Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ภัควดี วีระภาสพงษ์ นักแปลผู้มีวาระซ่อนเร้น

 

 
 
“It's not by chance that a man is created with his heart on the left”
“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ธรรมชาติสร้างมนุษย์มาให้หัวใจตั้งอยู่ข้างซ้าย”
รองผู้บัญชาการมาร์กอส แห่งกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซาปาติสตา
 
หากถามว่าใครคือเจ้าของวลีนี้ในพากย์ไทย หลายคนคงคาดเดาได้ไม่ยาก เพราะเพียงวลีสั้น ๆ ก็บอกถึงเอกลักษณ์ของนักแปลผู้นี้
 
นี่คือวรรคทองในดวงใจของ ภัควดี วีระภาสพงษ์ ที่เจ้าตัวบอกว่าชอบทั้งความหมายและสำนวนแปล
 
ชื่อภัควดี แม้จะไม่ได้ขึ้นทำเนียบนักแปลที่มีผลงานยอดฮิตติดอันดับหนังสือขายดี หากแต่บรรดาคอวรรณกรรมแปลต่างก็รู้กันดีว่า ชื่อนี้คือนักแปลมากฝีมือที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง 
 
การันตีด้วยผลงานซึ่งเป็นที่ประจักษ์ทั้งท่วงทำนองและสำนวนภาษาอันเป็นเอกลักษณ์ อาทิ สมัญญาแห่งดอกกุหลาบ โดย อุมแบร์โต เอโก ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต, ความเขลา, อมตะ และ รักชวนหัว ของ มิลาน คุนเดอรา แผ่นดินของชีวิต, ผู้สืบทอด, รอยย่างก้าว ของ ปรามูเดีย อนันตา ตูร์ ฯลฯ 
 
ภัควดี-ผู้ทำงานแปลมากว่า ๒๐ ปี หากแต่เพิ่งยอมรับเมื่อไม่นานมานี้ว่าตัวเองคือนักแปล ทั้งประกาศตัวว่าเป็น “นักแปลที่มีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง”-กล่าวถึงทัศนะที่มีต่อการทำงานแปลไว้สั้น ๆ ว่า
 
“นักแปลก็เปรียบเสมือนนักแสดงไร้เวที…แต่การแปลมีความสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ดังนั้น ภารกิจของเราจึงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”
 
……………………………………………………………………
 
“มีนักเขียนท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า นักแปลที่ดีต้องมีคุณสมบัติ ๒ อย่างในตัว และต้องมีควบคู่กัน ด้านหนึ่ง คุณต้องมีความเป็นบัณฑิตอย่างที่สุด อีกด้านหนึ่ง คุณต้องเป็นคนที่โง่บัดซบเลยที่มาทำงานนี้”
 
ภัควดีเริ่มต้นบทสนทนา เธอแถลงต่อไปว่า ความเป็นบัณฑิต ก็คือผู้ใฝ่รู้ในทุกเรื่อง
 
และแน่นอน หากรู้ว่าตนโง่บัดซบ นั่นก็คือบ่อเกิดแห่งความเพียร
 
เพราะกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ภัควดีบอกเสมอว่าได้ภาษามาอย่างยากลำบาก โดยเฉพาะการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง หลังจากตัดสินใจเดินออกจากรั้วโรงเรียนตั้งแต่จบ ม.ศ. ๔ ร.ร. สตรีมหาพฤฒาราม 
 
