รางวัล กับ นักเขียน ?

เมื่อพูดถึงการประกวดวรรณกรรมในบ้านเราแน่นอนว่ารางวัลพี่เบิ้มที่นักเขียนส่วนใหญ่ใฝ่ฝันอยากได้มาครอบครองคงหนีไม่พ้นรางวัลซีไรต์ หรือ Southeast Asian Writers Award((S.E.A. Write) ที่มีชื่อเต็มเป็นภาษาไทยว่า รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน รางวัลนี้เป็นรางวัลประจำปีที่มอบให้แก่นักประพันธ์ใน 10 ประเทศอาเซียน
รางวัลซีไรต์ เป็นรางวัลที่มอบให้กับผลงานของนักเขียนในช่วงระยะเวลานั้นๆซึ่งผู้ที่จะได้รับรางวัลนี้ส่วนใหญ่ต้องมีทั้งความเก่าและความเก๋าพอสมควรแม้ในกติกาไม่ได้ระบุว่าต้องทำงานมาแล้วกี่ปี แต่ในช่วงแรกๆของการตั้งรางวัล เป็นไปยากมากที่นักเขียนใหม่ๆจะมีโอกาสเบียดแทรกขึ้นไปสัมผัสกับรางวัลดังกล่าว แต่ในช่วงหลังคณะกรรมการได้พยายามปรับปรุงกรอบวิธีการตัดสินเพื่อทำให้ผลงานที่ได้รับรางวัลอ่านง่ายขึ้นไม่ใช่แค่กำหนดของเขตผลงานต้องเพื่อชีวิตจ๋า โดยมีเป้าหมายเพื่อให้คนทั่วไปหันมาสนใจกับผลงานที่ได้รับรางวัลนี้มาขึ้นโดยคำนึงถึงหลักการที่ว่าหากมอบรางวัลไปแล้วแต่ไม่มีใครอ่านคุณค่าที่ซ่อนอยู่ภายในระหว่างบรรทัดก็คงไม่สร้างผลกระทบให้แก่สังคมภายนอกได้
ในปัจจุบันมีโครงการประกวดต้นฉบับประกวด-หนังสือจากหน่วยงานต่างๆมากมาย บางรางวัลอยู่ได้ไม่นานก็ต้องเลิกราไปในขณะที่บางรางวัลยังยืนระยะได้นานแม้จะผ่านมาหลายปี รางวัลเหล่านี้ถือเป็นสูตินรีแพทย์ทำคลอดของบรรดานักอยากเขียนทั้งหลายก็ว่า หลายคนอาศัยช่องทางนี้สำหรับสร้างชื่อและสั่งสมประสบการณ์ให้กับตัวเอง แม้เราจะรู้กันอยู่ว่า นักเขียนเมืองไทยที่สามารถอาศัยการเขียนหนังสือเพียงอย่างเดียวและอยู่กินได้อย่างไม่อัตคัดขนสนพอที่จะสลัดหลุดพ้นคำว่านักเขียนไส้แห้งไปได้มีอยู่ไม่กี่รายในเมืองไทยและแทบนับคนได้
การเปิดรับต้นฉบับของบรรดาหน่วยงานต่างๆจึงถือว่าเป็นทางที่สดใสพอสมควรในการที่จะก้าวเข้าสู่วงการหนังสือในฐานะผู้เขียน รางวัลประกวดต้นฉบับ-หนังสือมีอยู่มากมายหลายรายการในปัจจุบันเช่น
รางวัลนายอินทร์อวอร์ด ที่จัดขึ้นโดยเครืออมรินทร์ มีการประกวดต้นฉบับ ทั้ง นิยายเรื่องสั้น กวีนิพนธ์ สารคดี โดยในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 10 แล้ว และในขณะนี้ก็ยังคงเปิดรับต้นฉบับอยู่
รางวัลสุภาว์ เทวกุล เป็นรางวัลที่ได้รับการยอมรับว่าโปร่งใสมากรางวัลหนึ่งของการประกวดต้นฉบับไทย โดยมีสองแกนนำหลักอย่าง ชมัยพร แสงกระจ่าง นักวิจารณ์ฝีปากคม ที่ปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งเป็นนายกสมาคมนักเขียนและรวมทั้ง นักเขียนขายดีระดับดาวค้างฟ้าของเมืองไทยอย่าง กฤษณา อโศกสิน
