ร้านหนังสือเล็กๆ บนโลกใบใหญ่ ( ตอนต่อ )
(ร้านก็องดิด)
ก็องดิดเป็นร้านหนังสือเปิดใหม่อีกแห่งหนึ่งที่พยายามทำให้ร้านมีบรรยากาศเป็นเหมือนห้องรับแขกของคนทำงานด้านการขีดเขียน ๑๐ เดซิเบลพูดถึงร้านก็องดิดในแบบที่อยากให้เป็นว่า “มันต้องเป็นร้านที่ผมอยู่กับมันแล้วไม่รู้สึกขัดเขิน หรือหงุดหงิด อย่างน้อยก็เป็นสำนักพิมพ์ที่พิมพ์งานที่อยู่ในแนวทางที่ผมชอบหรือเคารพ คือเราอาจไม่ชอบแนวทางก็ได้ แต่เราเคารพในสิ่งที่เขาทำ เพราะว่าเราเองก็ทำหนังสือทำให้รู้ว่าเขาตั้งใจขนาดไหน ซึ่งคุณก็รู้ว่าปัจจุบันมันขายไม่ได้ แต่เราก็ให้ความเคารพเขา เราอยู่กับสิ่งที่เรารู้สึก เห็นหรือสัมผัสได้ในสิ่งที่ทำ ผมจะขายอย่างนี้” กิตติพลผู้เป็นคู่หูอีกคนหนึ่งบอก “ผมอยากได้ร้านหนังสือที่ให้แรงบันดาลใจกับนักเขียน อย่างน้อยมีชั้นวางสักชั้นให้ลองหยิบออกมาดูว่ามีอะไรที่ได้เขียนมาแล้วบ้าง เช่น Ulysses ของเจมส์ จอยซ์ หรือ In Search of Lost Time ของมาร์แซ็ล พรูสต์ อะไรที่เป็นผลสำเร็จของวรรณกรรมโลก หยิบมันขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าคุณมีแรง ตอนนี้เรากำลังคัดกันอยู่ พยายามทำให้เกิดซีรี่ย์หนึ่งที่อย่างน้อยมันให้แรงบันดาลใจนักเขียน เหมือนการชมภาพศิลปะที่ดี หรือภาพยนตร์ที่ดี ผมคิดว่าร้านหนังสือน่าจะมีคอลเล็กชั่นอย่างนี้”
ร้านหนังสือประตูสีฟ้าไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อรองรับหนังสือจากสำนักพิมพ์ของตนหรือองค์กร ร้านจึงมีบุคลิกเฉพาะตัวอย่างที่เจ้าของร้านอยากให้เป็น หนังสือภายในร้านที่คัดเลือกมาตามรสนิยมของเจ้าของร้านที่คิดว่าดีและชอบ และอยากให้เป็นอีกพื้นที่หนึ่งให้คนเข้ามาพบปะพูดคุยและได้นั่งอ่านหนังสือดีๆ เพราะคิดว่ามันเป็นธุรกิจที่ดีที่อยากทำ คงเช่นเดียวกับร้านหนังสือเดินทางที่ถือกำเนิดขึ้นมาในลักษณะเดียวกัน เพียงแต่บรรยากาศของร้านชวนให้นึกไปถึงนักเดินทางผู้ชอบการครุ่นคิด อำนาจพูดถึงสิ่งพิเศษที่อาจชักชวนให้คนมาที่ร้านว่า “ความจริงร้านผมก็ไม่มีอะไรหลายอย่างที่ร้านอื่นมีนะ ผมไม่มีหนังสือหลายเล่มที่เขามี ส่วนลดผมก็ให้ไม่ได้ สมาชิกผมก็ไม่ให้เป็น ห่อปกพลาสติกผมก็ไม่ให้อีก คือไม่มีอะไรพวกนี้เลยสักอย่าง (หัวเราะ) แต่ที่อยู่รอดมาได้ เคยมีคนอธิบายว่า การมาซื้อหนังสือในร้านแบบนี้มันทำให้ได้สัมผัสอย่างอื่นนอกจากแค่มาซื้อ คือสัมผัสทางหู ทางตา ทางกลิ่น ผมว่ามันมีคาแรกเตอร์ค่อนข้างชัดเจน บางทีเข้ามาเขาไม่จำเป็นต้องมาซื้อ แต่สนุกกับการได้มองนั่นมองนี่ มีบรรยากาศเฉพาะตัวพอสมควร จึงกลายเป็นว่าไปที่อื่นได้ส่วนลด แต่มาที่นี่ได้อีกแบบหนึ่งแทน อีกแง่หนึ่งผมรู้สึกว่าพอคนทำมาอยู่ร้านด้วย มันมีปฏิสัมพันธ์อีกแบบหนึ่ง เป็นแบบมนุษย์ต่อมนุษย์ ผมคิดว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ผมต้องอยู่มากกว่าใคร ฉะนั้นมันจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ผมต้องมีความสุขที่จะอยู่กับมันด้วย ฉะนั้นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในร้าน เพลงที่เปิด รูปที่แขวน ผมถือว่าผมชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพอผมทำด้วยความรู้สึกอย่างนี้ คือเราก็ซื่อสัตย์กับตัวเองนะ”
ส่วนร้านหนังสือของเรายิ่งมีบุคลิกที่แตกต่างออกไปอีก กิตติชัยบอกว่า ร้านหนังสือของเรามีบุคลิกแบบนักกิจกรรม “เรามีนักคิด นักกิจกรรมหลายคนมานั่งคุยกัน อย่างงาน ‘เทศกาลหนังสือของนักอ่าน’ ก็เกิดจากคนที่มานั่งคิดกันว่า หนังสือปาจารยสารมันเยอะนะ โละดีมั้ย (หัวเราะ) ” ด้วยบุคลิกและลักษณะของร้านหนังสือเล็กๆ มีความแตกต่างกันอย่างนี้นี่เอง จึงมีเสน่ห์ในการชักชวนหนอนหนังสือให้ได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศของร้าน เมื่อลองเอ่ยถามถึงลักษณะของร้านหนังสือเล็กๆ กิตติชัยบอกว่าร้านหนังสือเล็กๆ ต้อง “อยู่ให้ได้ อย่าบ้าอุดมการณ์เกินไป เพราะการอยู่ให้ได้มันรักษาความฝันของเราไว้ อย่างน้อยหาส่วนที่ทำให้เราอยู่ได้สัก ๓๐-๔๐ เปอร์เซ็นต์ ร้านหนังสือควรมีบรรยากาศของความเป็นร้านหนังสือ ไม่ใช่เข้าไปแล้วมีแต่หนังสือเฉยๆ ซึ่งคงขึ้นอยู่กับเจ้าของ อย่างร้านหนังสือเดินทางซึ่งมีลักษณะทำให้นักเดินทางไปที่นั่นเป็นนักเดินทางที่ครุ่นคิด เพราะมีหนังสือที่เอาไว้อ่านตอนเดินทาง คือต้องสร้างบุคลิกของร้านหนังสือให้ได้”
นอกจากการสร้างบรรยากาศหรือบุคลิกของร้านหนังสือให้ได้แล้ว วาด รวีบอกว่า “ร้านหนังสือเล็กๆ ผมคิดว่ามีเสน่ห์ที่สุดเท่าที่เคยสัมผัสมาน่าจะเป็นร้านที่เจ้าของทำเอง และเจ้าของเป็นคนอ่านหนังสือ เป็นคนรักหนังสือ เสน่ห์มันจะอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าผลลัพธ์หรือรูปร่างหน้าตามันจะออกมายังไง บรรยากาศร้าน ลักษณะการวาง ชั้นหนังสือ เมื่อไหร่ที่คนทำร้านหนังสือชอบอ่านหนังสือมันจะสะท้อนออกมาเอง แล้วสิ่งที่สะท้อนออกมาที่สำคัญมากคือ เขาจะรู้จักหนังสือของเขา แนะนำได้ พูดคุยได้ แลกเปลี่ยนได้ นั่นผมคิดว่าเป็นกระบวนการที่มีคุณค่าที่สุดแล้วสำหรับคนที่เริ่มอ่านหนังสือใหม่ๆ”
ร้านหนังสือเล็กๆ ในโลกใบใหญ่
(ร้านหนังสือของเรา)
การดำรงอยู่ให้ได้ในสังคมยุคปัจจุบัน ดูจะเป็นเรื่องยากเหลือเกินสำหรับร้านหนังสือเล็กๆ ทั้งในเรื่องส่วนแบ่งทางการตลาดกับร้านหนังสือใหญ่ๆ ที่เปิดขึ้นมากมายหลายสาขาในห้างสรรพสินค้า หรือตามมุมถนนอันจอแจ อีกทั้งยังงานสัปดาห์และงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติที่จัดขึ้นปีละสองครั้ง เหล่านี้ย่อมมีผลต่อการคงอยู่ของร้านหนังสือเล็กๆ บ้างไม่มากก็น้อย แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาก็ยังเลือกที่จะยืนหยัดคงอยู่
