มกุฏ อรฤดี: ต้นฉบับ ระบบหนังสือ และผีเสื้อ

หนังสือ กว่าจะออกมาเป็นรูปเล่ม ให้ได้อ่านและสัมผัส ไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ใช่เรื่องง่าย ขึ้นอยู่กับว่าคนทำหนังสือใส่ใจกระบวนการผลิตมากน้อยแค่ไหน
จะทำให้ชุ่ย ก็ได้ จะทำให้ประณีต ก็ได้
แต่หากพิจารณาให้มากกว่านั้น ความใส่ใจเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง ยังมีเงื่อนไขอีกมากมายที่ดำรงอยู่ เป็นอุปสรรค จนยากจะช่วยหนุนให้หนังสือดีๆ อยู่รอด
ปัจจัยทางธุรกิจก็คือหนึ่งในเงื่อนไขนั้น ตัวอย่างรูปธรรมที่ดีคือหนังสือตามแผงร้านหนังสือ ทุกวันนี้หนังสือที่ครองแผงมีอยู่ไม่กี่ประเภท นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหนังสือขายดีคือหนังสือประเภทใด
โชคยังดีที่สำนักพิมพ์บางแห่งไม่ยอมตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขนี้ ยังมุ่งคัดสรรต้นฉบับ พิถีพิถันการตรวจ-แก้ต้นฉบับ ใส่ใจการออกแบบหนังสือ กระทั่งแนะนำกรรมวิธีการผลิต ทั้งการเย็บกี่และกระดาษถนอมสายตา ให้คนหนังสือได้รู้จักโลกกว้างใหญ่ใต้แผ่นกระดาษและตัวอักษร
“เรามิได้ทำหนังสือให้ท่านอ่านเพียงวันนี้ เดือนนี้ หรือปีนี้ แต่หวังจะให้อยู่เนิ่นนาน มิใช่ในชั่วเวลาสิบปี ยี่สิบปี หรือห้าสิบปี ทว่า อยากให้อยู่ถึงร้อยปีหรือกว่านั้น เหมือนวรรณกรรมและหนังสือดีๆ ทั้งหลาย ที่มักจะอยู่ในความทรงจำของผู้อ่าน สืบทอดต่อกันรุ่นแล้วรุ่นเล่า จดจำกันสืบไปมิรู้เลือน ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด”
จวบจนปัจจุบัน เรื่องของคุณภาพได้กลายเป็นโลโก้ประจำสำนักพิมพ์นี้—สำนักพิมพ์ผีเสื้อ
ผลงานของสำนักพิมพ์ เช่น ชุดหนังสือโต๊ะโตะจัง ชุดหนังสือของโรอัลด์ ดาห์ล ชุดหนังสือนาร์เนีย รวมทั้งวรรณกรรมคลาสสิกอย่างดอน กิโฆเต้ฯ คงผ่านตาผู้อ่านมาแล้ว ไม่มากก็น้อย
และ มกุฏ อรฤดี บรรณาธิการสำนักพิมพ์ ก็คือเบื้องหลังการทำงาน ที่เคี่ยวกรำตนเองมายาวนาน ผ่านการลองผิดลองถูก กลายเป็นสำนักพิมพ์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น
ครั้งนี้ มกุฏ จะมาถ่ายทอดประสบการณ์และวิธีคิดในการทำงาน โดยเฉพาะต้นฉบับงานแปล ซึ่งเป็นงานหลักของผีเสื้อ และแน่นอน การเล่าประสบการณ์ส่วนตัวโดยแยกตนออกจากมิติทางสังคม ย่อมเป็นไปไม่ได้ หัวข้อสนทนาครั้งนี้จึงเกี่ยวพันแนบแน่นกับสภาพที่เป็นอยู่ของระบบหนังสือเมืองไทย
ในสภาพที่พิกลพิการ ไปไม่ถึงไหน
…………………………
จากเริ่มแรกจนถึงวันนี้ สำนักพิมพ์ผีเสื้อเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
พวกเรา 2-3 คนที่ทำหนังสือกันตอนนี้ เคยทำนิตยสารกันมา ตัวผมทำนิตยสารตั้งแต่ปี 2514 ทำฉบับโน้นฉบับนี้ฉบับนั้น แต่มาลงทุนกันเองประมาณปี 2520 และตัดสินใจเลิกทำในปี 2529 จากนั้นจึงเริ่มทำสำนักพิมพ์ประมาณปี 2530 ตอนนั้นเราใช้ชื่อสำนักพิมพ์กะรัต แต่ที่เริ่มต้นจริงๆ คือสำนักพิมพ์ดอกไม้ในปี 2520 พิมพ์ ผีเสื้อและดอกไม้ และหนังสือของคนอื่นๆ อีกไม่กี่เล่ม เราทำนิตยสารคู่มากับหนังสือเล่ม แต่ไม่ได้ทำหนังสือเล่มเป็นเรื่องเป็นราวจริงจัง