“ติดนิสัยการอ่านมาตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนมัธยมก็อ่านหนังสือเกือบทุกประเภท ทั้งวรรณกรรมไทย รามเกียรติ์ พระอภัยมณี อิเหนา นิยายนักสืบ วรรณกรรมเชิงปรัชญา วรรณกรรมเชิงสังคมการเมือง ของ จิตร ภูมิศักดิ์, วัฒน์ วรรลยางกูร, เสนีย์ เสาวพงศ์ นิยายจีนกำลังภายใน โดยเฉพาะของกิมย้งและโกวเล้ง ฯลฯ แต่หนังสือที่มีอิทธิพลทางความคิดคือ ปาจารยสาร และ โลกหนังสือ ทำให้เรารู้สึกว่าทั้งหมดที่เราเรียนในโรงเรียนไม่มีประโยชน์อะไรเลย หนังสือ ๒ เล่มนี้ต่างหากบอกในสิ่งที่เราอยากรู้ เหมือนเป็นมหาวิทยาลัยในหนังสือที่สอนเรา”
 
อิทธิพลจากหนังสือทำให้ภัควดีปฏิเสธระบบการศึกษาในโรงเรียน หากก็ด้วยแรงบันดาลใจจากหนังสืออีกเช่นกัน ที่ทำให้เธอสอบเอนทรานซ์เข้าคณะศิลปศาสตร์ ม. ธรรมศาสตร์ และมาเลือกเรียนสาขาปรัชญา 
 
“มีรุ่นพี่คนหนึ่ง (พจนา จันทรสันติ) แนะนำหนังสือ โสกราตีส ให้อ่าน จำได้ว่าตอนนั้นเป็นไข้หวัด นอนอ่าน ๆ ๆ แล้วชอบมาก เลยตัดสินใจเรียนปรัชญา การเลือกเรียนปรัชญายังมีเหตุผลค่อนข้างซับซ้อน คือแทนที่จะเลือกเรียนวรรณคดีอังกฤษ เพราะเราก็ชอบอ่านวรรณคดีมาตั้งแต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย แต่ตอนนั้นคิดเพียงว่าอะไรคือความสุขในชีวิต ในชีวิตเราความสุขอยู่ที่การอ่านวรรณกรรม เราจึงไม่ต้องการเรียนวรรณกรรม เพราะเรารู้ว่าถ้าต้องมานั่งเขียนรายงานวิจารณ์วรรณกรรมทุกอาทิตย์ มันคงเป็นการทำลายความสุขอย่างเดียวที่เรามี”
 
นั่นก็คือเหตุผลสืบเนื่องให้ตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโท คณะปรัชญา จุฬาฯ ระหว่างนี้เองที่ภัควดีเริ่มทำงานแปลไปด้วย โดยผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ชิ้นแรกคือ “ความเรียงว่าด้วยเรื่องครอบครัว” ของ จี.เค. เชสเตอร์ตัน ตีพิมพ์ใน บานไม่รู้โรย ของ สุชาติ สวัสดิ์ศรี งานแปลบทความของ นอม ชอมสกี ใน ปาจารยสาร สมัยที่ อาทร เตชะธาดา เป็นบรรณาธิการ และแปลเรื่องสั้นลง สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ สมัย นิรันศักดิ์ บุญจันทร์ เป็น บ.ก.
 
ถ้าถามว่าอะไรเป็นเกณฑ์ในการเลือกแปลงานชิ้นใดชิ้นหนึ่ง เธอบอกเพียงว่าจะเลือกแปลอะไรก็เป็นผลจากว่าชอบอ่านอะไรด้วย
 
“หนังสือที่มีอิทธิพลต่อการอ่านครั้งสำคัญในชีวิตและส่งผลต่อนิสัยการอ่านมาจนทุกวันนี้ คือ สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ทำให้เป็นคนชอบอ่านอะไรยาว ๆ เกี่ยวกับสังคมการเมืองที่เป็นภาพเหตุการณ์ใหญ่ ๆ สมมุติมีหนังสือ ๒ เล่ม เล่มหนึ่งโปรยปกว่า ‘เป็นเรื่องของความแปลกแยกของปัจเจกบุคคลในเมืองใหญ่’ กับอีกเล่มบอกว่า ‘เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ที่จะทำให้คุณไม่อยากมีชีวิตอยู่ในยุคนั้น’ จะเลือกอ่านเล่มหลังทันที”
 