ประโรมผู้ดูแลร้านโกมลมองว่า ร้านหนังสือใหญ่ๆ อาจจะมีหนังสือให้เลือกมากกว่า “แต่ร้านเล็กๆ มันมีบางมุมที่น่าสนใจ มีบรรยากาศที่เป็นมิตรมากกว่าร้านใหญ่ๆ ที่นี่เราพูดคุยกันได้ ถ้าลูกค้าต้องการหนังสือที่เราไม่มีจำหน่าย เราก็สามารถหาให้ได้ ซึ่งบรรยากาศพวกนี้มันเป็นความเอื้ออาทรกัน” ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ได้คิดว่ามันจะต้องแข่งขันกับร้านหนังสือใหญ่ๆ “เราก็ขายของเราไป ไม่ได้คิดจะแข่งกับใคร ซึ่งถ้าคิดเรื่องการแข่งขันเราก็เครียดไปกับเขาด้วย เราอาจได้เปรียบเพราะเรามีหนังสือของเราเองด้วย” สำหรับร้านศึกษิตสยาม วรนุชบอกว่า “ฉันชอบนะที่มีร้านหนังสือเปิดใหม่ อยากให้เปิดเยอะๆ เพราะทั้งบีทูเอส ซีเอ็ด นายอินทร์ จะขายหนังสือของเขาเป็นหลักอยู่แล้ว ไม่ค่อยมีผลกระทบกับร้านเราเท่าไหร่ แล้วถ้ายิ่งเปิดเยอะๆ มันก็ยิ่งทำให้คนเข้าถึงหนังสือได้เยอะขึ้น จะอ่านประเภทไหนก็แล้วแต่ขอให้เขาได้อ่านก่อน คือฉันเชื่อว่า เมื่อคนอ่านจนถึงระดับหนึ่งเขาจะมีพัฒนาการของเขาไปเอง สมมุติว่าเขาอ่านนิยายอีโรติกอยู่ สักพักเขาก็ต้องเปลี่ยน ใครมันจะทนอ่านอีโรติกอยู่ได้ตลอดชาติ” แต่สำหรับเรื่องการแข่งขันทางการตลาด เธอบอกว่า “พวกใหญ่ๆ เขาแข่งกันจริง แต่พวกเราไม่ได้อยู่ในเส้นทางของเขา คือมันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมาก ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาเพราะเขาเลือกมาที่นี่ บางคนไปห้างเพราะอยากไปดูหนังสือใหม่ๆ แปลกๆ แต่ถ้าจะหาหนังสือแนวที่อ่านเขาก็จะมาร้านเรา เพราะเขาสามารถเลือกได้เยอะกว่า”
ร้านหนังสือใหญ่ๆ ในมุมมองของเจ้าของร้านหนังสือเดินทางบอกว่า “ผมไม่ได้มีอคติอะไรกับเขานะ บางครั้งผมยังเดินเข้าร้านเขาเลย เข้าไปดูว่ามีอะไรบ้าง update ตัวเอง ไม่ได้รู้สึกอิจฉาและไม่ได้รู้สึกต้องแข่งกับเขาด้วย เพราะรู้ว่าตัวเองแข่งกับเขาไม่ได้ ถึงจุดหนึ่ง พอเขามองว่าหนังสือเป็นสินค้า เขาก็ต้องเป็นธุรกิจจริงๆ ต้องทำกำไรเพื่อเลี้ยงดูคนของเขา ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดอะไร เพียงแต่ว่าบางทีมันน่าเสียดายเหมือนกันที่ทำให้หนังสืออีกจำนวนหนึ่งถูกเขี่ยตกไป เพราะว่าไม่ถูกจัดในหมวดเหล่านี้” ๑๐ เดซิเบลพูดถึงร้านหนังสือใหญ่ๆ อีกแง่มุมหนึ่งว่า “หนังสือบางเล่มออกมาปุ๊บเอาสันออกเลยบนชั้นวาง เหมือนเล่นซ่อนหา ก็คิดว่าทำไมระบบอย่างนี้มันมีอยู่ในประเทศไทย ถ้าสำนักพิมพ์ยอมจ่าย ๕ เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้ตัวเองอยู่ในพื้นที่หน้าร้านได้นานๆ ผมรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องในการเพิ่มภาระให้คนอ่าน แทนที่คุณจะเอา ๕ เปอร์เซ็นต์ไปลดให้ลูกค้า”