หนังสือเล่มแรกที่ทำให้ตัดสินใจเปลี่ยนแนวคิดมาทำสำนักพิมพ์ คือ โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง เป็นงานแปล ไม่ใช่งานแปลชิ้นแรก แต่เป็นชิ้นแรกที่ตัดสินใจว่าเราควรทำสำนักพิมพ์ เพราะเราได้เห็นต้นฉบับที่ดี และถ้าเกิดเราได้เสนองานดีๆ อย่างนี้สู่สังคมการอ่านของประเทศไทย สิ่งที่เราน่าจะได้ก็คือ หนึ่ง คนเขียนหนังสือของเราจะได้เห็นงานดีๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกว่าวรรณกรรมเยาวชน สอง คนอ่านของเราจะได้อ่านงานดีๆ สาม สังคมการอ่านจะตื่น และก็เป็นจริงเช่นนั้น สังคมการอ่านขณะนั้นตื่นขึ้นมาก หนังสือเรื่องนี้พิมพ์ครั้งแรกหมื่นเล่ม ขายหมดภายในเวลาสองสัปดาห์ เป็นปรากฏการณ์ที่ดี ที่กล่าวขานกัน ที่น่าตื่นเต้น นั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำสำนักพิมพ์
ทำไมถึงเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักพิมพ์ผีเสื้อ
ตอนที่เริ่มต้นทำสำนักพิมพ์กะรัต เราให้สายส่งแห่งหนึ่งเป็นผู้จัดจำหน่าย ต่อมาก็เกิดปัญหาระหว่างสายส่งกับสำนักพิมพ์ เราเลยจะเปลี่ยนสายส่ง ในช่วงที่จะเปลี่ยนสายส่ง เรื่องเก่าก็ยังคาราคาซังอยู่ เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนทุกๆ ฝ่าย ไม่ให้กระทบกระเทือนสายส่งเก่า ไม่ให้กระทบกระเทือนสายส่งใหม่ เลยตัดสินใจเปลี่ยนชื่อสำนักพิมพ์ เป็นสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ในขณะที่กะรัตก็ยังมีอยู่ ผมจำไม่ได้ว่าเราเปลี่ยนชื่อเป็นผีเสื้อในหนังสือเล่มไหน เรื่องอะไร แต่อยู่ช่วงประมาณปี 2529
ถึงตอนนี้เหลือแต่ผีเสื้อ ไม่ได้ใช้ชื่อกะรัตแล้ว แต่ผีเสื้อก็แตกออกไปเป็นผีเสื้อต่างๆ ทั้งผีเสื้อลาว ผีเสื้อสเปน ผีเสื้ออิตาลี ผีเสื้อญี่ปุ่น เพื่อจะบอกคนอ่านว่าหนังสือเล่มนี้แปลมาจากภาษาอะไร เพราะไม่เช่นนั้นคนอ่านอาจจะไม่เข้าใจ หรือซื้อไปแล้วอาจจะงงถ้าไม่บอกตั้งแต่ต้น เช่น ผีเสื้อสเปนครอบคลุมประเทศแถบละตินอเมริกาและประเทศสเปน รวมประมาณสิบกว่าประเทศ
หมายความว่ากองบรรณาธิการจะแยกทำงานกันคนละกลุ่ม ตามแต่แขนงที่แยกออกไป
ไม่หรอกครับ กลุ่มเดียว กองบรรณาธิการมีอยู่ไม่กี่คน
เราเพียงแต่จะบอกให้คนอ่านได้รู้ และวิธีการทำงาน การตรวจแก้ต้นฉบับก็จะง่ายขึ้น สะดวกขึ้น เราจะได้รู้ชัดว่าเรื่องนี้มาจากภาษาอะไร ควรจะเลือกบรรณาธิการต้นฉบับที่หนึ่งคนไหน เพราะเวลาเราพิมพ์หนังสือแปล เราต้องใช้บรรณาธิการหลายคน อย่างน้อยที่สุด คนหนึ่งที่จะยืนโรงคือบรรณาธิการต้นฉบับที่รู้ภาษาที่แปลมา เช่น ผีเสื้อสเปนก็ต้องมีบรรณาธิการคนหนึ่งที่รู้ภาษาสเปน และอีกคนหนึ่งที่รู้ภาษาไทย เก่งภาษาไทย ที่จะทำภาษาไทยให้เป็นภาษาไทยที่ดี
ในเมื่อสำนักพิมพ์ผีเสื้อใช้คนน้อย แสดงว่าทุกคนทำได้แทบทั้งกระบวนการ
ใช่ครับ แต่จะมีเฉพาะบางเรื่องที่เขาเก่ง เช่น บรรณาธิการจะทำเฉพาะเรื่องบรรณาธิการ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ทำอย่างอื่นได้ด้วย เช่น สอนหนังสือ เพราะเราไม่ได้คิดว่าสำนักพิมพ์จะต้องทำหนังสืออย่างเดียว เราคิดต่อไปว่าสำนักพิมพ์จะต้องสร้างบรรณาธิการด้วยพร้อมๆ กัน เพราะในประเทศไทยขาดบรรณาธิการ โดยเฉพาะบรรณาธิการต้นฉบับแปล ขาดคนทำหนังสืออย่างเข้าใจ เราเลยพยายามเปิดหลักสูตรต่างๆ ในมหาวิทยาลัย
ผีเสื้อมีกระบวนการทำหนังสือมากกว่าสำนักพิมพ์อื่นๆ