ด้วยเหตุนี้ วรรณกรรมที่เธอเลือกมาแปลจึงไม่พ้นไปจากที่เธอเลือกหยิบมาอ่าน โดยเฉพาะวรรณกรรมคลาสสิกร่วมสมัย ๒ เล่มแรกในชีวิตที่สร้างชื่อให้ภัควดีมากที่สุด
 
 “ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต ของคุนเดอรา เป็นงานที่มีเสน่ห์ตรงที่เป็นวรรณกรรมในเชิงความคิด ตั้งคำถามกับโลกทัศน์ที่คนส่วนใหญ่มักเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นหรือที่ทึกทักกันมา 
 
“สำหรับ สมัญญาแห่งดอกกุหลาบ ของเอโก เริ่มแรกที่อยากแปลเพราะช่วงนั้นอ่านงานแปลของแสงทอง เช่น ขุมความเท็จ แล้วรู้สึกคลั่งไคล้ในภาษาของเขา ประจวบกับใน สมัญญาฯ เล่าด้วยสำนวนภาษาสมัยเก่า เราก็ตั้งใจไว้เลยว่าถ้าเราบัญญัติคำว่า ‘anti-christ’ ได้ เราจะแปลนิยายเรื่องนี้ ก็บังเอิญไปค้นเจอคำว่า ‘อันตะ’ แปลว่า สิ้นสุด ปลายทาง พอบัญญัติว่า ‘อันตคริสต์’ ก็รู้สึกว่ามันเข้ากันได้กับคำคำนี้ จึงเป็นที่มาของการแปลงานชิ้นนี้ แปลไปได้ส่วนหนึ่งทางคบไฟก็ติดต่อมาว่าจะพิมพ์ เราก็มาคิดว่าเราจะต้องแก้ไขภาษาให้คนอ่านรู้เรื่องไหม แต่สุดท้ายตัดสินใจว่าไม่แก้ เพราะเชื่อว่าศัพท์ที่มีอยู่แล้ว หากเรามัวแต่กลัวว่ายากเกินไปเลยไม่นำมาใช้ มันก็ตาย ฉบับแปลครั้งแรกนี้จึงเต็มไปด้วยคำที่เป็นภาษาโบราณ”
 
การทำงานแปลเล่มหนึ่ง ๆ คงไม่ได้ยุติลงตรงที่งานชิ้นนั้นได้รับการตีพิมพ์แล้ว หากเสียงตอบรับที่มีต่อผลงานต่างหากคือสิ่งที่นักแปลพึงน้อมรับ ดังเช่นงานของคุนเดอราได้รับเสียงตอบรับดีเกินคาด กระทั่งคำที่บัญญัติขึ้นในนิยายเล่มนี้ก็ถูกหยิบยกไปใช้ในการวิจารณ์สังคมในแง่มุมต่าง ๆ 
 
“ยกตัวอย่างคำว่า ‘รสนิยมสาธารณ์’ แปลมาจากคำว่า kitsch จริง ๆ แล้วคำว่า kitsch หมายความได้หลายอย่าง เช่นหมายถึงศิลปะดาษดื่น พวกศิลปะกระจอก แต่ตอนบัญญัติว่ารสนิยมสาธารณ์ เราพยายามคิดว่าคุนเดอราพูดอะไร และเขากำลังหมายถึงอะไร เป็นการบัญญัติไว้เพื่อใช้ในนิยายเรื่องนี้เท่านั้น ก็หวังว่าคนอ่านคงเข้าใจว่าไม่ได้หมายความว่าคำคำนี้จะไปใช้แทนคำว่า kitsch ได้ คำนี้มีคนยกเอาไปใช้กันเยอะ เช่นเดียวกับคำว่า ‘ความเบาหวิวเหลือทน’ ที่มีคนเอาไปใช้ล้อกับอะไรต่าง ๆ มาก”
 