สุรพล จากร้านหนังสือประตูสีฟ้ามองไปถึงการลดราคาของร้านหนังสือใหญ่ๆ “เรื่องการลดราคา ถ้าในร้านใหญ่ลด ๑๕ เปอร์เซ็นต์ ร้านหนังสือเล็กๆ ก็ตายแล้ว เพราะปกมันราคาเดียวกัน ลูกค้าจะได้ลดเปอร์เซ็นต์แน่นอน คนก็ไม่ค่อยมาซื้อตามร้านเล็กๆ” กิตติชัยแห่งร้านหนังสือของเราบอกว่า ร้านหนังสือใหญ่ๆ “อย่างน้อยเขาก็ขายหนังสือ ผมเองก็เข้าร้านเขานะ ข้อดีคือเขากระจายหนังสือ แต่เขาไม่คิดที่จะสร้างวัฒนธรรมการอ่านที่เข้มข้น เพราะเขาต้องคิดเรื่องการอยู่ได้ กิจกรรมการขายของเขาจึงมักฆ่าร้านขนาดเล็กด้วยการลดราคา สมมุติว่าผมมีงบซื้อหนังสือเดือนละห้าร้อยบาท เจอหนังสือลดราคากับหนังสือวรรณกรรมออกใหม่ดีมาก ผมก็ต้องชั่งใจ ไอ้วรรณกรรมเดี๋ยวซักปีสองปีมันคงลดราคา (หัวเราะ) เราเอาหนังสือลดราคาก่อน ก็หมดงบแล้ว คือยิ่งหนังสือขยะออกมาเยอะเท่าไหร่ งบประมาณก็หมดไปกับหนังสือขยะมากเท่านั้น ส่วนหนังสือดีๆ เอาไว้ก่อน นั่นก็เพราะโครงสร้างธุรกิจหนังสือมันเป็นแบบเดี๋ยวก็ลดราคา เดี๋ยวก็มีงานหนังสือ หนังสือใหม่มีราคาแพงมากเมื่อเทียบกับรายได้ของคนส่วนใหญ่ของประเทศ ผมเคยไปอินเดียหนังสือมันถูกมากเลย ซึ่งผมไม่รู้รายละเอียดว่าเกี่ยวกับเรื่องราคากระดาษ ภาษีกระดาษ การส่งหนังสือให้สายส่ง การผูกขาดเชนสโตร์ หรือแฟรนไชน์หนังสือต่างๆ มันแพงขนาดไหนถึงทำให้หนังสือมันแพงโดยไม่จำเป็น ที่ผมรู้สึกเจ็บใจคือ งานสัปดาห์หนังสือปีที่แล้วหนังสือมันลดราคา ๕๐-๗๐ เปอร์เซ็นต์ มันหมายความว่าหนังสือที่เราซื้อไปแบกรับต้นทุนการผลิต คือเขาตั้งราคามาเพื่อแบกรับต้นทุนก่อน สมมุติพิมพ์ ๒,๐๐๐ เล่ม ขายได้ ๕๐๐ เล่มก็คุ้มแล้ว คือไม่รู้ว่าเป็นหลักทางธุรกิจหรือเปล่า แต่ถ้าถามในฐานะที่ผมไม่ได้เป็นคนผลิตหนังสือ ผมรู้สึกว่าทำไมเขาใจร้ายกับเราขนาดนี้”
สำหรับจำนงค์ ศรีนวล ผู้จัดการทั่วไปของร้านหนังสือริมขอบฟ้า มองว่า “งานสัปดาห์หนังสือมันเหมือนกับงานผู้ผลิตพบผู้บริโภค เป็นการขายตรง มีผลในแง่ของการระบายสต๊อค คือหนังสือที่ไปวางตลาดแล้วกลับมามันอยู่ในสภาพ ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ คนที่เขาต้องการซื้อเพื่ออ่านจริงๆ ก็จะไปตรงนั้น และถือว่าเป็นการประชาสัมพันธ์หนังสือด้วย อย่าลืมว่าหนังสือแต่ละประเภทจะมีกลุ่มของเขา และเขาก็ไม่ได้มาซื้อเพราะหนังสือลดราคาอย่างเดียว แต่มันมีการแนะนำหนังสือด้วย ผลคือว่าหนังสือก็ถล่มออกมาตอนนั้น ผลดีของมันคือว่าทำให้วงการหนังสือคึกคัก แต่เขาก็มีกติกาว่า หนังสือใหม่ห้ามลดเกินกี่เปอร์เซ็นต์ เพราะมันจะทำให้วงจรการค้าปกติมันเสียไป”
