“ภาพลวงตาของหนังสือและการอ่านในประเทศไทย”
"ภาพลวงตาของหนังสือและการอ่านในประเทศไทย''

ต้องยอมรับว่า จากความพยายามกว่า 40 ปีของคนไทยเล็กๆอย่าง มกุฏ อรฤดี บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ผู้หวังจะให้รัฐบาลเป็นผู้คิดดำเนินงานและใช้ประโยชน์จาก "สถาบันหนังสือแห่งชาติ" และการอ่าน เพื่อดำรงประเทศด้วยสติปัญญา ท่ามกลางความไม่จะพยายามเข้าใจเรื่องระบบหนังสือและไม่พยายามดำเนินงานอย่างมีโครงสร้างเป็นระบบให้มีผู้รับผิดชอบเรื่องหนังสือและการอ่านของชาติจริงๆ การพัฒนาหรือส่งเสริมการอ่านก็จะเป็น "วาระ" สืบไปไม่รู้จบ งบประมาณมหาศาลของชาติในแต่ละปีจะละลายหายไปเรื่อยๆในขณะที่การพัฒนาเรื่องอื่นก็จะไร้ผลหรือไม่จีรังยั่งยืน
และเมื่อไม่นานมานี้ คนในวงการหนังสือได้นัดมารวมตัวและนั่งลงพูดคุยเสวนากันอีกครั้ง ในประเด็นเรื่อง "ภาพลวงตาของหนังสือและการอ่านในประเทศไทย'' โดยมีผู้ร่วมเสวนาคือ ดร.มัณฑนา วงศ์ศิรินวรัตน์, ดร.อนอนงค์ ชาคร, ธนิษฐา แดนศิลป์, เวียง วชิระ บัวสนธ์, อธิคม คุณาวุฒิ และ มกุฏ อรดี ซึ่ง มกุฏ อรดี เจ้าของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ผู้ยืนหยัดต่อสู้ในประเด็นนี้มายาวนานได้กล่าวในตอนหนึ่งว่า
"การแก้ปัญหาหนังสือในประเทศไทยไม่มีทางประสบความสำเร็จได้ ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่เข้าใจ ผมคิดว่าอยากจะเลิกพูดเรื่องนี้แล้วเพราะพูดมานานมาก เป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี เริ่มพูดจากับรัฐบาลเมื่อปี 2545-46 ถึงขนาดร่างกฤษฎีกาเข้าสู่คณะรัฐมนตรี จนในที่สุดออกมาเป็นอะไรไม่รู้ หลังจากนั้นมีโครงการต่างๆของรัฐบาลออกมาและเชื่อว่าประเทศไทยคงจะมีระบบการอ่านที่ดี จะรู้สึกว่าหนังสือเยอะ คนอ่านเยอะ ประเทศไทยน่าจะมีการอ่านที่ดี แต่ว่าถ้าย้อนกลับไปเมื่อสักประมาณสองปี ผมทำงานวิจัยเรื่องหนังสือหมุนเวียน ปรากฏว่าเด็กในโรงเรียนชั้นประถมใกล้ๆกรุงเทพฯ ห่างออกไปไม่ถึงร้อยกิโลเมตร อ่านหนังสือไม่ออก หนังสือที่มีอยู่ในห้องสมุดเป็นหนังสือที่ด้อยคุณภาพ ไม่มีบรรณาธิการ ถึงแม้จะมีบรรณาธิการ แต่มีข้อมูลผิดพลาดมากมาย ภาษานั้นไม่ต้องพูดถึง ภาษาผิดหมด ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเด็กต่างจังหวัดที่โตขึ้นทุกวันๆ จะเป็นเด็กต่างจังหวัดที่มีความรู้ไม่ครบถ้วนมากนัก อย่าไปพูดถึงเรื่องการเมือง อย่าไปพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจ อย่าไปพูดถึงเรื่องอื่นเลย เรื่องสติปัญญาพื้นๆยังจัดการให้เด็กไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการออกมาประกาศว่า รัฐบาลจะทำให้การอ่านของชาติเพิ่มขึ้น 100% ภายใน 1-2 ปี ทำให้ผมต้องกลับมาพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆที่ไม่อยากพูดอีกแล้ว"
