รู้ลึกเรื่้อง ปราบดา

สัมภาษณ์ปราบดา หยุ่น ครั้งนี้ เราสัมภาษณ์เขาตั้งแต่ปี สิงหาคม 2543 ซึ่งตอนนั้น เขากำลังมีงานเขียนทยอยพิมพ์เป็นตอน ๆ ในหนังสือ LIPS เรื่อง "เมืองมุมฉาก" ว่ากันว่าตอนนั้นชื่อเสียงของเขายังไม่เป็นที่รู้จักในหมู่คนอ่าน หรือนักวิจารณ์มากนัก จนกระทั้งผลงานเล่มแรกที่เขียนจบใน LIPS นั่นก็คือ "เมืองมุมฉาก" ได้รับการรวมเล่มจากสำนักพิมพ์กายมารุต ต่อมา "ความน่าจะเป็น" รวมเรื่องสั้น ที่ถูกยกย่องมากที่สุดจากนักวิจารณ์ หลังจากตีพิมพ์ครั้งแรกได้ไม่นาน ปรากฏการณ์นักวิจารณ์ทุกสำนัก ทุกทฤษฎีต่างให้ความสนใจเขียนถึงอย่างพร้อมเพรียงกัน และส่วนใหญ่ต้อนรับงานเล่มนี้อย่างอบอุ่น จนกระทั่งเวลานี้ สิงหาคม 2545 รวมเรื่องสั้น "ความน่าจะเป็น" ซึ่งพิมพ์มาแล้ว 11 ครั้ง (ก่อนได้รางวัลซีไรต์) ได้ประกาศให้เป็นเรื่องสั้นดีเด่นรางวัลซีไรต์ ประจำปี 2545
นี่เป็นบทสัมภาษณ์ชิ้นแรก ๆ ที่เราสัมภาษณ์ปราบดา และน่าจะเป็นบทสัมภาษณ์แรก ๆ ที่ทำให้คนคุ้นชื่อนักเขียนหนุ่มไฟแรงคนนี้
AW : อยากจะให้เล่าถึงตัวเองสักนิด
ปราบดา : ก็…ผมเรียนที่เทพศิรินทร์ตอน ม.3
AW : ผมก็เรียนเทพศิรินทร์
ปราบดา : อ๊ะ…จริงหรือฮะ (หัวเราะ) ปีไหนครับ
AW : เอ่อ…จบปี 33
ปราบดา : เคยทำรั้วรำเพยไหมครับ (จุลสารภายในของโรงเรียน)
AW : ไม่เคยครับ แต่เพื่อนผมทำอยู่
ปราบดา : ผมทำรั้วรำเพยตั้งแต่เล่มแรก ผมจบม.3 แล้วก็ไปเรียนต่อที่อเมริกา เรียนที่อเมริกามา 11 ปี ประมาณนี้ แล้วก็กลับมาเป็นทหารอยู่ 6 เดือน
AW : สมัครเป็นทหาร ?
ปราบดา : ใช่ ๆ เรียนปริญญาตรีเนี่ยจะเป็นแค่ 6 เดือน
AW : ตอนเป็นทหารเป็นไงบ้างครับ
ปราบดา : ก็มี่ส่วนดีบ้าง (หัวเราะ) แต่ว่าเป็นส่วนดีที่เราต้องหามุมมองเอาเองนะครับ ว่าส่วนไหนมันดี
AW : ไปเจอกฎที่ค่อนข้างงี่เง่า?