จากประสบการณ์ทำร้านหนังสือ วาด รวีบอกว่า “งานสัปดาห์หนังสือมันมีอยู่แล้ว พอระบบร้านหนังสือโดยรวมมีปัญหาคนก็เข้าไปหาที่งานเยอะ ทำให้งานมีขนาดใหญ่ขึ้น ระบบมันมีปัญหางานถึงเป็นอย่างนี้ ตอนผมทำร้านอยู่สยาม จะมีผลกระทบช่วงเดือนเมษายน เพราะตรงกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ด้วย ร้านเล็กๆ ในกรุงเทพฯคงได้รับผลกระทบบ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้ขาดความอยู่รอด มีปัจจัยอื่นที่มาเป็นตัวชี้ขาดให้ร้านอยู่ได้หรือไม่ได้ เช่น เรื่องการแข่งราคา เรื่องการตัดราคา เรื่องการไม่ส่งหนังสือให้ร้านเล็กๆ”
สุรพลเองก็เคยคุยกับทางสายส่งและสำนักพิมพ์ว่า เป็นไปได้ไหมในช่วงงานสัปดาห์หนังสือจะขอลดราคาให้กับร้านหนังสือเล็กๆ เท่ากับในงานแค่ ๒๐-๓๐ เปอร์เซ็นต์ “ซึ่งน่าจะยุติธรรมดี ไม่งั้นคนก็แห่ไปซื้อแต่ในงาน แต่ก็ไม่ได้ ไม่มีใครยอมลดให้ ถ้าไม่ลดแล้วใครจะมาซื้อหนังสือของผม” ซึ่งร้านหนังสือบางร้านอาจไม่ได้มีการส่งเสริมการขายอื่นใดนอกจากบรรยากาศที่ชวนเข้ามานั่งอ่านหนังสือเงียบๆ โดยอาจมีปัจจัยอื่นเข้ามาช่วยให้ร้านอยู่ได้ เช่นกาแฟหรืออาหาร ขณะที่บางร้านอาจมีการจัดกิจกรรมเสวนา หรือการลดเปอร์เซ็นต์ให้ลูกค้าตามสมควร หรือมีช่วงเทศกาลลดราคาประจำปีของร้าน
ฟังดูแล้วเหมือนร้านหนังสือเล็กๆ จะถูกกระทำจากทุกทิศทุกทาง แต่พวกเขาก็ยังเลือกที่จะทำร้านหนังสือเล็กๆ ของพวกเขากันต่อไป ใช่หรือไม่ว่า คงจะมีอะไรบางอย่างที่แอบซ่อนและงอกงามอยู่ในจิตใจของพวกเขา
ดุลยภาพในความงดงามของร้านหนังสือเล็กๆ
(ร้านหนังสือริมขอบฟ้า)
ในท่ามกลางสังคมโลกใบใหญ่ ร้านหนังสือเล็กๆ อาจเป็นเพียงพื้นที่หนึ่งของความฝันที่พยายามผสานเข้ากับโลกของความเป็นจริง แม้จะเป็นสิ่งที่ยากยิ่งก็ตาม วาด รวีบอกเล่าถึงประสบการณ์ทำร้านหนังสือใต้ดินว่า เหตุที่เลิกเพราะ “มันขาดทุน ร้านใต้ดินทำได้ดีที่สุดก็คือเสมอตัว ปีที่สองผมต้องมาดูร้านเอง เหลือผมคนเดียว กินนอนอยู่ที่ร้าน จริงๆ นอนก่ายหน้าผากคิดอยู่นานมาก เพราะพอทำจริงๆ แล้วร้านหนังสือมันเอาชีวิตเอาเวลาเราไปพอสมควร คือเราเป็นนักเขียนก็อยากให้เวลากับการเขียนหนังสือ แต่พอมีร้านมันเอาเวลาจากเราไปมากๆ ก็คิดว่าจริงๆ แล้วเราอยากทำอะไรกันแน่ เพราะเรามีเวลาเขียนหนังสือน้อยมาก อีกด้านมันก็หนักหนาพอสมควรที่ต้องสู้ให้พ้นเส้นแดง มันก็อยู่ในภาวะนั้น จนกระทั่งจุดชี้ขาดก็คือ จุฬาฯ ขึ้นค่าเช่าก็ตัดสินใจเลิก เพราะไม่เห็นทางชนะเลย”
