสองทางระหว่างเหมาจ่ายกับทีละคลิก แต่ละแบบมีส่วนดีส่วนด้อยต่างกัน
"นักเขียนขายดีเขาก็อยากได้จำนวนดาวน์โหลด ส่วนนักเขียนที่อาจจะยังไม่มีชื่อเสียงก็คงอยากจะให้สำนักพิมพ์เหมาจ่ายการตีพิมพ์แต่ละครั้งมากกว่า ตรงนี้ผมว่าถ้าเราคุยกันรู้เรื่องตั้งแต่เริ่มต้นจะง่ายกว่า เพราะถ้าปล่อยให้เรื่องที่ไม่เป็นมาตรฐานดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะมีปัญหา"
ปฐม อินทโรดม ตัวแทนสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย บอกว่า
"จะปรับตัวอย่างไร หนีไม่พ้นปรับตามผู้อ่าน ย้อนไปในอดีตนักอ่านมีพฤติกรรมอย่างไร ก่อนจะซื้อหนังสือสักเล่มเราทำอย่างไร คุยกับเพื่อน หารีวิวอ่าน ขั้นตอนนี้อาจกินเวลาสักหนึ่งอาทิตย์ เสร็จแล้วจะไปหาซื้อแล้วอาจกินเวลาอีกหนึ่งอาทิตย์ อาจเร็วกว่านั้นถ้ามีร้านหนังสืออยู่ใกล้บ้าน ซื้อเสร็จเอามาอ่านอีกหนึ่งอาทิตย์ ท้ายสุดคือเล่าให้เพื่อนฟัง กว่าจะเสร็จกระบวนการ อาจปาเข้าไปสองเดือน แล้ววันนี้เปลี่ยนไปอย่างไร พฤติกรรมผู้บริโภคทุกวันนี้เท่าที่เราสังเกตมีอยู่ไม่กี่อย่าง Read, Load, Post, Vote และ Share"
Read คือ ถ้าอยากจะหาหนังสือดีสักเล่มหนึ่ง คนยุคนี้จะอ่านในเว็บบอร์ดซึ่งมีคนเขียนแนะนำไว้มากมาย ยิ่งอ่านภาษาอังกฤษได้คล่องยิ่งมีข้อมูลเพิ่ม
Load คือ ความน่าสะพรึงกลัวของบรรดาคนทำหนังสือ เพราะตั้งแต่มี iPad สถิติการละเมิดลิขสิทธิ์เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ (สำรวจโดยการ์ดเนอร์) และการละเมิดที่เป็นหนังสือ ปีนี้มีมากกว่าปีที่แล้ว 50 เปอร์เซ็นต์ ทุกวันนี้เว็บ search engine ชื่อดังมีการค้นหาหนังสือดาวน์โหลดฟรีอย่างน้อย วันละ 1.5-3 ล้านครั้ง ทั่วโลก
Post คือ เมื่อตัวเองอ่านก็เป็นคน Post แนะนำให้คนอื่นบ้าง
Vote คือ จัดอันดับหนังสือว่าดีหรือไม่อย่างไร
"ข้อสุดท้ายน่ากลัวที่สุด Share เมื่อโหลดมาอ่านเสร็จ อยากให้เพื่อนอ่าน เอาไปอ่านสิเพื่อน ให้ฟรี เฮ้อ (ถอนหายใจ)" ปฐม กล่าว
"นี่คือความจริง แต่เรายังอยู่ในยุคเริ่มต้น ซึ่งมาตรฐานการทำข้อมูล การทำระบบส่วนกลางมี แต่น้อยมาก ถ้ายังจำกันได้เมื่อ 4-5 ปีที่แล้วมี mp3 ตอนนั้นเราคิดว่าค่ายเพลงเจ๊งแน่หมดแน่ ไปไม่รอด เพราะคนดาวน์โหลดกระจาย แต่ทุกวันนี้เจ๊งไหมครับ ไม่เจ๊งครับ เพราะอะไร ปรับตัวครับ ทุกเจ้าปรับตัว อยากดาวน์โหลดโหลดครับ ถ้าอยากดาวน์โหลดอย่างถูกกฎหมายต้องตอบสนองไลฟ์สไตล์รวดเร็วของเขา เขาฟังแล้วอยากโหลดต้องโหลดได้เลย ไม่ต้องเดินไปที่ร้าน เอาทรัมป์ไดร์ฟไปเสียบแล้วจ่ายเงิน มันไม่ทันกิน นี่คือมุมมองของผู้อ่าน"
ลิขสิทธิ์และหนทางป้องกันการละเมิด
เมื่อการละเมิดลิขสิทธิ์ในยุคดิจิทัลจะง่ายและมากขึ้น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงการหนังสือ ควรจะรับมือกับเหล่าอาชญากรไฮเทคพวกนี้อย่างไร แน่นอนว่าคงปิดกั้นหรือออกปากบอกอย่างดุดันเพื่อให้หวาดกลัวไม่ได้ แต่การป้องกันโดยคอยสอดส่องดูแลธุรกิจหนังสือเล่ม และ e-book ของตน คงเป็นวิธีที่ดีที่สุดตอนนี้