ปราบดา : แต่จริง ๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรเลวร้ายมากนัก แต่ว่ามันก็มีบางคนที่น่าสงสาร จะถูกแกล้ง แต่ก็ไม่ได้โดนกับตัวเอง แต่โดยสภาพทั่วไปก็ไม่ลำบากลำบนอะไร
AW : คือผมไม่รู้ว่าสภาพทหารเกณฑ์เป็นยังไงเพราะเรียน ร.ด. มา เรียน ร.ด. ก็จะมีกฎแบบนี้เหมือนกัน เราก็พยายามทำให้ตัวเองน่าหมั่นไส้น้อยที่สุด
ปราบดา : ใช่ ก็ให้มันผ่าน ๆ ไป
AW : แล้วจากเกณฑ์ทหาร
ปราบดา : จากเกณฑ์ทหารก็เริ่มเขียนหนังสือ
AW : ประมาณปี
ปราบดา : ปลายปีที่แล้ว (พ.ศ.2542)
AW : ก็ไม่นานนี้เอง
ปราบดา : เรื่องสั้นเรื่องแรกลงที่แพรวสุดสัปดาห์ ชื่อ "คนนอนคม" เอ่อ ก็ส่งไปทางไปรษณีย์ธรรมดา จากนั้นก็เริ่มเขียนมาเรื่อย ๆ จนตอนนี้ก็ค่อนข้างประจำแล้ว เพราะดูเหมือนว่าเขาลงถี่ แต่ก่อนที่ผมจะเขียนเรื่องสั้น ผมเขียนวิจารณ์หนังในเนชั่น วีคเอนด์ เป็นภาษาอังกฤษ เมื่อก่อนเขียนถี่ เนชั่น วีคเอนด์นี่ออกทุกวันศุกร์ ก็เขียนทุกฉบับ แต่ตอนนี้ลดลงมาเหลือเดือนละสองครั้ง
AW : คงเพราะงานเยอะขึ้น ?
ปราบดา : ใช่
AW : เขียนเรื่องสั้นเป็นภาษาอังกฤษด้วยหรือเปล่า
ปราบดา : เคยเขียนครับ ตอนอยู่เมืองนอกแต่ไม่ได้จริงจัง คือเขียนให้ครูอ่านครับ ไม่ได้ส่งไปลงหนังสือ ก็เคยได้ลงหนังสือของโรงเรียนบ้าง คืออย่างนี้…ผมเรียนศิลปะ แล้วก็เรียนกราฟฟิคดีไซค์ ก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะเขียนหนังสืออย่างจริงจัง เพราะมองอนาคตไม่เห็นว่าเราจะเป็นนักเขียนได้อย่างไร โดยเฉพาะยิ่งอยู่เมืองนอก
AW : เมืองนอกน่าจะง่ายกว่าอยู่เมืองไทยนะ
ปราบดา : ก็มันไม่ใช่ภาษาเราด้วย มันเป็นภาษาที่สอง ก็ย่อมจะถูกจับตามองมากกว่า
AW : อาจจะเป็นซัลมานคนที่สอง
ปราบดา : แต่มันง่ายกว่าในแง่การเสนอความคิด หมายถึงว่าไอเดียเนี่ย เราจะได้หลากหลายกว่า (น่าจะขยายความประเด็นนี้)
AW : ชอบดูหนังด้วย ?
ปราบดา : ชอบดูหนัง เพราะเรียนทำหนังมา
AW : หลักสูตรสั้น ๆ หรือเปล่า
ปราบดา : ไม่ครับ เรียนในมหาวิทยาลัยเลย แต่มันเป็นโรงเรียนศิลปะ การสอนก็จะต่างจากโรงเรียนทำหนังเอ็น.วาย.ยู. มันจะไม่ได้สอนเป็นระบบแบบกระแสหลัก มันก็จะเป็นแบบอาร์ต ๆ ไป ก็สนุก
AW : แล้วเคยทดลองทำหนังหรือยัง
ปราบดา : เคยเข้าไปช่วย…การทำเรื่อง "ปมไหม" แล้วก็ทำหนังสั้น คืออยู่ที่โรงเรียนก็ทำแล้วครับทำหนังสั้น (ถ่ายด้วยฟิล์ม) พออยู่เมืองไทยเนี่ย เรื่องเครื่องไม้เครื่องมือลำบากหน่อยก็ทำเป็นวีดีโอ แต่ไม่ถือว่าทำบ่อย เพราะไม่ค่อยมีเวลา และไม่ค่อยมีแรงบันดาลใจด้วย ต้องรอ
AW : ทำหนังในเมืองไทยค่อนข้างยาก เพราะอุปกรณ์ไม่พร้อม