รางวัล พานแว่นฟ้า ซึ่งเป็นรางวัล ประกวดเรื่องสั้นและกวีนิพนธ์เกี่ยวกับการส่งเสริมประชาธิปไตย แม้รางวัลนี้จะเคยมีรอยด่างเพราะการเข้าแทรกแซงของฝ่ายการเมืองเมื่อหลายปีก่อน แต่ความนิยมก็ยังคงไม่ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด ยังมีอีกหลายรางวัลที่ถูกจัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้นักเขียน รวมถึงผู้รักการเขียนได้ประชันฝีมือกัน
รางวัลที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานแต่ยังคงยืนระยะได้รวมทั้งได้รับความเชื่อถือจากแวดวงวรรณกรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆคือรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 ในปีนี้แล้ว รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดมีจุดแตกต่างกับรางวัลทั่วๆไปตรงนี้การส่งผลงานเข้าประกวดนั้นต้องเป็นหนังสือที่พิมพ์เป็นรูปเล่มแล้วและจำต้องมีเลข ISBN (เหมือนกับซีไรต์) แต่ด้วยกติกาที่ยังเปิดช่อง ไม่ได้ระบุว่าผลงานที่ส่งเข้าประกวดต้องเป็นผลงานที่ผ่านการพิมพ์ตามระบบอุตสาหกรรมสำนักพิมพ์ทำให้นักเขียนหลายท่านหันมาใช้บริการของการพิมพ์ในรูปแบบใหม่ที่สามารถพิมพ์ด่วนออกมาได้ในจำนวนน้อย เพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์การประกวด แถมเงินรางวัล ของเซเว่นบุ๊คก็ถือว่ามีจำนวนมากในระดับต้นๆของการประกวดต้นฉบับและหนังสือของเมืองไทย
รางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม ส่งเสริมการอ่านการเขียนของเครือซีพีออล์ รางวัลนี้เป็นหนึ่งในหลายๆโครงการที่ ซีพีออล์ ได้จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างกิจกรรมทางสาธารณะประโยชน์ โดยช่วงหลังมีกิจกรรมแนวส่งเสริมการเขียนการอ่านออกมามากมายเช่น กิจกรรมส่งเสริมการอ่านโดยจะตะเวนไปตามโรงเรียนต่างๆที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้นักเรียน ครู และชุมชุม ตระหนักถึงความสำคัญของการอ่านหรือกิจกรรมกล้าวรรณกรรม ที่เปิดเป็นค่ายกิจกรรมจัดอบรมให้แก่บรรดาเยาวชนเพื่อเป็นเส้นทางสู่ฝันในการเป็นนักเขียน-นักวาดการ์ตูน
รางวัลเซเว่นบุ๊คแบ่งการรับผลงานไว้ เป็น7 ประเภท รวมเงินรางวัลกว่า 1.2 ล้านบาท โดยได้เปิดรับผลงานดังนี้
1.วรรณกรรมสำหรับเยาวชน
2.นวนิยาย
3.กวีนิพนธ์
4.รวมเรื่องสั้น
5.สารคดี(สารคดีภุมิปัญญา)
6.นิยายภาพ(การ์ตูน)
และเพื่อเปิดโอกาสให้แก่เยาวชนอย่างจริงจังทางรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ในประเภทที่ 7 จึงเป็น
7.รางวัลนักเขียนรุ่นเยาวซึ่งแบ่งเป็นหมวดหมู่สำหรับเยาวชนโดยเฉพาะได้ดังนี้