มากกว่าครับ มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างง่ายๆ เรากำลังจะออกหนังสือที่แปลจากภาษาลาวเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้ใช้เวลานานมาก ใช้เวลา 24 ปี ต้นฉบับที่เราได้มา มีภาษาลาวและภาษาอังกฤษอยู่ในเล่มเดียวกัน ภาษาอังกฤษไม่มีปัญหา แต่ภาษาลาวมีปัญหา เราเคยให้คนแปลเมื่อประมาณยี่สิบปีที่แล้ว แปลเสร็จแล้วต้นฉบับไม่เหมือนภาษาลาว เราจึงต้องทิ้งต้นฉบับแรกไป และเริ่มหาคนแปลใหม่ แต่การแปลชุดที่สองก็ยังไม่น่าพอใจ จนกระทั่งมาได้ผู้เชี่ยวชาญภาษาลาวเมื่อไม่กี่ปีมานี้ จึงตกลงใจว่าจะใช้ต้นฉบับที่สาม แต่เมื่อใช้ต้นฉบับที่สามก็ต้องตรวจเทียบดู เพราะบังเอิญหนังสือเล่มนี้มีลายมือภาษาลาวกำกับไว้กับภาษาไทย เป็นลายมือของนักเขียนซึ่งเป็นคนเก่าแก่โบราณ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องไปเทียบภาษาลาวที่หลวงพระบางว่าคำคำนี้แปลว่าอะไร ขั้นตอนมันซับซ้อนมาก
หนังสือเล่มที่ใช้เวลาทำน้อยที่สุด โดยเฉลี่ยใช้เวลาเท่าไร
เป็นปีทั้งนั้น ไม่มีสั้นๆ ไม่มีง่ายๆ เหตุเพราะว่าเราทำหนังสือแปลเป็นหลัก
หนังสือแปลต่างจากหนังสือเขียนนิดหนึ่งตรงที่มันมีที่มา ดังนั้น ต้นฉบับที่สองต้องประกบกับต้นฉบับที่หนึ่งได้ถ้าต้องการเปรียบเทียบ หรือข้อมูลบางอย่างอาจจะต้องใช้เวลาค้น ศัพท์บางคำอาจจะต้องใช้เวลาค้น เช่น ศัพท์คำเดียวกันในภาษาสเปนที่ใช้ในสเปนกับที่ใช้ในอาร์เจนตินา มีความหมายไม่เหมือนกัน จึงต้องมีกรรมวิธีต่างๆ เพื่อสืบหา โดยเฉพาะความหมายของคำ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ ทีนี้บังเอิญ–จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคไม่ดีก็ตาม–เราเลือกไม่แปลจากภาษาที่สอง ไม่แปลต้นฉบับจากภาษาอังกฤษซึ่งแปลมาจากภาษาอิตาลี แต่เลือกที่จะแปลจากภาษาอิตาลี เพราะเคยพบว่าต้นฉบับที่แปลจากภาษาที่สองจะผิดเพี้ยนเมื่อเป็นภาษาที่สาม
มีต้นฉบับเก่าที่ค้างอยู่เยอะไหม
เยอะครับ มีเรื่องแปลอิตาลีที่ดี ค้างอยู่ 12 ปี คือบางทีถ้าเรายังหาข้อยุติไม่ได้ ยังไม่กระจ่างแก่ใจ เราก็ไม่อยากพิมพ์ออกไป ออกไปแล้วผิดๆ ถ้าเราไม่รู้แล้วปล่อยออกไปมันอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเรารู้อยู่แก่ใจว่าเรายังหาคำตอบของส่วนนี้ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะออกไปได้ยังไง ผมคำนึงถึงคนอ่านมากในข้อที่ว่า เขาไม่ควรกังวลในขณะอ่านหนังสือที่เราพิมพ์ให้เขาอ่าน ว่าตกลงมันใช่หรือเปล่า มันถูกหรือเปล่า เขาไม่ควรกังวล
ถ้ากระบวนการทำหนังสือเยอะขนาดนี้ ผลิตหนังสือน้อยขนาดนี้ ผีเสื้ออยู่ได้อย่างไร
อันที่จริงมันไม่ควรอยู่ได้ แต่บังเอิญไม่มีเงินเดือน มีเงินสนับสนุนจากที่อื่น และไม่ต้องเสียค่าเช่า
ผมพยายามบอกว่า เวลาคุณไปรบ คุณต้องมีทหารกล้าไปตายข้างหน้าก่อน เพื่อทำให้กองทัพมีกำลังใจ ทำให้กองทัพเห็นว่าเราสู้เราก็จะชนะ ในกระบวนการทำหนังสือก็เหมือนกัน จะต้องมีใครสักคนที่เสียสละ เพื่อแสดงให้เห็นว่า กระบวนการบางอย่างที่ถูกต้องเป็นอย่างนี้ อาจจะเจ็บตัว อาจจะเสียเวลา แต่ท้ายที่สุดในอีก 50-100 ปีข้างหน้า วิธีการอย่างนี้อาจจะนำมาใช้ได้ดี เป็นที่ยอมรับ และท้ายที่สุดหนังสือซึ่งแปลด้วยวิธีการนี้ตั้งราคาแพงได้
เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ผมนำกระดาษถนอมสายตามาใช้ ตอนแรกๆ คนก็หัวเราะเยาะว่าเอากระดาษสีเหลืองๆ มาทำอะไร แต่ท้ายที่สุด ทุกวันนี้ทุกคนรู้แล้วว่ากระดาษถนอมสายตามันเป็นอย่างไร หรือเมื่อผมเริ่มต้นเย็บกี่ เพื่อให้อยู่ในห้องสมุดได้นาน ได้ทน ได้สะดวกที่จะใช้งาน ทุกคนก็บอกว่าลงทุนเย็บกี่ทำไม แต่พอนานเข้าทุกคนก็เข้าใจแล้วว่า พอหนังสือไม่เย็บกี่ไปถึงห้องสมุด เปิดหนังสือออกอ่านไม่กี่ครั้งกระดาษก็หลุดแล้ว แบะออกแล้ว
ตามกระบวนการการผลิตทั่วไปจะมีหนังสือส่วนที่ชำรุดอยู่ ไม่ทราบว่าผีเสื้อมีหนังสือชำรุดมากน้อยเท่าไร
มันก็มีส่วนหนึ่ง ในการทำงานมันจะมีขั้นตอนที่ทำให้หนังสือชำรุด เช่น เริ่มจากโรงพิมพ์ก็ต้องเผื่อเสียไปจำนวนหนึ่ง พอพิมพ์เสร็จ พับก็ต้องเผื่อเสีย และพอมาถึงเก็บเล่มเย็บกี่มันก็ต้องเผื่อเสีย ขณะนี้ผีเสื้อยังไม่ได้คำนวณว่า แท้จริงแล้วหนังสือเล่มหนึ่งลงทุนเท่าไร ควรจะตั้งราคาขายเท่าไร แต่เราพยายามทำให้เห็นว่า ถ้าเราทำตามกระบวนการทุกขั้นตอนครบถ้วนสมบูรณ์อย่างดี หนังสือจะมีอายุอยู่ได้นาน
ถ้าเปรียบเทียบระหว่างหนังสือที่แข็งแรงทนทานไปอยู่ที่ห้องสมุดโรงเรียนได้ 5 ปี กับหนังสือที่พิมพ์แล้วไสกาวอย่างเดียว อย่างมากที่สุดมันจะอยู่ได้ 1 ปี แล้วอย่างไหนมันจะดีกว่า
คือผมพยายามบอกว่าประเทศนี้จน ไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสซื้อหนังสือ มีคนเพียงไม่กี่แสนคนในกรุงเทพฯ เท่านั้นที่จะซื้อได้ เพราะฉะนั้นเวลาเราคิดเรื่องหนังสือ เราต้องคิดถึงคนหลายล้านก่อน ไม่ใช่คนจำนวนแสน ทีนี้คนบางคนเข้าใจผิด คิดว่าการทำหนังสือให้แข็งแรง ลงทุนเยอะ มันทำให้คนไฮโซอ่าน ที่จริงไม่ใช่
ผมเข้าใจว่าหนังสือที่ผีเสื้อทำอีก 50 ปีมันก็ยังอยู่ ถ้าเราซื้อหนังสือเล่มหนึ่ง ราคาต่างกันสัก 20-30 บาท แต่อยู่ไปได้อีก 50 ปี คุณจะเลือกหรือไม่เลือก แต่นั่นก็ต้องมีองค์ประกอบอีกว่า หนังสือที่คุณซื้อเพื่อเก็บ ซื้อเพื่อส่งทอดกัน ควรจะมีเนื้อหาที่ดีพอสมควร ไม่ใช่เป็นหนังสือที่อ่านแล้วอยากจะทิ้ง
ถึงทำหนังสือให้มีคุณภาพแล้ว แต่ก็ยังขายไม่ได้อยู่ดี จะทำอย่างไร
มันก็คงจะต้องขายได้สำหรับคนบางกลุ่ม เหมือนเวลาบริษัทโรลส์-รอยซ์ผลิตรถยนต์ ในบางแง่มุมเรารู้สึกว่าผลิตสำหรับคนรวย แต่สำหรับคนอีกบางประเภทเขาบอกว่า เขาไม่มีสตางค์หรอก แต่เขาอยากใช้โรลส์-รอยซ์ เช่นเดียวกัน คนอ่านของผีเสื้อเขาไม่ได้มีสตางค์ แต่เขาอยากอ่าน
ถ้ามีใครเอารถโรลส์-รอยซ์ มาเป็นรถเช่าราคาไม่แพง ราคาพอสมควร ให้คนทั่วไปมีโอกาสนั่ง เทียบได้กับห้องสมุดมีหนังสือดีทั้งรูปแบบและเนื้อหา—ก็คงดี
ดังนั้นการทดลองนี้ นี่คือการทดลอง ไม่ใช่เรื่องจริง–ผมยังไม่รู้ผลของมันนะ–เพราะถ้าเป็นเรื่องจริงก็คือเราขาดทุน และในกระบวนการธุรกิจเขาบอกว่าถ้าขาดทุนขนาดนี้มันอยู่ไม่ได้ แต่เรากำลังจะทดลองให้เห็นว่า ในรูปแบบอย่างนี้มันทำได้จริง และในอนาคตอาจจะอยู่ได้
ในเมื่อเราขายเฉพาะกลุ่ม จะมีวิธีการไหนที่จะขยายกลุ่มคนอ่าน ดึงกลุ่มคนที่อ่านแนวอื่นให้เข้ามา
ในขณะนี้เราคิดว่าเราไม่ดึงอะไรทั้งนั้น แต่ผมมองการณ์ไกลไปถึงอนาคต 10-30 ปีข้างหน้า สมมตินะ ถ้าเผื่อว่าหนังสือดีๆ ได้เข้าไปยังห้องสมุดของโรงเรียนหรือของมหาวิทยาลัย เมื่อนักเรียนจบมา นิสิตมหาวิทยาลัยจบมาทำงาน วันหนึ่งเขาอยากอ่านหนังสือ เขาอาจจะนึกถึงหนังสือที่เขาเคยอ่านในห้องสมุดของสถานศึกษาก็ได้ และเมื่อนั้นมันก็จะเกิดคนอ่านซึ่งมีสตางค์แล้ว ทำงานแล้ว