ปราบดา : ใช่…คือทำหนังจริง ๆ จะยาก
AW : เข้าไปอ่านในเวบไซต์ bangkokcinema.com ให้สัมภาษณ์ว่า หนังในบ้านเรามันไม่ใช่อินดี้ ลักษณะคือรูปแบบใช้สตูดิโอเล็ก ทำหนังต้นทุนต่ำ แต่ว่าเนื้อหาไม่ใช่
ปราบดา : คืออินดี้น่ะ…ความหมายมันเปลี่ยนไป ความจริงมันไม่มีความหมายอะไรเลย มันเป็นแค่คำเรียกของภาพยนตร์ที่สร้างโดยทุนที่หามาเอง หรือว่าสตูดิโอเล็ก ๆ ที่เป็น independent แต่ว่าพอกลายมาเป็นรูปแบบ มันกลายเป็นว่าหนังอินดี้มีรูปแบบขึ้นมา คือภาพที่เราติดมาจากหนังอินดี้ก็จะมาจากทาแรนติโน , หว่องคาไว หรือว่า เทรนสปอตติ้ง มันจะเป็นภาพที่รู้สึกว่านี่ล่ะหนังอินดี้ ซึ่งคนในยุคใหม่จะรับรูปแบบนี้ไปเยอะ แล้วพอทำหนังรู้สึกว่ามันต้องเป็นรูปแบบอย่างนี้ มันเป็นอัลเตอร์
AW : อย่างที่เปรียบเทียบกับ "ชาวนากลับบ้าน" ผนังของ บุญส่ง นาคภู่ ที่ดัดแปลงจากเรื่องสั้นของมหรรณพ โฉมเฉลา) ผมรู้สึกเลยว่าอินดี้ในสายตาของคนทั่วไปมันต้องหวือหวา
ปราบดา : ใช่ อย่างหนังอินดี้บางเรื่องถ้าดึงเนื้อหาออกมาเฉยๆ เนี่ยจะเชยมากหลายเรื่อง แต่ว่าใช้รูปแบบมากลบเกลื่อน ท
AW : พบรู้สึกว่าหลายคนกำลังหลงทางทั้งคนทำหนังทั้งคนเขียนหนังสือ บางคนอาศัยรูปแบบ
ปราบดา : ผมก็อยากรู้เหมือนกันนะว่ารูปแบบการเขียนหนังสือของคนไทย คือผมรู้น้อยมากเลย มันเป็นยังไง
AW : ผมเองก็รู้สึกงงๆ เหมือนกันนะครับ อย่างเขาว่านักเขียนรุ่นใหม่มักจะนำเสนอด้านรูปแบบ มากกว่าเนื้อหา อย่างพยายามจะสร้างอย่างเช่นของคุณวินทร์ เลียววารินทร์ ก็จะจัดรูปแบบเช่นในเรื่องสั้นของเขาจะจัดเอาไว้สองคอลัมน์ ดำเนินเรื่องไปพร้อมกัน
ปราบดา : เป็นเทคนิค
AW : ใช่ครับเป็นเทคนิค แต่เนื้อหาก็ยังพูดถึงเรื่องทั่วไป แล้วคุณปราบดารู้สึกยังไงครับ
ปราบดา : ผมก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน คือผมไม่ได้วิจารณ์ความสามารถในการเขียนของคุณวินทร์ แต่ว่าผมรู้สึกว่า ผมเห็นด้วยที่ว่ามันหนักไปในทางรูปแบบมากกว่าเนื้อหา จริง ๆ แล้วมันเป็นอะไรที่สื่อถึงอะไรที่เป็นวรรณกรรมมาก มันเหมือนเดิม ๆ มาก สื่อถึงคนชั่วคนดี หรือว่าความยากจน หรือว่ารูปแบบของการใช้ชีวิตในสังคม ของคนหลายระดับชั้น จริง ๆ แล้วมันก็เหมือนเดิม ตัวละครก็คล้าย ๆ เดิมอยู่มีเพียงมันมีรูปแบบเพิ่มซึ่งเป็นการได้รับอิทธิพลมาจาก…ดิสคอนสตัคชั่น แล้วก็โพสต์ โมเดิร์นลิสต์ของฝรั่ง
AW : เดิมเนื้อหาคงหลีกพ้นเรื่องแบบนี้ยาก
ปราบดา : ใช่…หลีกยาก
AW : มันขึ้นอยู่กับมุมมองหรือเปล่า