7.1 นวนิยายขนาดสั้น
7.2 รวมเรื่องสั้น
7.3 กวีนิพนธ์
7.4นิยายภาพ (การ์ตูน)
ในส่วนของกติกาการประกวดก็ยึดหลักเกณฑ์ทั่วๆไปของการประกวดวรรณกรรม เช่น ต้องเป็นผลงานสร้างสรรค์ของผู้ประพันธ์ ห้ามลอกเลียนแบบหรือดัดแปลง จากผลงานผู้อื่น รวมถึงมีเนื้อหาและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ก็เป็นกฎเกณฑ์ที่อยู่ภายใต้ข้อบังคับของการส่งผลงานเข้าประกวด โดยในประเภท 1-6 กติการะบุให้ผลงานที่ส่งเข้าประกวดต้องจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ปี 2546- ปัจจุบัน ยกเว้นประเภทที่ 3 หรือ กวีนิพนธ์ที่เปิดช่องให้หนังสือทำมือสามารถส่งเข้าประกวดได้ แต่ต้องระบุปีพ.ศที่ตีพิมพ์อย่างชัดเจนในหนังสือ พร้อมทั้งผลงานที่ส่งเข้าประกวดต้องมี เลข ISBN เหตุที่ เนื่องจากสถานการณ์ที่ปัจจุบันจะหาสำนักพิมพ์พิมพ์กวีนิพนธ์ออกขายนี้เป็นไปได้ยากมาก
สำหรับในประเภทนักเขียนรุ่นเยาว์นี้ได้กำหนดกฎเกณฑ์เพิ่มเติมว่าผู้ส่งผลงานต้องมีอายุไม่เกิน 25 ปี บริบูรณ์ และเปิดรับเป็นต้นฉบับไม่จำเป็นต้องเป็นรูปเล่มอย่างประเภทอื่นๆเพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนที่สนใจได้เข้าร่วมอย่างกว้างขวางนั้นเอง
โดยปรกติรางวัลนี้จะเปิดรับผลงานในช่วงต้นปีถึงประมาณเดือนพฤษภาคม และจะประกาศในในช่วงปลายปี เพราะฉะนั้นในปีนี้หาใครสนใจก็คงต้องบอกว่า Sorry ไม่ทันการณ์เสียแล้ว แต่หากสนใจก็เขียนเตรียมไว้ปีหน้าได้
(ติดตามความเคลื่อนไหวรางวัลเซเว่นบุ๊คอวอร์ดได้ที่ http://www.pr7eleven.com/)
ส่วนอีกรางวัลที่น่าสนใจไม่แพ้กัน อันนี้ไม่เน้นให้ต้องส่งผลงานเป็นรูปเล่มเรียกว่าเปิดโอกาสให้กันตั้งแต่ยังเป็นต้นฉบับกันเลยทีเดียวสำหรับรางวัล นายอินทร์ อวอร์ดที่จัดขึ้น เป็นครั้งที่ 10 และทุกครั้งได้รับการตอบรับจากนักเขียน-ผู้สนใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับรางวัลนายอินทร์ อวอร์ดเป็นรางวัลที่ทางค่ายอมรินทร์ได้จัดให้มีขึ้น บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือในส่วนของธุรกิจที่คุ้นกันก็คือร้านหนังสือนายอินทร์ โดยได้มีการเปิดรับต้นฉบับครั้งแรกใน ปี 2542 ซึ่งในช่วงแรกเปิดรับต้นฉบับประเภทสารคดีเพียงอย่างเดียว แต่ต่อมาในปี 2543 ได้เพิ่มการประกวดประเภทหนังสือภาพสำหรับเด็ก และวรรณกรรมเยาวชน จนกระทั่งปี พ.ศ.2548ได้เพิ่มประเภทเรื่องสั้น กวีนิพนธ์ และนวนิยาย เข้ามาด้วย จึงทำให้ในปัจจุบันรางวัลนายอินทร์ อวอร์ดจึงเป็นการประกวดที่เปิดรับต้นฉบับใน 6 ประเภทคือ
๑. สารคดี
๒. ประเภทนิทานภาพสำหรับเด็ก
๓. ประเภทวรรณกรรมเยาวชน