วาด รวีบอกว่า ตอนทำร้านหนังสือมันมีภาพหลายๆ ภาพที่ทำให้เกิดกำลังใจที่จะทำร้านต่อไป “มีลูกค้าหลักๆ เป็นกลุ่มเด็กมัธยมปลายที่มาติวหนังสือ ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนที่กินเหล้า สูบบุหรี่ แต่มันเสือกเป็นเด็กนักเรียนที่อ่านวรรณกรรมหนักๆ เป็นขาประจำอยู่หลายกลุ่ม นี่คือกลุ่มคนหลักๆ เลยที่ทำให้เรามีกำลังใจทำร้าน คือกลุ่มคนรุ่นใหม่ๆ อายุไม่ถึงยี่สิบที่มันอ่านหนังสือ ตอนเราอายุเท่ามันเรายังไม่อ่านเลย และก็ไม่ใช่เด็กเรียนด้วยนะ มันเป็นเด็กเกเรด้วยซ้ำ มันเป็นภาพดีๆ ที่เราได้เห็นระหว่างทำร้าน หรือมีอยู่วันหนึ่ง ตอนเย็นผมเฝ้าร้านอยู่คนเดียว มีแม่กับลูกสาวคู่หนึ่งเดินหลงขึ้นมาเพราะมาหาห้องน้ำ นึกว่าในร้านเป็นทางเข้าห้องน้ำ ก็ได้เข้าห้องน้ำเพราะร้านเรามีห้องน้ำ เขามายืนดูหนังสือแก้เขิน ดูหนังสือเสร็จปรากฏว่าชอบใจสั่งเบียร์มานั่งกินกันสองคนแม่ลูก และสุดท้ายก็ซื้อพี่น้องคารามาซอฟกลับไป มันเป็นภาพที่ถ้าเราไม่เปิดร้านหนังสือเราจะไม่เห็นภาพนี้ เป็นนักอ่านที่เราคาดไม่ถึง ซึ่งมันยังมีภาพที่เราคิดไม่ถึงเกิดขึ้นที่ร้านอีกเยอะ”
เมื่อถามถึงการดำรงอยู่ของร้านหนังสือเล็กๆ ในสังคมปัจจุบัน วาด รวีบอกว่า “ผมคิดว่าคนที่รักจริงเขาจะมีทางทำให้อยู่ได้ แต่แน่นอนว่าแรงเสียดทานมันก็มี ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันไม่ยากถึงขนาดเป็นไปไม่ได้ คนที่จริงพอสมควรอาจจะอยู่ได้ แต่เขาก็ต้องยอมแลกที่จะอยู่ เพราะการทำร้านหนังสือมันเหมือนถูกขังคุกเหมือนกันนะ ไปไหนไม่ได้ ต้องเฝ้าต้องดูแล ประคับประคองทะนุถนอมมัน ไม่ได้มีเวลาไปเที่ยวที่ไหน แต่เชื่อว่ามันมีทางสำหรับคนที่ทำจริง แม้ว่ามันจะมีแรงเสียดทานหรือปัจจัยที่ทำให้ยุ่งยาก”
(ร้านประตูสีฟ้า)
สุรพลเจ้าของร้านหนังสือประตูสีฟ้าบอกว่า ถึงแม้การทำร้านหนังสือเล็กๆ มันจะอยู่ยาก แต่ก็ยังเลือกที่จะทำอยู่เพราะร้านหนังสือ “มันเป็นธุรกิจที่ดี ถ้าอยู่ได้ก็ยิ่งดี มันมีประโยชน์ เราเองก็ได้ข้อคิดจากตัวหนังสือเองด้วย คุณค่ามันอยู่ตรงนี้ ได้พบเพื่อน เป็นการเข้าสังคม ได้เจอคนที่คิดไปในทางเดียวกัน คนที่สนใจหนังสือแนวนี้คิดว่าน่าจะมีคนที่คุยกันสนุกๆ ได้ เราก็ได้ความรู้จากคนมานั่งคุยบ้าง แต่ถ้าขายหนังสืออย่างอื่นมากเราก็ไม่รู้จะคุยกับเขายังไง บางอย่างที่เขาซื้อเราก็คุยไม่เป็น ซึ่งมันก็มีข้อดีคือในเมื่อเราไม่ถนัด ตัดปัญหาก็คือไม่ต้องขาย คือถ้าจัดกิจกรรมอย่างอื่นไปด้วยก็อยู่ได้ ถ้าขยันและค่าใช้จ่ายน้อย ไม่น่าจะอยู่ยากนัก”
อำนาจ เจ้าของร้านหนังสือเดินทางบอกเล่าถึงประสบการณ์ ๘ ปีของการทำร้านหนังสือว่า “ผมมาค้นพบว่า ในบรรดาคนที่เขาชอบอ่านหนังสือ เขาชอบบรรยากาศอย่างนี้มากกว่าการไปร้านหนังสือใหญ่โตที่มีหนังสือมากมายแล้วเขาแทบจะหาหนังสือที่ต้องการไม่เจอ พอเราคัดหนังสือมาระดับหนึ่งแล้ว คนจะนึกถึงร้านหนังสือเดินทางว่ามาที่นี่แล้วจะได้อะไร คือผมก็ไม่มีหนังสือหลายเล่มที่ร้านอื่นมี