เช่นกัน หลังจาก สมัญญาแห่งดอกกุหลาบ ออกสู่สายตาผู้อ่าน ก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างกว้างขวาง ได้รับการโพสต์เป็นกระทู้ที่มีการแสดงความคิดเห็นอย่างคึกคัก มีการจัดวงเสวนาหนังสือขึ้นบ่อยครั้ง รวมถึงบทวิจารณ์วรรณกรรมเรื่องนี้ด้วย
 
แต่สำหรับคนแปล เสียงสะท้อนจากหนังสือเล่มนี้สร้างความหนักใจให้มากที่สุด
 
 
“นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องตลก ยิ่งอ่านซ้ำมากเท่าไร ผู้แปลก็ยิ่งเห็นความขบขันมากขึ้นเท่านั้น ทว่ามีเพียงตอนเดียวที่ผู้แปลกลับเศร้าสะเทือนใจทุกครั้งไป คือฉากที่เหล่าบรรพชนในพระคัมภีร์เข้ารุมทึ้งดรุณีผู้ถูกข้อหาเป็นแม่มด
“… จากนั้นทุกคนพากันรุมอยู่บนซากศพ เขวี้ยงมูตรคูถใส่นาง ตดใส่หน้านาง ฉี่รดหัวนาง อ้วกใส่อกนาง ทึ้งผมนาง ฟาดก้นนางด้วยคบไฟร้อนแดง กายาของดรุณีซึ่งเคยงามลาวัณย์ บัดนี้ย่อยยับรุ่งริ่ง…”
 
“เป็นเล่มที่ถูกวิจารณ์มากที่สุด เรียกว่ามีทั้งสองด้าน ไม่เกลียดไปเลยก็ชอบไปเลย มีทั้งคนที่บอกว่าเป็นหนังสือแปลที่แย่มาก อ่านไม่รู้เรื่อง กับคนที่บอกว่าชอบมาก เป็นหนังสือในดวงใจเขาเลยก็มี คนที่ไม่ชอบก็มีทั้งนักวิจารณ์ที่มีชื่อเสียง ส่วนคนที่ชอบก็มีทั้งนักวิชาการที่มีชื่อเสียงเช่นกัน 
 
“เสียงตอบรับช่วงแรกจะเป็นไม่ชอบ และมาจากคนที่เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงในวงการวรรณกรรมพอสมควร บอกว่าเราใช้คำยากเกินไป จริงอยู่ ในบางช่วงเอโกไม่ได้ใช้คำยากขนาดนั้น แต่มีบางช่วงเหมือนกันที่เอโกเขียนไม่ง่ายเลย ยอมรับว่าในการแปลครั้งแรก เราแปลในช่วงบทสนทนายากไป พอเสียงวิจารณ์กลับมาเราก็เห็นด้วย ขณะเดียวกันสำนักพิมพ์เกิดความไม่มั่นใจ เพราะวรรณกรรมเรื่องนี้ขายดีมากในต่างประเทศ แต่เมื่อแปลออกมาแล้วยอดขายในบ้านเรากลับไม่ดีเท่าที่ควร สำนักพิมพ์ก็ท้าว่าเราอยากแก้หรือเปล่า เราก็บอกว่าถ้าจะพิมพ์เราก็จะแก้ จนพอแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นในฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒ ก็มีเสียงสะท้อนจากคนที่ชอบฉบับพิมพ์ครั้งแรกว่า เล่มแรกดีกว่า ให้รสชาติกว่า ให้บรรยากาศที่ลึกลับกว่า หนังสือเล่มนี้จึงกลายเป็นงานแปลที่จนทุกวันนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียง คือมีทั้งคนชอบและคนไม่ชอบ
 