ปราบดา : สิ่งสำคัญที่สุดคือมุมมองของผู้เขียน แล้วก็ความต้องการที่จะเล่นกับภาษา เล่นกับโครงสร้างของเรื่อง
AW : ส่วนค่อนข้างให้ความสำคัญกับมุมมองเวลาเขียน
ปราบดา : คือวิธีการมันก็ช่วยได้ในบางส่วนนะ แต่ว่ามันก็ไม่ควรจะเป็นจุดหลักของการเขียน
AW : แล้วเวลาคุณปราบดาเขียน
ปราบดา : ผมพยายาม…(นึก) คือการที่จะเริ่มเขียน ผมพยายามเซ็ตวิธีให้มันเหมือนงานทุกอย่างที่ผมทำ ไม่ว่าจะเป็นงานหนัง งานศิลปะ ผมจะไม่ได้คิดรายละเอียดไว้เยอะในหัว ว่าเรื่องจะต้องดำเนินไปอย่างนี้ ตัวละครจะมีกี่ตัว แต่มันจะเริ่มเหมือนตอนเด็กเรามีกระดาษเปล่า เราก็วาดรูปเล่น ผมจะเริ่มด้วยการผมมีกระดาษเปล่าตลอด คือเรามีความสามารถในการใช้ภาษาอยู่ เรามีสิ่งที่เราต้องการสื่ออยู่บ้าง แต่เราไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง เราค่อยมารู้ตอนนั้นด้วย (ตอนเขียน) มันก็เป็นความสนุกในการทำงานอย่างหนึ่ง ที่เราได้เรียนรู้ไปในระหว่างที่เราเขียน ผมจะไม่คิดทุกอย่างไปก่อน
AW : หมายถึงคิดโครงเรื่องไว้คร่าว ๆ
ปราบดา : มีโครงเรื่องคร่าว ๆ ไว้ แล้วก็มีตัวเอง
AW : มันหนีไม่พ้นอยู่แล้ว
ปราบดา : ใช่ มันหนีไม่พ้น มันมีตัวเองอยู่แล้ว ก็คือเราแบ่งภาคเป็นหลาย ๆ ภาค
AW : ตั้งความหวังในการเขียนให้กับตัวเองหรือเปล่า
ปราบดา : ไม่ได้ตั้งความหวัง แต่ว่าเป็นงานที่ทำแล้วสนุกที่สุด คือชอบที่สุด แล้วพอทำเสร็จแล้วก็ทำให้รู้สึกสบายใจ เป็นงานเดียวที่ทำเสร็จแล้วอยากฉลอง (หัวเราะ)
AW : นอกจากเขียนหนังสือตอนนี้ทำอะไรหรือเปล่าครับ
ปราบดา : ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากทำงานศิลปะ แต่ก็ไม่ได้ขาย แล้วก็ทำรูปประกอบให้งานตัวเองบ้าง รูปประกอบเขียนที่ Open ตอนนี้ชุดใหม่หลังจากที่ออกหนังสือแล้ว จะลงในแพรว สุดฯ
AW : หนังสือที่จะออกเป็นเรื่องสั้น?
ปราบดา : เป็นเรื่องสั้นครับ เป็นเรื่องสั้น 13 เรื่อง อมรินทร์พิมพ์ แต่ของลิปส์เนี่ยจะออกอาทิตย์หน้า (12 ก.ค. 43) เรื่องเมืองมุมฉาก
AW : ของลิปส์นี่สำนักพิมพ์อะไร
ปราบดา : เป็นสำนักพิมพ์ของลิปส์เลย เป็นเล่มแรกของเขา
AW : รู้สึกว่าเร็วไปไหมครับที่พอเขียนหนังสือแล้วมีการตอบรับกลับมา
ปราบดา : (หัวเราะ) ก็เร็วนะครับสำหรับคนอายุเท่านี้ และเพิ่งเริ่มทำงาน แต่ว่ามันคงมีปัจจัยอื่น อย่างสำนักพิมพ์ก็คงคิดว่าชื่อของเราคงขายได้อะไรอย่างนี้ เลยเกิดปัจจัยเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งบางทีผมก็กังวนใจเหมือนกันที่มันมีปัจจัยเหล่านี้อยู่ แต่เราก็ทำงานไป เรารู้สึกว่าขณะที่เรากำลังผลิตงาน เราไม่ได้ทำงานเพื่อจะพิมพ์รวมเล่ม ก็ช่างเขาถ้าเขาอยากจะพิมพ์ก็ให้เขาพิมพ์ไป