แต่ผมก็มีหนังสืออีกหลายเล่มที่ร้านอื่นเขาไม่มีเหมือนกัน ถามว่าในปีแรกๆ อยู่ได้มั้ย บอกตรงๆ ว่าเหนื่อย คือร้านหนังสือเป็นธุรกิจที่อยู่ยาก ถ้าใครที่อยู่ได้แสดงว่าต้องมีเงินถัง ซึ่งหลายคนก็มองผมอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ผมนอนกับร้านหนังสือมาตลอด ๘ ปี ผมไม่ได้มีรถ ไม่ได้มีบ้าน ถามว่าเหนื่อยมั้ย แง่หนึ่งมันก็เหนื่อยในทางกายภาพ แต่มันก็เป็นกระบวนการที่ทำให้ผมต้องมองตัวเองอีกแบบหนึ่ง ต้องนิยามตัวเองและสิ่งที่ทำอีกแบบหนึ่ง คือพอถึงจุดหนึ่งผมค้นพบว่า นิยามความสุขมันไม่ได้ผ่านมาทางเรื่องเงิน ผมอยู่ที่เดิมมาสี่ปี มันก็เริ่มมีอาการบางอย่าง คือตาเริ่มเป็นต้อ เพราะแสงแดดสะท้อนจากป้อมเข้าร้านทุกวัน แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่ง ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วลุกไม่ไหว พอไปโรงพยาบาลหมอบอกว่า คุณติดเชื้อในกระเพาะ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร หมอบอกว่าเรามีความเครียดสะสม มันก็เลยนำไปสู่การตัดสินใจอะไรบางอย่าง ผมมาคิดว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่เราต้องการจากการทำร้านหนังสือคือชีวิตที่สมดุลไม่ใช่เหรอ แต่ทุกวันนี้ในหัวผมมันมีตัวเลขหมุนอยู่ตลอดเวลาเลย วันนี้ยอดขายเท่าไร การจะปิดร้านไปเที่ยวหนึ่งวันเป็นเรื่องใหญ่มากเลย ตอนอยู่ถนนพระอาทิตย์ผมเปิดร้านเจ็ดวันต่อหนึ่งสัปดาห์ แล้วถามว่าชีวิตจริงๆ เราต้องการอย่างนั้นเหรอ คือพอถึงจุดหนึ่งร่างกายเริ่มแสดงออก ตัวผมเองก็ขอแค่ว่าขอให้ร่างกายแข็งแรง อย่างอื่นเชื่อว่าผมสามารถหาเอาได้ตราบใดที่ร่างกายแข็งแรง”
แต่ความจริงแล้วการทำร้านหนังสือเล็กๆ สักร้านหนึ่งมันสามารถอยู่ได้จริงหรือ อำนาจบอกว่า “ความจริงมันอยู่ยาก แต่มันก็อยู่ได้ แต่ต้องอธิบายว่าจะอยู่ยังไง แต่ถ้ามีใครคนหนึ่งลุกขึ้นมาทำร้านหนังสือเพื่อที่ว่าฉันจะเก็บสตางค์ซักก้อนหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันฉันก็อยากจะอยู่สบายๆ ผมว่ามันไม่ได้ คือต้องอธิบายด้วยว่าใช้ชีวิตยังไง คือเราต้องยอมรับเงื่อนไขธุรกิจหนังสือเสียก่อนว่า มันไม่ใช่ระบบที่เราสามารถสร้างกำไรต่อหน่วยได้เยอะเพราะว่าเราต้องเอาหนังสือจากคนอื่นมาขาย แล้วราคาหนังสือเราก็กำหนดเองไม่ได้ มันถูกคนอื่นกำหนดมาก่อน สองเงื่อนไขนี้มันเป็นตัวกำหนดรายได้คุณว่าอยู่ที่เท่าไร ถ้าคิดแบบเป็นจริงเป็นจัง คือถ้าหากรายได้คุณเท่านี้ คุณจะต้องใช้ชีวิตยังไงมันถึงจะอยู่ได้ ผมว่านี่คือคำถามแรกๆ ที่จะนำไปสู่คำตอบที่ว่า คุณจะทำร้านหนังสือรอดหรือไม่ อีกอย่างที่สำคัญมากคือ คุณควรจะมีคนรักที่เข้าใจกับทางเลือกของคุณ ผมโชคดีที่คนที่ผมรักเขาเข้าใจผม และพร้อมจะอยู่กับผม”