ซึ่งหลากใครติดตามเรื่องราวมานาน คงทราบดีว่า อ.มกุฏ นอกจากศึกษาและเสนอแนวคิด "สถาบันหนังสือแห่งชาติ" มาหลายปีแล้วและเขายังริเริ่มเปิดสอนสาขาวิชาบรรณาธิการศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา ตั้งโรงเรียนวิชาหนังสือและโครงการวิจัยหนังสือหมุนเวียนในโรงเรียนประถมศึกษา มัสยิด และห้องสมุดร้านหนังสือเช่า ซึ่งทำให้เห็นปัญหามากมายมหาศาลเกี่ยวกับระบบหนังสือเมืองไทย
"ถ้าปล่อยให้รัฐบาลทำอย่างนี้ต่อไป เชื่อว่าอีกประมาณหมื่นปีแสงถึงจะทันประเทศอื่น ท่านทั้งหลายคงทราบหรืออาจจะไม่ทราบว่ารัฐบาลใช้วิธีประมูลหนังสือเข้าห้องสมุด สำนักพิมพ์ไหนให้ราคาถูกที่สุดก็จะได้ไป หนังสืออาจจะขาดหายไปบ้าง อาจจะเกินไปบ้าง พื้นฐานความเข้าใจของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยเกี่ยวกับเรื่องหนังสือตลอดเวลาที่ผ่านมาบอกได้เลยว่า "บกพร่อง-ไม่เข้าใจ" ความถูกต้องหายไปหมด ถามว่าแล้วเราจะช่วยอะไรได้บ้าง ในแต่ละปีจะเห็นภาพการเติบโตของการซื้อหนังสือการขายหนังสือ เพราะทุกคนเข้าใจว่าการซื้อหนังสือลดราคาหรือหนังสือถูกเป็นสิ่งถูกต้องแล้ว แต่ลืมไปว่าในท่ามกลางสิ่งเหล่านั้น มันเกิดอะไรก่อนหน้านั้นและหลังจากนั้น"
ซึ่งจากรายงานการวิจัยเรื่อง "ระบบหนังสือหมุนเวียนในโรงเรียนประถมขนาดเล็ก มัสยิด และห้องสมุดร้านหนังสือเช่า" ของ ดร.มัณฑนา วงศ์รินวรัตน์ โดยได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เริ่มต้นจากวิจัยระบบหนังสือหมุนเวียนในโรงเรียนชั้นประถมและขณะนี้กำลังวิจัยต่อไปถึงมัสยิดและห้องสมุดในร้านหนังสือให้เช่าเป็นลำดับต่อไป
รูปแบบจะเป็นลักษณะนำหนังสือกองใหญ่ๆมาแบ่งออกเป็น 4 ส่วนแล้วนำไปให้โรงเรียนที่อยู่ใกล้เคียงกันและให้ดำเนินการจัดกิจกรรมหรือว่าไปจัดกิจกรรมให้ในช่วงแรกๆ เพราะดูแล้วครูยังไม่พร้อม
เธอกล่าวว่า "พอครบสามเดือนก็วนหนังสือกัน พอผ่านไปหนึ่งปีเด็กก็ได้อ่านหนังสือครบทุกกอง ตอนแรกที่เริ่มทำโครงการนี้ตั้งคำถามว่าในฐานะนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ มีความคิดว่ามันได้ผลจริงหรือเปล่า พอทำผ่านมาปีหนึ่ง ได้บทเรียนเยอะมาก รู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่า สิ่งที่คิดหรือเข้าใจกับสังคมบางอย่างมันไม่ใช่อย่างที่เคยรู้ พื้นฐานตัวเองเป็นเด็กในกรุงเทพฯ เรียนอยู่กลางเมือง อยากอ่านอะไรได้อ่าน ไม่มีข้อจำกัดเรื่องการอ่าน แต่พอได้ไปเห็นโรงเรียนที่ไปทำวิจัย เหมือนเห็นอีกโลกหนึ่งของประเทศไทยจริงๆ เข้าใจเลยว่าทำไมสังคมจึงเป็นแบบนี้
ถามว่ามีห้องสมุดไหม โรงเรียนต่างจังหวัดมีห้องสมุดและไม่มีปัญหาเรื่องสถานที่เลย ใหญ่โตขนาดลานเตะฟุตบอลได้ แต่พอเข้าไปดูในห้องสมุดมันคือชั้นสองสามชั้นและมีหนังสือที่พวกเราใช้แล้วเอาไปฝากไว้ทิ้งไว้ เด็กชั้นประถมจะต้องอ่านหนังสือเหล่านั้น ถ้าอ่านแล้วมันเกิดอะไรขึ้น และหนังสือดาราเต็มไปหมด มันเป็นสภาพจริง แต่ว่าในโรงเรียนชนบทเล็กขนาดไหนจะต้องมีงบซื้อคอมพิวเตอร์ และเป็นสิ่งหนึ่งผู้อำนวยการจะพาไปดูก่อนว่ามีคอมพิวเตอร์ซื้อใหม่ถามว่าครูบรรณารักษ์มีไหม บางทีโรงเรียนมัธยมยังไม่มีเลย ฉะนั้นโรงเรียนประถมไม่ต้องพูดถึง ไม่มีใครดูแลเรื่องหนังสือของเด็ก"