AW : ผมว่าปัจจัยเหล่านี้ควรจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ นะครับ
ปราบดา : ผมรู้สึกว่ามันช่วยในการตื่นตัว ในวงการหนังสือเหมือนกัน โดยเฉพาะคนอายุรุ่นเราเนี่ยฮะ เพราะผมรู้สึกว่ามีน้อยมากเลยที่จะเขียนหนังสือ ที่อาจจะเขียนน่ะมีอยู่ แต่ที่จะได้รับเสียงตอบรับจากในสังคม เพราะว่าวงการหนังสือในเมืองไทย เหมือนเป็นสังคมเล็ก ๆ แล้ว
AW : ค่อนข้างจะเล็ก แล้วก็คนอ่านในแนววรรณกรรมค่อนข้างจำกัด ในตลาดหนังสืออื่น ๆ อย่างหนังสือคอมพิวเตอร์ หนังสือขายดี ก็จะมีตลาดที่กว้างขึ้น
ปราบดา : คือผมคุยกับพี่คนหนึ่งที่ชอบอ่านหนังสือ เขาบอกว่ามันขาดความหลากหลาย
AW : ใช่ครับใช่
ปราบดา : คือยังมีนักเขียนเก่า ๆ เขียนแนวนั้น คือมันไม่มีอะไรกระเตื้อง
AW : แล้วมองงานของปราบดาเองยังไง สไตล์เป็นไง
ปราบดา : (หัวเราะ) พูดยากนะ แต่ที่แน่นอนคือเป็นสไตล์ที่ (นึก) คือผมพยายามเขียนโดยไม่เป็นแนวสอนน่ะ หมายถึงว่ามันจะไม่มีข้อคิดที่แท้จริงอยู่ในงานนี้ ไม่ใช่เพื่อชีวิตแน่นอน (หัวเราะ)
AW : หมายถึงผู้อ่านอ่านจบแล้วต้องคิดต่อ (ไม่มีการป้อน)
ปราบดา : ใช่ หรือว่าต้องคิดไปพร้อมกันกับรูปโครงสร้าง
AW : อย่าง "เพื่อชีวิต" นี่ คุณปราบดาเข้าใจแบบไหนครับ
ปราบดา : (หัวเราะ)
AW : ผมรู้สึกสับสนน่ะครับ เพราะคำว่าเพื่อชีวิตมันมีขอบเขตแค่ไหน (ในงาน)
ปราบดา : อือม…ไม่รู้ คือผมไม่ได้คลุกคลีมากในวงวรรณกรรม แต่มันเหมือนว่ามันมีรูปภาพคนบางอย่างของการเป็นนักเขียนอยู่ในของคนไทย
AW : เดี๋ยวขอขัดจังหวะนิดนะครับ เอาภาพนามธรรมของเพื่อชีวิตของปราบดาก่อน
ปราบดา : ยังไงละ…คือเป็นควันหลงจากยุค…เอ่อ…เขาเรียกอะไรละ สะพายย่ามใส่หมวก ซึ่งมันกลายเป็นว่าการเป็นนักเขียนที่ซีเรียสเนี่ย เป็นนักเขียนที่จริงจังจะต้องเป็นแบบนี้ ซึ่งน่าเสียดาย เพราะงานเขียนมันน่าจะหลากหลายมากกว่านี้
AW : บางคนบอกว่าไม่เขียนเพื่อชีวิตมันก็ไม่รับใช้สังคม มันจะโดนตำหนิว่าไม่เข้าหาสังคม เขียนเรื่องแต่ของตัวเองบ้าง คิดยังไงบ้างครับ
ปราบดา : (คิด) คือในความคิดแบบนั้นผมรู้สึกว่า เขามักจะเจาะปัญหา มองปัญหาสังคมเป็นจุด ๆ แล้วก็มีบางปัญหาที่เขาคิดว่าควรจะเขียนถึงมาก ๆ เช่นปัญหาความยากจน การดิ้นรนของคนในสังคม ความขัดแย้งระหว่างความทันสมัยกับความล้าสมัย ซึ่งผมคิดว่าเป็นการมองปัญหาที่แคบ ผมคิดว่าปัญหาของคนมันมีเยอะกว่านั้นมาก คนรวยก็มีปัญหา คนจนก็มีปัญหา สำหรับผมแล้ว…มันวัดกันไม่ได้ ว่าปัญหาของคุณมากกว่าปัญหาของผมหรือเปล่า สมมติว่าคุณกลายเป็นคนพิการที่พิการดวงตา แล้วอีกคนมีนิ้วเท้า 11 นิ้ว มันวัดกันไม่ได้ครับ ว่าคนไหนน่าเห็นใจกว่ากัน งานเขียนของผมเลยเป็นงานที่ผมอยากจะเขียน ผมไม่ได้เลือกว่าผมจะต้องพูดถึงปัญหานี้โดยเฉพาะ เพราะผมคิดว่าทุกคนมีปัญหาเหมือนกันหมด