ทั้งนี้ สุชาติ ธรรมาพิทักษ์กุล ได้เปิดเผยถึงกระบวนคิดของคนในวงการหนังสือไทยที่มีมาช้านานว่าถูกปล่อยปละละเลยมามาก คำว่าไม่เป็นไรคั่งค้างในสมองมาตั้งแต่โบราณ สิ่งที่ควรทำ ณ ตอนนี้คือต้องสร้างชุดความรู้ใหม่ ต้องเริ่มจากเด็ก
"สังเกตนักเรียนเวลาทำการบ้านก็ไปดึงมาจากอินเทอร์เน็ต ครูสั่งวันนี้พรุ่งนี้เสร็จแล้ว มหาวิทยาลัยก็ยังขาดความจริงจัง ไปดึงของเขามาแล้วก็ไม่ค่อยทำอ้างอิงว่าไปดึงมาจากไหน ขณะนี้เริ่มมีปัญหา ทางจุฬาฯ ก็เพิ่งหยิบเคสจริงๆ ที่มีคนร้องเรียนมาพิจารณาอยู่ ถ้าไปในทางเลวร้ายสุดอาจมีถอนปริญญาครั้งแรกเกิดขึ้น มันต้องเริ่มจากต้นๆ จุดย่อยๆ ก่อน"
ด้าน นิวัต พุทธประสาท ก็เสนอว่านักเขียนและสำนักพิมพ์ควรจะพูดคุยกันมากขึ้น เดิมทีนักเขียนจะได้ค่าลิขสิทธิ์ 10 เปอร์เซ็นต์จากราคาหน้าปก คูณจำนวนพิมพ์ แต่สำหรับ e-book ยังไม่ชัดเจน อาจต้องตกลงกันระหว่างสองฝ่าย
สำหรับผู้ช่ำชองทางการค้าหนังสืออย่าง ปฐม อินทโรดม ก็แนะนำไว้อย่างน่าสนใจว่า
"หนึ่ง การระมัดระวังให้สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว ต้องคุยให้ดีว่าการให้สิทธิ์นี้ครอบคลุมทุกแบบจริงหรือไม่ เทคโนโลยีมันรวดเร็วกว่าที่เราคิด อย่างระบบปฏิบัติการของ iPad เรียกว่า ios ส่วนของพวกเครื่องอ่านต่างๆ จะเป็น android ปรากฏว่าเขาทำแต่ในระบบ ios ทั้งๆ ที่ตลาดของ android ใหญ่มาก เราก็เสียพื้นที่ในตลาดไปแล้ว
สอง เรื่องสื่อ เราอาจจะให้สิทธิ์กับเจ้าหนึ่ง ในการทำ e-book บางทีการให้สิทธิ์มันครอบคลุมไปหมดจนเรากระดิกกระเดี้ยวไม่ได้ เช่น ถ้ามีคนอยากเอาไปทำเป็น animaton ซึ่งน่าสนใจกว่า แต่เราทำไม่ได้ เพราะสัญญามันครอบคลุมไปแล้ว เหมือนกับในอดีตนั่นแหละที่คนเขียนนวนิยายแต่ก็ไม่คิดหรอกว่าวันหนึ่งจะมีคนเอานวนิยายไปทำละคร
อีกเรื่องหนึ่งคือการให้สิทธิ์ยืม ปัจจุบันมี digital library เกิดขึ้นมากมาย จำเป็นต้องซื้อหนังสือแบบดิจิทัลเข้าห้องสมุดตัวเอง ถ้าเราจริงจังเรื่องผลประโยชน์เรื่องค่าตอบแทน ก็ควรให้ความสำคัญกับประโยชน์ทางการศึกษาของห้องสมุดเหล่านี้ด้วย"
และสุดท้าย ดร.พลภัทร์ อุดมผล ฝากข้อคิดดีๆ และแนวปฏิบัติซึ่งน่าจะช่วยได้ทั้งในเรื่องการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ ตลอดจนช่วยทุเลาความหวาดระแวง และช่วยทำให้จิตใจก็เป็นสุขมากขึ้นคือ
"พื้นฐานทุกคนเป็นคนดีหมด แต่อย่าไปเปิดช่องมาก อำนวยความสะดวกให้เยอะที่สุด สร้างแรงจูงใจให้ใช้ของถูกลิขสิทธิ์ ปัญหาน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ"
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.bangkokbiznews.com