ร้านหนังสือเล็กๆ แห่งนี้เดินทางมานานถึง ๘ ปีแล้ว อำนาจบอกเล่าความรู้สึกว่า “แปดปีที่ผ่านมามันชัดเจนในตัวเองว่าร้านหนังสือมันอยู่ได้ หลายคนเขาอาจจะมองภาพว่าคนไทยไม่อ่านหนังสือ มันอาจจะยาก ซึ่งผมก็ยอมรับว่ามันยาก แต่มันไม่ได้ยากจนเป็นไปไม่ได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลมันต้องผ่านการคิด ผ่านการดัดแปลง ผ่านการนิยามชีวิตด้วยว่า เราจะเอายังไงแน่ ผมว่ามันไม่ใช่แค่การทำร้านเพื่อสนุกซักปีสองปี สำหรับผมนะ ผมมองว่ามันเป็นอาชีพ พูดอีกทีก็คือมันเป็นชีวิตเราจริงๆ ทีนี้ถ้านิยามมันได้หรือตอบตัวเองได้ว่า ทำแล้วต้องการอะไรจากมันแน่ ผมว่าโอเค”
ถ้ามีใครสักคนอยากจะทำร้านหนังสือเล็กๆ ของตนขึ้นมา อำนาจแนะนำว่า “ผมเห็นด้วยนะ อยากให้มีร้านแบบนี้เยอะๆ คือไม่จำเป็นต้องเป็นหนังสือเดินทางก็ได้ อาจจะเป็นดนตรี เด็ก เรื่องผู้หญิง หรือศิลปะอย่างเดียว ทำให้เป็น hard core อย่างเดียวไปเลย ผมว่าดีนะ ผมว่าคนที่อยู่ในวงการหนังสือมีเกินครึ่งหรือเปล่าที่มองว่าหนังสือเป็นสินค้าทางปัญญา ผมคิดว่าเขามองมันเป็นแค่สินค้าชนิดหนึ่งที่ต้องทำกำไรสูงสุด มาแล้วขายไป ถ้าเป็นอย่างนี้คนที่ทำสำนักพิมพ์เล็กๆ ควรจะต้องมีร้านหนังสือเป็นของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีโลเกชั่นที่ดีมากก็ได้ แต่ต้องอยู่ในที่ที่คนเขาจะไปหาคุณได้”
และนี่คือเรื่องราวของร้านหนังสือเล็กๆ พื้นที่หนึ่งของความฝันที่พยายามผสานรวมเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง…
เอกสารประกอบการเขียน
๑. นิตยสารสานแสงอรุณ ฉบับ เดิน วิถีเท้า-วิถีแห่งจิตวิญญาณ กันยายน-ตุลาคม ๒๕๕๐
๒. นิตยสารถนนหนังสือ ฉบับที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๓๐
ร้านหนังสือเดินทาง ถนนพระสุเมรุ บวรนิเวศ โทร. ๐๒-๖๒๙-๐๖๙๔ (เปิดเวลา ๑๐.๐๐-๒๐.๐๐ น. หยุดวันจันทร์)
ร้านศึกษิตสยาม ถนนเฟื่องนคร ตรงข้ามวัดราชบพิธฯ โทร. ๐๒-๒๒๒-๕๖๙๘ (เปิดเวลา ๙.๐๐-๑๘.๐๐ น. หยุดวันอาทิตย์)
ร้านหนังสือริมขอบฟ้า ใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนปรินายก โทร. ๐๒-๖๒๒-๓๕๑๑ (เปิดทุกวัน ๑๐.๐๐-๑๙.๓๐ น.)
ร้านโกมล ซอยบ้านช่างหล่อ ถนนพรานนก โทร. ๐๒-๔๑๒-๐๗๔๔ (เปิดเวลา ๘.๓๐-๑๘.๐๐ น. หยุดเสาร์-อาทิตย์)
ร้านหนังสือประตูสีฟ้า ซอยเจริญมิตร (เอกมัย ๑๐) โทร. ๐๒-๗๒๖-๙๗๗๙ (เปิดทุกวัน ๙.๐๐-๒๑.๐๐ น.)
ร้านหนังสือของเรา สวนเงินมีมา คลองสาน โทร. ๐๘๔-๖๔๓-๙๒๑๙ (เปิดทุกวัน ๙.๐๐-๒๐.๐๐ น.)
ร้านหนังสือก็องดิด ถนนตะนาว หลังอนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา (เปิดทุกวัน ๑๐.๐๐-๒๒.๐๐ น.)
ที่มา: สานแสงอรุณ ปีที่ ๑๓ ฉบับที่ ๔ กรกฎาคม-สิงหาคม ๒๕๕๒