AW : แต่เขามักจะเหมารวมว่างานเขียนที่ไม่มองปัญหาสังคมส่วนใหญ่ แล้วจะเป็นงานที่ไม่ดีไปหมด
ปราบดา : ผมเลยรู้สึกว่าตัวเองอยู่นอกคอกครับ
AW : แต่งานรวมเล่มออกไปก็น่าจะเห็นอะไรที่หลากหลายขึ้น ว่างานเขียนมีหลายรูปแบบ
ปราบดา : แล้วมันไม่ควรจะจัดกัดวิถีในการดำเนินชีวิต คือวิถีการดำเนินชีวิตนักเขียน ไม่ควรจะเหมือนกันหมด มันควรจะแตกต่างกันได้บ้าง เป็นห่วงอยู่นิดนึงเพราะผมรู้สึกว่า ตัวเองรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่เหมือนกัน เพราะผมรู้สึกว่าคนที่อายุเท่าผมมาเขียนหนังสือเนี่ย มันยังมีน้อยเกินไปแล้วสนามก็มีน้อย สื่อที่จะพิมพ์เรื่องที่มีหลากหลายแนวมันน้อย
AW : มันอาจจะมีหลายสนาม แต่ว่าหนังสือที่จะรับพิมพ์งานหลาย ๆ แนวเนี่ยยังมีน้อย (อย่างหนังสือแฟชั่นลงเรื่องซีเรียสบ้าง หนังสือการเมืองลงเรื่องโรแมนติคบ้าง ก็จะทำให้คนอ่านกลุ่มกระแสต่าง ๆ ได้อะไรที่หลากหลาย)
ปราบดา : บางทีเราต้องคำนึงว่า บ.ก. ชอบแนวไหน มากเกินไป
AW : ชอบงานของใครบ้าง
ปราบดา : ตอนเรียนที่โน่น ผมเรียนเกี่ยวกับเจมส์ จอยซ์ มา เลยได้อิทธิพลมาเยอะมากในเรื่องเทคนิค เรื่องความคิดก็ยังชอบเขาอยู่เสมอ แล้วก็เร็ว ๆ นี้ก็ได้อ่าน เกอร์ทูด สไตล์ อีกครั้งหนึ่ง ก็ทำให้มีแรงบันดาลใจทำให้มีแรงเขียนเพิ่มขึ้น ก็เนี่ยครับโฟล์คเนอร์
AW : บางคนบอกว่าจอยซ์ เก่าไปแล้ว
ปราบดา : แต่ผมก็ไม่เคยเห็นคนไทยเขียนได้ขนาดนี้ (หัวเราะทั้งคู่) คือเขาเก่าแต่ความคิดของเขายังใหม่อยู่นะ ผมว่า
AW : วัตถุดิบในการเขียนมาจากไหนบ้าง
ปราบดา : วัตถุดิบ…ไม่รู้เหมือนกันมาจากไหน
AW : มาจากอะไรหลาย ๆ อย่างที่สะสมมาหรือเปล่า
ปราบดา : มันบังคับไม่ได้จริง ๆ นะ อย่างผมนั่งเขียนเนี่ย ถ้ามันไม่มามันก็ไม่ออก เหมือนกับเป็นร่างทรงยังไงชอบกล คือผมมีอารมณ์เหมือนวาดรูปมากเวลาเขียน คือไม่รู้หรอกว่าอยากวาดรูปอะไร แต่พอมีกระดาษดินสอมือมันก็พาไป แล้วในระหว่างที่มันพาไปเราก็จะรู้ว่า เราอยากให้เป็นรูปร่างยังไ มันจะรู้เมื่อมันพาไปแล้ว แล้วมันจะจบตอนที่เรารู้สึกว่ามันหมด
AW : เขียนเสร็จแล้วแก้ไขนานไหม
ปราบดา : ไม่นาน ส่วนใหญ่ผมจะแก้ครั้งเดียว ผมจะพิมพ์ออกมาแล้วอ่านทวนครั้งเดียว แล้วผมก็จะแก้
AW : เวลากลับมาอ่านทวนเรื่องเก่าที่ไปแล้วเขียนรู้สึกยังไงครับ