อย่างไรก็ตาม พรชัย จันทรโสก รายงานผ่านหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ว่า ขณะที่หลายคนมองว่า "ราชบัณฑิตยสถาน" น่าจะเป็นสถาบันหลักเกี่ยวกับหนังสือและภาษา เมื่อเทียบกับราชบัณฑิตยสถานสวีเดนทำหน้าที่มอบรางวัลโนเบลให้ทั้งโลก แต่ดร.อรองค์ ชาคร อาจารย์จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) พูดถึงการทำงานวิจัย "ภาพลวงตาของการวิจัย : กรณีศึกษา
โครงการนโยบายภาษาแห่งชาติ" เนื่องมาจากเมื่อปี 2551 ราชบัณฑิตยสถานและเครือข่ายระดับชาติและนานาชาติ ได้ร่วมกันจัดประชุมสัมมนาระดับสากลในหัวข้อ "National Language Policy : Language Diversity for National Unity" หรือ "นโยบายภาษาแห่งชาติ : ความหลากหลายของภาษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ" ทำให้นักวิจัยสาวสงสัยว่ามีโครงการแบบนี้ด้วยหรือ ทำไมถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน
"จริงๆเป็นงานวิจัยขนาดเล็กคือไปศึกษาวิธีการทำงานของราชบัณฑิตยสถานว่าได้พูดถึงนโยบายเหล่านี้อย่างไรบ้าง มีการแบ่งคณะกรรมการอย่างไร แต่ปัญหาคือมันไม่เคยออกไปสู่สาธารณชนอย่างแท้จริง ข้อเสนอคือต้องทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นและเอาสาธารณชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ขนาดอยู่ในแวดวงการศึกษายังรู้สึกว่าราชบัณฑิตยสถานอยู่ห่างผู้คน ถามว่ามีวิธีการเลือกกรรมการอย่างไร คัดคนเข้าไปอยู่คณะกรรมการชุดต่างๆอย่างไรคือใช้วิธีการเทียบเชิญ ฟังดูทรงพลังทรงภูมิมากกับนโยบายภาษาแห่งชาติ โครงการนี้เป็นโครงการระดับชาติ แต่ไม่มีใครรู้จัก ทำไมไม่หาเครือข่าย ปัจจุบันตามหาวิทยาลัยมีนักวิชาการใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย หรือว่าเป็นอาจารย์สอนวรรณคดีเปรียบเทียบ หรือสำนักพิมพ์ที่พิมพ์งานวรรณกรรมก็เชิญมารวมกันได้"
ส่วน ธนิษฐา แดนศิลป์ นักเดินทางที่เคยไปศึกษาและกินอยู่ที่นั่น ฉายภาพเปรียบเทียบให้เห็นว่า "สถาบันหนังสือแห่งชาติของอินเดีย" เริ่มก่อตั้งขึ้นมาได้อย่างไรและมีหน้าที่หลักครอบคลุมอะไรบ้าง
"อินเดียได้รับเอกราชเมื่อ 60 กว่าปีก่อน พร้อมๆกับที่เมืองไทยพูดถึงเรื่องประชาธิปไตยซึ่งเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในขณะที่อินเดียตอนนั้นพอได้รับเอกราช สิ่งที่เขาทำคือก่อตั้งเรื่องสถาบันหนังสือแห่งชาติ หลังจากได้รับเอกราชอยู่ประมาณสองสามปี เพราะว่า "เนรูห์" คิดแล้วว่าจะต้องทำอันนี้ ช่วงนั้นทำอะไรที่มันสำคัญๆ เกี่ยวกับการศึกษาของชาติเยอะมาก พอหลังจากนั้นอินเดียตั้งสถาบันหนังสือแห่งชาติขึ้นมาเลย ด้วยความที่มองว่าเมื่อจะพัฒนาประเทศจะพัฒนาชาติ แต่เรื่องของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมันไม่ได้ รวมถึงคนในชาติตอนนั้นระส่ำระสายและมีความแตกแยกและมีเรื่องของความไม่รู้อีกเยอะ หนังสือจะเป็นสื่อชนิดเดียวที่จะทำให้คนพัฒนาไปด้วยกันได้และพัฒนาชาติไปพร้อมๆกันได้ ดังนั้นเลยตั้งสถาบันหนังสือแห่งชาติของอินเดียขึ้นมา รวมถึงทำเรื่องของการพิมพ์หนังสือต่างๆ การแปลวรรณกรรมดีต่างๆ ในยุคนั้นออกมา พิมพ์ตำราต่างๆ ที่จะมีราคาถูก และหนังสือราคาที่จะมีคนเข้าถึงได้ สถาบันไม่ได้อยู่ในอำนาจรัฐ คือบริหารงานด้วยแต่เอง แต่มีเงินสนับสนุนจากรัฐเข้าไปและทำสิ่งนี้ออกมา แปลวรรณกรรมดีๆ ออกมา พิมพ์วรรณกรรมดีๆ ของอินเดียเผยแพร่ออกไป เวลานี้เรื่องอินเทอร์เน็ตหรือการอ่านจากบล็อกกำลังมีอิทธิพลมากกับเด็กวัยรุ่นอินเดีย การอ่านก็จะลดน้อยลง เขาเลยวางโครงการระยะยาวไว้ 25 ปี รณรงค์ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปว่าทำยังไงให้เด็กกลับมาอ่านหนังสือทั้งๆ เด็กอินเดียอ่านหนังสือเยอะอยู่แล้ว ถ้าเทียบกับเด็กไทย สถาบันหนังสือแห่งชาติมันเป็นเหมือนโครงสร้างใหญ่ แต่เมืองไทยมันไม่มีคนรับผิดชอบโครงสร้างใหญ่แบบนี้จริงๆ อาจจะเห็นว่ามีกิจกรรมหรือเทศกาลส่งเสริมการอ่านมากมาย แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากรัฐจริงๆ ไม่ได้มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนาชาติจริงๆ มันจะกลายเป็นการส่งเสริมการขายแทนการส่งเสริมการอ่าน จะเป็นการขายของมากกว่าการให้ความรู้เอาความรู้ออกไปพัฒนาชาติสร้างความเป็นชาติ ความจริงมันขายได้ ถ้าโครงสร้างมันมีอยู่ ทำไปเถอะ จะทำอะไรก็ทำไป แต่เมืองไทยมันไม่มีโครงสร้างนี้"
สำหรับในส่วนการเสวนาเรื่อง "ภาพลวงตาของหนังสือและการอ่านในประเทศไทย" นั้น "เวียง" วชิระ บัวสนธ์ เจ้าของสำนักพิมพ์สามัญชน พูดถึงมูลค่าตัวเลขของหนังสือต่อปีเกือบ 2 หมื่นล้านบาทว่า…
"ตัวเลขถูกกำกับไปด้วยรายละเอียดเพิ่มเติมว่าต่อให้สถานการณ์บ้านเมืองมันเป็นเช่นไรก็ตาม ตัวเลขมันเพิ่มขึ้นทุกปี หมายความว่ามันขยับสัก 4-5% ต่อให้บ้านเมืองมันเกิดเรื่องเกิดราว ไม่ได้ส่งผลต่อการซื้อหนังสือซึ่งเขาไปอ้างว่ามันเป็นการเติบโตทางการค้า อันนี้ผมไม่ค่อยแน่ใจ ถ้าลงรายละเอียดไปว่าหนังสือเล่มที่ว่าจะไปเหมารวมสุ่มสี่สุ่มห้าว่าการซื้อหนังสือประมาณหมื่นแปดพันล้านบาทนี้หมายถึงว่าตลาดมันเติบโตขึ้นตามตัวเลขหรือยอดขายหนังสือซึ่งถ้าใครพูดอย่างนี้ผมว่ามันบาปเพราะว่าถ้าเราไปดูหนังสือที่ถูกขายไปจริงๆ จะพบว่ามันไม่ใช่หนังสือ มันคล้ายๆ จะเรียกว่าหนังสือเพราะลักษณะของมันเป็นอย่างนั้น