๔. ประเภทเรื่องสั้น
๕. ประเภทกวีนิพนธ์
๖. ประเภทนวนิยาย
ในส่วนของกติการก็ยังคงยึดหลักปฏิบัติทั่วไป เช่น ต้องเป็นผลงานที่ต้องสร้างสรรค์ขึ้นเอง และความยาว ของต้นฉบับตามที่กำหนดในแต่ประเภท ร่วมทั้งขนาดตัวอักษรที่ใช้ในต้นฉบับ สำหรับรางวัลชนะเลิศจะได้รับโล่พระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัล 5๐,๐๐๐ บาทยกเว้นประเภทเรื่องสั้นและกวีนิพนธ์ ที่มีรางวัลให้ประเภทยอดเยี่ยม 30,000 บาทใน ขณะที่ รองชนะเลิศอีกสองรางวัลจะได้รับรางวัลละ 10,000 บาท นอกจากจะได้เงินรางวัลมานอนกอดให้อุ่นแล้วผลงานได้รับรางวัลทั้งหมดก็จะได้รับการจัดพิมพ์ ในสำนักพิมพ์ของอมรินทร์ซึ่งถือว่าได้ทั้งเงินได้ทั้งกล่องแถมยังได้จัดพิมพ์กับค่ายหนังสือที่อยู่ในระดับแถวหน้าของเมืองไทยด้วยก้น่าสนไม่หยอก รายการนี้ยังไม่ปิดรับต้นฉบับเพราะฉะนั้นใครสนใจก็รีบอย่างด่วน เพราะเขาจะปิดรับต้นฉบับภายในเดือนพฤศจิกายนนี้แล้ว
(ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.naiin.com/04award.asp?cat=rule)
การได้รับรางวัลทางวรรณกรรมสำหรับผู้ใฝ่ฝันที่จะทำงานเขียนและเริ่มลงมืออย่างจริงจังอาจจะเป็นความจำเป็นของการเริ่มต้นบนเส้นทางนักเขียนในยุคปัจจุบัน แต่การได้รางวัลไม่ใช่การการันตีถึงการประสบความสำเร็จในชีวิตการเขียน รางวัลทางวรรณกรรมเป็นเพียงการเชื้อชวนให้คนหันมามองผลงานของนักเขียนคนนั้นให้มากขึ้น เชื้อเชิญให้ผู้อ่านหันมามองหนังสือเล่มเล็กของของนักเขียนที่ชื่อยังไม่คุ้นหูในกองหนังสือมหึมาที่ผลิตออกมาอย่างมากมายในแต่ละวัน และให้คนอ่านได้ลองเปิดอ่านว่าในตัวหนังสือระหว่างบรรทัดมีอะไรที่ซ่อนอยู่ แต่คุณค่าและความสำเร็จจริงๆ อยู่ที่ตัวผลงานต่างหากเล่า มีนักเขียนอาชีพของเมืองไทยหลายคนทีไม่ต้องอาศัยการการันตีจากสถาบันการเขียนใดของสังคมวรรณกรรมแต่ก็สามารถกลายเป็นนักเขียนที่ยึดการเขียนหนังสือ ทำมาหาเลี้ยงชีพได้ บางทีเส้นแบ่งระหว่างนักเขียนขายดีกับนักเขียนรางวัล ก็เปรียบเหมือนภาพลวงตาที่ ทำให้ นักเขียนใหม่ต้องยึดติดกับคำว่าเขียนอย่างไรให้ได้รางวัล มากกว่าการคำนึงถึงผลงานที่ควรจะเป็น
แต่หากสนใจ และต้องการแนะนำตัวตนของการเขียนหนังสือให้คนทั่วไปได้รู้จักเพื่อเพิ่มโอกาสที่คนอ่านจะหันมาหยิบผลงานของเรามากขึ้นละก็ เวทีประกวดวรรณกรรมเป็นช่องทางหนึ่งที่ คุณสามารถลองและเขียนเพื่อฝึกฝนฝีมือตนเองได้ และนับว่าเป็นช่องทางที่ดีทีเดียว
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.vcharkarn.com/varticle/38230
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.vcharkarn.com/varticle/38230