“เสียงสะท้อนจากหนังสือเล่มนี้ยังทำให้เราพบว่า ลักษณะเฉพาะพิเศษของนักอ่านเมืองไทย ซึ่งไม่รู้เป็นชาติเดียวในโลกหรือเปล่า คือคนไทยไม่เปิดพจนานุกรมไทยเวลาเจอคำที่ไม่รู้ ขณะที่คนญี่ปุ่นเขาเปิดพจนานุกรมภาษาญี่ปุ่นเวลาเขาอ่านหนังสือภาษาญี่ปุ่น เพื่อนที่เป็นคนญี่ปุ่นยังเคยถามเราว่า คนไทยรู้จักคำไทยทุกคำหรือ เพราะเขาไม่เคยเห็นคนไทยเปิดพจนานุกรมไทยเลย
 
“ตัวอย่างเช่นใน สมัญญาฯ เราใช้คำว่า ‘สวาบ’ ที่แปลว่า สีข้างของสัตว์สี่เท้า คำนี้เป็นคำไทยที่มีในพจนานุกรม แต่ไม่มีคนใช้แล้วในภาษาไทยทั่วไป เราก็ถูกวิจารณ์ว่าทำไมใช้คำนี้ อ่านแล้วไม่รู้เรื่อง แต่ถามว่าเวลาเจอคำว่า muzzle ที่แปลว่าส่วนที่ยื่นออกมาของปากสุนัข คุณเปิดดิกชันนารีไหม คุณกลับไม่ด่าฝรั่งว่าทำไมไม่ใช้คำว่า mouth แสดงว่าคุณก็ยอมรับว่าฝรั่งใช้คำเฉพาะ แต่คุณไม่ยอมรับคำเฉพาะนี้ในภาษาไทยซึ่งมีบัญญัติไว้แล้ว นี่เป็นปัญหาที่แปลกประหลาดมากของคนไทย ซึ่งก็คงต้องท้าทายกันระหว่างคนแปลกับคนอ่านในระดับหนึ่งเหมือนกัน”
 
มีคนเคยบอกว่าถ้าจะวิจารณ์นักแปลท่านนี้ ต้องทำการบ้านหนักทีเดียว เพราะในกระบวนวิธีทำงานแปลของเธอนั้นหินไม่ใช่เล่น แม้เพียงข้อสงสัยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่เคยยอมปล่อยผ่าน และแม้จะอยู่ในแห่งหนที่ขาดแคลนเทคโนโลยีเพื่อสืบค้นข้อมูลก็ตาม 
 
“ตอนแปล สมัญญาฯ ครั้งแรกยังไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้ การค้นจึงเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุด เรามาซื้อคอมพิวเตอร์และหัดใช้อินเทอร์เน็ตครั้งแรกเพราะได้ยินว่ามี Britannica online ใน สมัญญาฯ มีคำศัพท์อยู่คำหนึ่งซึ่งมีอธิบายไว้ในหนังสือ Keys to The Name of the Rose แต่สมัยนั้นหาซื้อไม่ได้ พอมีอินเทอร์เน็ตใช้ เราก็ลองเสิร์ชจนไปเจออาจารย์สอนวรรณคดียุคกลางคนหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่อเมริกา เลยลองเขียนอีเมลไปถามเขา เขาก็อุตส่าห์คีย์ข้อความที่เป็นคำอธิบายจากหนังสือเล่มนี้ส่งมาให้เรา หนังสือเล่มนี้คงสำเร็จลงไม่ได้ถ้าไม่มีอินเทอร์เน็ต
 
“โดยอุปนิสัยความเป็นคนช่างสงสัย ชอบตั้งคำถาม ทำให้เราลังเลเสมอว่าแปลถูกหรือเปล่า ไม่เคยทึกทักว่าที่เราแปลมาถูกต้องแล้ว จึงต้องหมั่นค้น เปิดศัพท์เกือบทุกคำ ตรวจซ้ำหลายครั้ง ถ้าจะมีความเชื่อมั่นในตัวเองก็ไม่ได้เชื่อมั่นว่าเราเก่ง แต่เชื่อมั่นว่าเราได้ค้นมาปรุโปร่งแล้ว และถึงที่สุดแห่งความสามารถของตัวเราที่จะไปสรรหาความรู้หรือสืบค้นแล้ว นี่คือความเชื่อมั่นที่มี”
 