การอ่านหนังสือบ้านเราเปลี่ยนไปในลักษณะที่อาจจะเรียกได้ว่าจะไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่ยืน ไม่มีพื้นที่ให้กับคนที่ตั้งใจอยากจะทำหนังสือดีๆได้ ผมพอจะพูดเรื่องนี้ได้เพราะผมทำร้านหนังสืออยู่และเป็นคนคัดเลือกหนังสือด้วยมือของตัวเอง ผมพบว่าเราไม่ได้ขาดแคลนหนังสือที่ "เข้าท่าเข้าทาง" แต่ขณะที่ประเทศนี้ไม่ได้ขาดแคลนหนังสือที่มีเนื้อหาสาระหรือกระทั่งว่าหนังสือที่อ่านแล้วสนุก ปรากฏว่าร้านหนังสือในกรุงเทพฯหรือแม้กระทั่งต่างจังหวัดทั่วไปพบว่าพื้นที่ที่มันถูกจำกัด หนังสือส่วนใหญ่ที่อยู่ในตลาดเป็นหนังสือที่อาจจะไม่เหมาะกับเรา จะไปโทษเขาว่าทำไม่ดีคงไม่ได้ รู้สึกว่าหนังสือที่อยู่ในร้านไม่รู้จะไปซื้อเล่มไหน หนังสือที่มันเข้าท่าเข้าทางมันน้อยไป ผมพยายามทำความเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมพบว่าเจ้าหน้าที่คัดเลือกหรือจัดซื้อหนังสือลงหน้าร้านที่มีวิธีคิดอย่างเดียวว่ามันต้องขายได้ก่อน"
ขณะที่ อธิคม คุณาวุฒิ บรรณาธิการนิตยสาร way แสดงทรรศนะเรื่องการอ่านทั้งจากสถิติคนไทยอ่านหนังสือวันละ 8 บรรทัดกับตัวเลขการเติบโตของเม็ดเงินในธุรกิจหนังสือว่าจากประมาณ 18,000 ล้านบาทในปี 2552 และทางสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ประเมินไว้น่าจะโตได้ 4% หรือประมาณ 19,000 ล้านบาทในปี 2553 รวมถึงหนังสือออกมาใหม่ทุกวันๆ เฉลี่ยประมาณ 37 ปกต่อวัน หรือตกเดือนละประมาณ 1,000 ปก
"ในเมื่อข้อเท็จจริงคือพื้นที่ในการวางหนังสือมีจำกัดอย่างยิ่ง มันตรงกันข้ามกับปริมาณหนังสือที่ออกมาในแต่ละวันๆ ผมเข้าใจว่าทำไมนักธุรกิจหรือผู้ทำธุรกิจร้านหนังสือจึงจำเป็นต้องบริหารพื้นที่ของเชลฟ์หนังสือในร้านหนังสือตัวเอง เล่มไหนที่มันขายช้าอย่างใจดีก็เอาสันออก อย่างใจร้ายก็ซุกไว้หลังร้าน ฉะนั้นหนังสือที่จะเห็นปกตามร้านหนังสือมีอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือขายได้จริง ขายได้เร็ว อีกกลุ่มหนึ่งคือว่าเป็นหนังสือที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับร้านหนังสือเหล่านั้น อย่าลืมอย่างหนึ่งว่าร้านหนังสือส่วนใหญ่ที่เป็นเชนสโตร์ไม่ได้ทำธุรกิจเฉพาะร้านหนังสืออย่างเดียว เครือข่ายของกลุ่มบริษัทก็มักจะมีสำนักพิมพ์ในเครือของตัวเองด้วย ฉะนั้นภายใต้ข้อจำกัดที่ว่าหน้าร้านมีน้อย พื้นที่มีน้อย ง่ายๆ ว่าต้องเป็นหนังสือขายดี ขายไว และเป็นกลุ่มที่เขาลงทุนเอง"
แต่อย่างไรก็ตาม "เวียง-วชิระ" กล่าวบนเวทีเสวนาอย่างไม่สิ้นหวังว่า "คิดว่ายังมีทางออก ทั้งหมดผมคิดว่ายังมีทางแก้ ประเทศนี้ถ้ามันจะขาดแคลนอะไรสักอย่างในความรู้สึกผมพบว่าเราขาดแคลนผู้อ่านที่มีคุณภาพ ผู้อ่านที่มีวิจารณญาณ อาจจะมีประเภทอ่านออกเขียนได้เยอะพอสมควร แต่ถามว่าคุณมีวิจารณญาณที่จะเลือกหนังสือและมีวิจารณญาณที่จะใช้สื่อของไพร่หรือสามัญชนหรืออำมาตย์ก็ได้ จะใช้สิทธิ์ในฐานะที่เป็นผู้อ่าน ในฐานะที่เป็นคนอ่านที่มีคุณภาพอย่างไร" นับเป็นประเด็นที่ทิ้งเอาไว้ให้คิดอย่างแหลมคมยิ่งนักว่า…อะไรคือ ภาพจริงอะไรคือภาพลวง!?!
ขอขอบคุณบทความจาก : พรชัย จัทรโสก
เอื้อเฟื้อภาพ/ข้อมูลบางส่วน : ไทยไรเตอร์ ดอตเน็ต