แต่มันต้องใช้เวลา สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลา ไม่ใช่คุณทำหนังสือแข็งแรงทนทานดี พิถีพิถัน แล้วคุณอยากจะขายได้ในชั่วพริบตา เป็นไปไม่ได้ ต้องใช้เวลา
อ่านหนังสือของผีเสื้อแล้วไม่เจอคำผิดเลย
เป็นไปไม่ได้ มันต้องมีสิ คุณอุปาทานไปหรือเปล่า เมื่อตรวจแก้ต้นฉบับ แม้จะอ่านหลายๆ รอบแล้วก็ยังผิด แต่มีหนังสือบางเล่มที่ผิดมากๆ ผิดหลายคำ เราก็เรียกกลับคืนมาทำลายทิ้ง บางเล่มเราพิมพ์ไปแล้วแต่ปรากฏว่ามีคำผิดเยอะ เราก็เรียกกลับมาทำลาย
ในกระบวนการตรวจแก้ต้นฉบับ เส้นแบ่งการตรวจแก้ควรเป็นอย่างไร
เสียดาย น่าจะรู้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ คือผมเพิ่งปิดหลักสูตรที่จุฬาฯ วิชาบรรณาธิการต้นฉบับวรรณกรรมแปล(1) เพิ่งปิดไปเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว เราเปิดอบรมมา 10 ปีแล้ว
ส่วนคำถามของคุณตอบสั้นๆ ก็คือ บรรณาธิการต้นฉบับแปลจะต้องรู้ว่า นักแปลต้องไม่มีสำนวนของตัวเอง นักแปลจะต้องถอดสำนวนของนักเขียนออกมาเป็นภาษาที่สองให้ได้
เนื่องจากเราไม่ได้รู้ภาษาของเขาอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนภาษาไทย ถ้าเราถอดมามันจะแข็งเกินไปไหม
นั่นคือขั้นที่หนึ่ง ขั้นที่หนึ่งคือคุณภาพของนักแปล นักแปลถอดภาษาที่หนึ่งมาเป็นภาษาที่สอง เป็นภาษาไทย เป็นภาษาต้นฉบับแปล บรรณาธิการจะต้องศึกษาต้นฉบับที่นักแปลแปลมา ว่ามันเข้าใกล้กับภาษาที่หนึ่งหรือเปล่า แล้วถ้าบรรณาธิการภาษาไทย คือบรรณาธิการคนที่สอง จับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน ดูไม่ออก ก็จะต้องไปหาบรรณาธิการคนที่หนึ่งซึ่งรู้ภาษานั้นๆ เช่น ภาษาสเปน หาคนสักคนหนึ่งที่รู้ภาษาสเปนดีพอเพื่อจะดูว่า ภาษาไทยที่ถอดมา สำนวนที่เขาใช้มันใกล้เคียงกันหรือเปล่า
การตรวจแก้ต้นฉบับไม่ใช่แค่ว่าเราได้ต้นฉบับมา ตรวจแก้ แล้วก็จบ ในการตรวจแก้ต้นฉบับ เราจะต้องศึกษาความเป็นตัวตนของนักเขียนด้วย เพราะในอุปนิสัย ในประวัติส่วนตัว ในพฤติกรรม มักจะมีสำนวนของนักเขียนซ่อนอยู่ เช่น หนังสือเรื่อง นางนวลกับมวลแมวผู้สอนให้นกบิน ผมไม่เคยรู้จักนักเขียนเรื่องนี้ แต่อาจารย์สถาพร ทิพยศักดิ์ รู้จัก เพราะเขาอยู่ประเทศสเปนมานาน สิ่งแรกที่เราถามก็คือ นักเขียนคนนี้เป็นใคร อายุเท่าไร อยู่ที่ไหน มาจากไหน
ในที่สุดเราก็รู้ประวัติของเขา เขาเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน เคยต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการ จนกระทั่งลี้ภัยจากชิลีมาอยู่สเปน สูบบุหรี่จัด ดื่มจัด
และที่ตลกมากคือ คนแบบนี้เขียนหนังสือเด็ก คนซึ่งดื่ม ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน ผมบอก ไม่เป็นไร ไม่ต้องงง ผมเองก็เคยมีชีวิตอย่างนี้ ผมเองก็เคยดื่ม เคยด่ารัฐบาล เคยต่อต้านเผด็จการ เพราะฉะนั้น ในความแข็งกระด้างของนักเขียน มันมีภาษาที่อ่อนโยนอยู่ และจะเป็นภาษาอ่อนโยนที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง
เราต้องหาให้ได้ว่าอุปนิสัยของนักเขียนกับสำนวนของนักเขียนมันเชื่อมโยงกันอย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องค่อนข้างซับซ้อน ไม่ใช่เรื่องที่อธิบายได้ภายในเวลาสั้นๆ คุณจะต้องศึกษาเยอะๆ
และสิ่งหนึ่งที่เรามักจะทำคือ เราจะให้นักแปลอ่านภาษาที่หนึ่งให้ฟัง สมมติว่าเราไม่รู้ภาษาสเปนเลย ในการตรวจแก้ต้นฉบับบางทีเราจำเป็นจะต้องให้เขาอ่านออกเสียง เพื่อที่จะฟังน้ำเสียง สำเนียง และอารมณ์ของถ้อยคำในภาษาที่หนึ่ง ให้รู้ว่าเมื่อแปลมาเป็นภาษาไทย ควรจะถ่ายทอดน้ำเสียงถ้อยคำระดับไหน เช่น บางทีเราต้องหาระดับคำด่าเมื่อถ่ายทอดมาเป็นภาษาที่สอง เพราะคำด่าในภาษาไทยมันมีหลายระดับ เราหาไม่เจอว่าควรจะใช้ในระดับไหน เราจึงต้องให้เขาเปล่งเสียงออกมาว่าเสียงด่าในภาษาที่หนึ่งเป็นแบบไหน เพราะจะมีโทนต่างกัน ด่าแรง ด่าไม่แรง ด่าอย่างนิ่มๆ ด่าอย่างเบาๆ คำอุทานก็เหมือนกัน มันมีรายละเอียดเยอะ
เหตุที่เมืองไทยไม่แปลงานของนักเขียนบางคน เช่น เวอร์จิเนีย วูลฟ์ (Virginia Woolf) เป็นเพราะตัวภาษามันอ่านยาก มันมีความเครียดอยู่ในนั้น ซึ่งพอมาอ่านงานที่ดลสิทธิ์ บางคมบาง แปล ก็มีความรู้สึกว่าจะอ่านจนจบเล่มไม่รอด
นั่นคือบุคลิกของนักเขียน บุคลิกของตัวเรื่อง นักเขียนบางคนจะบอกว่า สิ่งที่เขานับว่าเขาประสบความสำเร็จ คือการเขียนให้คนอ่านตาย เวลาเราเขียนเรื่องเครียด ตัวละครเครียด บทบาทเครียด แล้วให้คนอ่านรู้สึกว่ามันเครียดเสียเหลือเกิน นั่นคือความสำเร็จของนักเขียน
และถ้าเผื่อนักแปลทำได้อย่างนั้นด้วย ก็ถือเป็นความสำเร็จของนักแปล แต่สิ่งที่เราพบเสมอในอดีตที่ผ่านมาคือ ที่เคยพูดกันว่าสำนวนของนักแปลคนนี้ดีจริง ดีจัง มีสำนวนเหมือนกันหมดในทุกเล่มที่เขาแปล คนบางคนอ่านสำนวนของนักแปลคนนี้แล้วรู้สึกว่าใช่เลย
แต่ทีนี้เราได้พบทฤษฎีหนึ่งว่า ถ้านักแปลมีสำนวนเป็นของตนเช่นนั้น ถ้าเขาแปลเรื่องของนักเขียนคนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งเขาไปแปลเรื่องของนักเขียนสองคน สามคน สี่คน ห้าคน ซึ่งเขียนเรื่องกันคนละบรรยากาศ คนละน้ำเสียง คนละสำนวน แล้วถ้ามันมามีสำนวนเดียวกัน จะเกิดอะไรขึ้น เช่น เขาไปแปลงานของนักเขียน A นักเขียน B นักเขียน C แต่พอแปลเป็นภาษาไทย ปรากฏว่าสำนวนเหมือนกันหมด
ในที่สุดเลยเกิดทฤษฎีว่า นักแปลต้องไม่มีสำนวนของตัวเอง เพราะนักเขียนแต่ละคนย่อมมีสำนวนไม่เหมือนกัน แล้วคุณไปทำอย่างไรให้นักเขียนสองคนสำนวนเหมือนกันได้ เป็นไปไม่ได้ นี่คือสิ่งที่บรรณาธิการจะต้องทำ จะต้องหาให้พบว่าสำนวนของนักแปลมันหลุดไปอยู่ในสำนวนของนักเขียนตรงไหน
ผีเสื้อจูงใจให้นักแปลทำงานร่วมกับสำนักพิมพ์ได้อย่างไร
บังเอิญนักแปลที่นี่ส่วนใหญ่เคยเป็นครูบาอาจารย์ เกษียณแล้ว หรือกำลังจะเป็นครูบาอาจารย์
ตอนนี้มีคุณงามพรรณ เวชชาชีวะ พี่สาวของคุณอภิสิทธิ์ เพียงคนเดียวที่ผีเสื้อให้แปลงานภาษาอิตาลี แต่ในภาษาอื่นๆ เช่น ภาษาสเปน ตอนนี้เรามีนักแปลหลายคนแล้ว มีดอกเตอร์หลายคนที่จบภาษาสเปน
แต่เดิมนักวิชาการพวกนี้เขาไม่ค่อยมั่นใจในการแปลหนังสือ เพราะคนที่เก่งภาษาใดภาษาหนึ่ง คนที่จบปริญญาเอกภาษาต่างๆ เขามักจะลืมภาษาไทยที่ดี เราก็ต้องทำให้เขามั่นใจได้ว่า ในการทำงานร่วมกันระหว่างเขาซึ่งเก่งภาษาที่หนึ่ง กับบรรณาธิการของเราซึ่งเก่งภาษาที่สอง จะทำให้ต้นฉบับออกมาดีได้ และเราก็แสดงให้เห็นตลอดเวลาที่ผ่านมาว่า งานแปลที่ผู้แปลอาจจะไม่ค่อยมั่นใจในเรื่องภาษา ท้ายที่สุดเราทำให้มันเป็นต้นฉบับที่ดีได้ เป็นหนังสือที่ดีได้ เป็นภาษาไทยที่ถูกต้อง อ่านรู้เรื่อง ในขณะเดียวกันความหมายของภาษาเดิมก็ไม่สูญเสียไป
ส่วนที่ถามว่าจูงใจได้อย่างไร ผมคิดว่าคนทำงานด้านหนังสือ บางทีไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียว แต่มีเรื่องชื่อเสียงเข้ามาด้วย การที่เขามาทำงานกับสำนักพิมพ์เล็กๆ อย่างผีเสื้อ เขาอาจจะได้เงินสักหนึ่งร้อยบาท แต่ถ้าเขาเอางานเดียวกันไปขายสำนักพิมพ์ใหญ่ เขาอาจจะได้พันบาท ทว่า เขาก็อยากทำด้วยตัวเลขสิบบาท
คัดสรรเรื่องที่จะแปลอย่างไร ทั้งที่บางเรื่อง บางนักเขียน เราไม่เคยรู้จักมาก่อน
ผมใช้คำว่า “วิสามัญสำนึก” มันเป็นสำนึกที่ไม่ปกติ พวกเราในคณะทำงานจะชอบแนวหนังสือต่างกัน บางคนชอบสารคดี บางคนชอบนวนิยาย บางคนชอบวรรณกรรมเยาวชน เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็จะมีหนังสืออยู่ในหัวของเขา แต่เวลาเลือกหนังสือ เราไม่ได้เลือกตามรายชื่อที่ได้มา แต่มันมักจะสะดุดโดยที่เราได้ไปเห็นเองตามที่ต่างๆ เพราะฉะนั้นคุณจะสังเกตเห็นว่าหนังสือของผีเสื้อไม่ใช่หนังสือเบสต์เซลเลอร์ใหม่ๆ เป็นหนังสือเก่าๆ ทั้งนั้น หนังสือใหม่แทบจะไม่มี ไม่ใช่ว่าฝรั่งเขาพิมพ์มาเมื่อเดือนก่อนแล้วขายดี แล้วผีเสื้อถึงซื้อลิขสิทธิ์มา ไม่–อาจจะพิมพ์มาแล้วสัก 2-3 ปี หรือ 20-30 ปี
ไม่ค่อยมีหนังสือต่างประเทศที่พิมพ์ในปีนั้นๆ แล้วผีเสื้อหยิบมาแปลทันทีเลย
ไม่ค่อยมีครับ เว้นเสียแต่จะมีนักเขียนเสนอมา พอพูดถึงนักเขียนเสนอ ก็นึกถึงซัลแมน รัชดี (Salman Rushdie) วันดีคืนดีเขาให้เอเย่นต์ติดต่อมาที่ผีเสื้อ บอกว่าอยากให้แปลหนังสือของเขา ผมเลือกได้เล่มหนึ่ง เป็นหนังสือเด็ก เป็นหนังสือที่ได้รางวัล ก็ตอบกลับไปว่าอยากจะแปลเล่มนี้ เขาบอก ไม่ อยากให้แปลทุกเล่ม ผมบอก จะให้ผมแปลทุกเล่ม ผมไม่เอา เพราะคนที่แปลงานของรัชดีที่ญี่ปุ่น ถูกฆ่าตาย สำนักพิมพ์ของอีกประเทศหนึ่งก็ถูกเผา ไม่เอา (หัวเราะ)
อีกกรณีหนึ่ง มีนักเขียนคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะพยายามเป็นตัวแทนของโรอัลด์ ดาห์ล (Roald Dahl) เป็นนักเขียนหนุ่ม หน้าใหม่ นักเขียนหนุ่มคนนี้เขาให้เควนทิน เบลค (Quentin Blake) เป็นคนเขียนรูปประกอบ เบลคเป็นคนเขียนรูปประกอบในหนังสือของดาห์ลทั้งหมด เพราะฉะนั้นสองคนนี้จะมาจับคู่กันใหม่
คือรายนี้เขาเจาะจงมา บอกให้เราแปล ให้เราพิมพ์ ในกรณีอย่างนี้เราก็จะทำ แต่เราจะต้องดูก่อนว่ามันเป็นต้นฉบับที่เราชอบ ไม่ใช่ต้นฉบับขายดี ต้นฉบับขายดีเราไล่คนอื่นเขาไม่ทัน ยกตัวอย่างเช่น แฮร์รี่ พอตเตอร์ (Harry Potter) เราเคยได้รับข้อเสนอก่อนที่มันจะดัง แต่พอเราเห็นขนาดของหนังสือ เรารู้ว่าภายในหนึ่งปีเราทำไม่ทันแน่ เรารู้สึกว่า ถ้าเราทำ เราจะรับเงื่อนไขเขาไม่ได้ เงื่อนไขของเขาคือจะต้องทำออกมาเร็ว ออกพร้อมๆ กันทั่วโลก เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เราต้องยอมรับว่าเราทำงานช้าและพิถีพิถัน พองานช้าและพิถีพิถันมาเจอหนังสือเกือบพันหน้า เสร็จเลย ไม่ต้องพูด
ในเรื่องการผลิตงานแปล มีประสบการณ์ที่น่าสนใจจากต่างประเทศบ้างไหม