ปราบดา : แล้วแต่อารมณ์ครับ แต่สำหรับผมเรื่องที่ผมเขียนเสร็จไปแล้ว มันเป็นชีวิตของมันเอง คือผมคงไม่ไปแก้ ผมไม่ได้จริงจังอะไรกับมันขนาดนั้น คือเราคงไม่ได้ไปรู้สึก ให้มันผ่านไปแล้วก็ผ่านไป เหมือนกับว่าเป็นคนรู้จักที่มีนิสัยของเขาเอง บางอย่างถ้านิสัยไม่ดีเราก็อย่าไปแก้เขา มันไม่ใช่ธุระของเราแล้ว
AW : เขียนจบก็คือจบ
ปราบดา : ใช่ครับ ผมไม่มีความผูกพันเป็นพิเศษกับเรื่อง
AW : ก็เพื่อทำงานใหม่
ปราบดา : ใช่ครับ คือไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
AW : ภาษาเป็นอุปสรรคหรือเปล่าครับ เพราะไปอยู่ต่างประเทศหลายปี
ปราบดา : อือม…เป็นอุปสรรคในแง่…คือถ้าผมอยู่เมืองไทยมาตลอด ผมอาจจะใช้คำได้เยอะมากกว่านี้ คือผมชอบเล่นคำอยู่แล้วก็อาจจะรู้จักคำเยอะกว่านี้ที่จะนำมาเล่นได้สนุกกว่านี้ แต่ไม่คิดว่าเป็นอุปสรรค
AW : รู้สึกไหมว่าเขียนภาษาไทยต่างกว่าเขียนเป็นภาษาอังกฤษ
ปราบดา : ต่างกัน ผมรู้สึกต่างกันมากเลย เพราะภาษาไทยเป็นหนอนน่ะ คือเวลาเขียนมันจะเหมือนเป็นตัวหนอนยาว ๆ ต่อกัน ภาษาอังกฤษมันจะมีช่องตลอด แล้วการมองในภาษาอังกฤษเนี่ย เป็นการมองในลักษณะภาพก็ได้ หมายถึงว่าเป็นเหมือนการจัดวาง วางตรงนี้ ๆ แต่สำหรับภาษาไทยเนี่ยมันต้องทอดต่อไปจนหมด จนถึงจังหวะที่มันควรหยุด แล้วค่อยเริ่มต่อหนอนตัวใหม่ ซึ่งขบวนการทางความคิดมันจะต่างกันมากเลย ภาษาอังกฤษมันสามารถเล่นกับช่องไฟได้ เล่นกับตำแหน่ง เล่นกับภาพ ความเป็นภาพของมันได้ ขณะที่ภาษาไทยทำไม่ได้ ภาษาไทยจะเป็นแบบ ภาษาเหมือนร้องเพลงมันหยุดไม่ได้ ถ้าเราเล่นมากเกินไปคนก็จะไม่เข้าใจ
AW : มันจะมีข้อดีข้อเสีย อย่างภาษาไทยในการบรรยายภาพความรู้สึก เหมือนจะมีอุปสรรคอะไรบางอย่าง
ปราบดา : ใช่ ๆ อย่างเช่นเราจงใจอะไรบางอย่าง คนก็จะไม่เก็ต อย่างเช่น เราจงใจเขียนผิด คนก็คิดว่าเราเขียนผิด คือยากที่จะทดลอง แต่มันท้าทายที่จะทดลอง เราจะทำยังไงให้มันทดลองได้ คือเราจะทดลองส่วนไหนของภาษา
เกี่ยวกับผู้เขียน ปราบดา หยุ่น เกิดปี ๒๕๑๖ ที่กรุงเทพฯ จบปริญญาตรี สาขาศิลปะจาก The Cooper Union for the Advancement of Art and Science และศึกษาศิลปะหลากแขนงในมหานครนิวยอร์กเป็นเวลาร่วมหกปี เคยทำงานเป็นกราฟฟิกดีไซเนอร์ในนิวยอร์ก ปัจจุบันเป็นนักเขียนหนังสืออิสระ เมืองมุมฉาก (๒๕๔๓) เป็นงานรวมเล่มครั้งแรกของเขา ผลงานอื่นคือ ความน่าจะเป็น (๒๕๔๓) อุทกภัยในดวงตา (๒๕๔๔) ภาพไม่นิ่ง (๒๕๔๔) ส่วนที่เคลื่อนไหว (๒๕๔๔) น้ำใส่กระโหลก (๒๕๔๕) อย่าอ่านเลย ก็แล้วกัน (๒๕๔๕)
บทสัมภาษณ์จากจุลสาร alternative writers