ผมเองผมไม่เคยศึกษา แต่ฟังมาว่า ในต่างประเทศ เวลานักเขียนบางคนจะให้ใครแปลหนังสือ เขาจะต้องเชิญมาประชุมกันก่อนเพื่อให้ไปในแนวทางเดียวกัน
แต่เราไม่ค่อยคำนึงถึงเรื่องพรรค์นี้เท่าไร เพราะเราก็มีทฤษฎีของเราอย่างนี้ มีวิธีทำงานของเราอย่างนี้ เราก็คิดว่าประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของเรา เราได้เรียนรู้ รู้ผิดรู้ถูกมาตลอดเวลา ก่อนที่เราจะมีทฤษฎีบรรณาธิการสองคน เราก็เคยมีบรรณาธิการคนเดียว แต่เราไม่เคยเชื่อว่าการแปลหนังสือโดยไม่มีบรรณาธิการจะเป็นไปได้ และยิ่งข้ามภาษามาไกล จากภาษาตะวันตกมาเป็นภาษาตะวันออกอย่างภาษาไทย ยิ่งไปกันใหญ่ แต่งานแปลของเขา เช่น แปลจากเยอรมันมาเป็นอิตาลีมันก็ใกล้เคียงกัน ฝรั่งเศสเป็นเยอรมันก็ใกล้กัน มันไม่มีปัญหา รากศัพท์อาจจะมาจากที่เดียวกันด้วยซ้ำ
และเราก็ไม่ค่อยสนใจที่จะศึกษาอะไรมาก แต่ผมกำลังปูพื้นฐานว่า ที่แปลกันอยู่ในประเทศไทย ทำอย่างไรจะให้มันถูกต้อง
ตอนที่เริ่มทำงานใหม่ๆ อยากรู้มากเลยว่าสำนักพิมพ์ผีเสื้อทำงานกันอย่างไร
ที่นี่แทบจะไม่ทำงาน (หัวเราะ)
เราเสียเวลาไปกับกระบวนการตรวจแก้และการออกแบบมาก เราเสียเวลาไปกับเรื่องพวกนี้ คือเราพยายามวางมาตรฐานว่า ถ้าเผื่อว่า สมมติในอนาคตมีการเรียนการสอนวิชาเหล่านี้ เราจะต้องปูพื้นให้คนทำหนังสือว่าเขาจะต้องคิดรับผิดชอบในเรื่องอะไรบ้าง ไม่ใช่คิดแต่เรื่องธุรกิจ เวลาผมไปสอนเด็กๆ เรียนวิชาบรรณาธิการ(2) ผมไม่สอนเรื่องธุรกิจ เพราะเรื่องธุรกิจไปหาเอาได้ข้างหน้า แต่ผมสอนเรื่องความรับผิดชอบในกระบวนการต่างๆ และสอนให้เขารู้จักคิด
เพราะฉะนั้น สำนักพิมพ์ผีเสื้ออาจจะเป็นกรณีพิเศษ คือเราพยายามจะปูพื้นการศึกษาแขนงนี้ เพราะยังไม่มีใครสอนในแขนงหนังสือ ในกระบวนการเหล่านี้ไม่มีคนทำหนังสือที่ร่ำเรียนมาทางหนังสือ มาจากทางอื่นทั้งนั้น พอมาจากทางอื่นคุณก็ต้องมานั่งเรียนรู้กันใหม่ ต้องมานั่งงมกันใหม่ ว่าเข้าหน้าอย่างไร หรือควรพิมพ์สีดำหรือไม่ เราไม่ค่อยนิยมพิมพ์สีดำ แต่โอเพ่นนิยมพิมพ์สีดำ ทำไมเราไม่พิมพ์สีดำ เพราะในทางการแพทย์เรารู้มาตั้งนานแล้วว่าหมึกดำมันมีสารก่อมะเร็ง ทุกครั้งที่คุณลูบไปในกระดาษที่มีหมึกสีดำ ก็เท่ากับลูบเอาสารก่อมะเร็งเข้าไปด้วย ซึ่งเราไม่รู้ว่าเมื่อไรมันจะถึงจุดที่เป็นมะเร็ง
คิดอย่างไรกับเด็กรุ่นใหม่ที่ขึ้นมาทำหนังสือ
ในทางหนึ่งก็ต้องบอกว่าดี แต่ในอีกทางหนึ่งก็คือ…
มีความรู้สึกว่าคนทำหนังสือสมัยก่อนกับสมัยนี้ไม่เหมือนกัน ห่างชั้นกันมาก เพราะความละเอียดไม่เหมือนกัน และคนรุ่นใหม่ฉาบฉวยมาก
หนึ่ง ละเอียด สอง ฉาบฉวย ถามว่าทำไมคุณถึงไม่ละเอียด ทำไมคุณถึงฉาบฉวย
เพราะไม่ได้ถูกฝึกมา
ผมก็ไม่ได้ถูกฝึกมา มันต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่ใช่คนทุกคนรีบร้อนฉาบฉวยไปหมด เรารู้หรือเปล่าว่าทุกวันนี้การทำหนังสือของประเทศไทยเราทำเพื่อไปขายที่ศูนย์สิริกิติ์ เราไม่ได้ทำหนังสือเพื่อจะทำหนังสือ เราไม่ได้ทำหนังสืออย่างประณีต พิถีพิถัน แต่เราทำตามเทศกาล ตามจังหวะเวลา ตามความเร่งรีบเท่านั้นเอง
มันมีเงื่อนเวลาเข้ามากำกับตลอด
ใช่ คุณรีบร้อน เพื่อที่จะ—ตอนนี้กุมภาฯ แล้ว มีนาฯ ต้องรีบออกให้ทันงานที่ศูนย์สิริกิติ์ ต้องเร่งต้นฉบับ ต้องเร่งปิดเล่ม