ไม่น่าแปลกใจที่โต๊ะทำงานของเธอเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือเป็นต้นว่า พจนานุกรมอังกฤษ-ไทย ของ ส. เสถบุตร ดิกชันนารีฉบับออกซฟอร์ด ศัพท์ศิลปะสถาปัตยกรรม ศัพท์ปรัชญา ศัพท์ดนตรี ศัพท์การช่าง ศัพท์เศรษฐศาสตร์และภูมิศาสตร์ สารานุกรมประวัติศาสตร์ และอีกมากมายที่จะเลือกหยิบค้น 
 
“ส่วนใหญ่ที่ต้องค้นคือสิ่งที่หนังสือเล่มนั้นพาดพิงถึง เช่น ประวัติศาสตร์หรือวรรณกรรมเล่มอื่น เราก็พยายามไปดูว่าประวัติศาสตร์ช่วงนั้นเป็นยังไง ถ้าพาดพิงถึงแนวคิดในคัมภีร์ไบเบิล ก็ไปเปิดไบเบิลดูว่าตรงนั้นเขาว่ายังไง พาดพิงถึงความคิดของนักปรัชญาสักคน เราก็ไปค้นดูว่าคนนี้เขาพูดเรื่องอะไรบ้าง ศัพท์บัญญัติของสาขานั้น ๆ เราก็ต้องไปค้นดูว่ามีการบัญญัติคำนี้ไว้ไหม ถ้ามี บัญญัติว่าอะไร ถ้าไม่มี จะบัญญัติเองว่าอะไร หรือบางทีก็ไปเดินเปิดดูสำนวนต่าง ๆ ตามร้านหนังสือ โดยเฉพาะถ้าต้องแปลบทอีโรติก เราก็ใช้วิธีไปร้านหนังสือ ไปยืนเปิดอ่านตรงชั้นนิยายโรมานซ์ แล้วเลือกอ่านเฉพาะบทอีโรติก อ่านจนกระทั่งรู้ได้เลยว่าเปิดหน้าไหนถึงเจอบทอีโรติกพอดี”
 
นอกจากความอุตสาหะที่ต้องมีในการทำงานแปลแล้ว หลักการที่ถือเป็นหัวใจของการทำงานแปลในความคิดของภัควดีคือ
 
“ต้องมีความชอบก่อนเป็นอันดับแรก มีความต้องการจะถ่ายทอดให้คนอื่นรู้ในสิ่งที่เราอ่าน หรือได้รู้สึกในสิ่งที่เรารู้สึกเวลาอ่าน การจะแปลงานของใคร เราก็จะพยายามอ่านงานของคนนั้นให้มากที่สุดเพื่อให้เข้าใจโลกทัศน์ของเขา แล้วต้องมองโลกด้วยสายตาของผู้เขียน 
 
“ที่สำคัญคือต้องมีวินัยในตัวเอง แปลไปสักพักแล้วต้องคำนวณก่อนว่าหนังสือเล่มนี้ควรแปลให้ได้วันละกี่หน้า ถ้า ๑ วันทำได้ ๓ หน้าภาษาอังกฤษ จะเสร็จภายในกี่เดือน พอลงมือแปลจริง ๆ จังหวะก็มีทั้งเร็วทั้งช้า พอใกล้จะครบเดือนก็มาดูว่าเดือนนี้ทำได้กี่หน้า ถ้าน้อยกว่าเป้าที่ตั้งไว้ก็ควรจะเร่งตัวเอง แต่ไม่ใช่เร่งร้อน เวลาทำงานแปลเราจะมีคติว่า จงทำงานเสมือนกับมีเวลาเป็นนิรันดร์รออยู่ข้างหน้า คือไม่ได้เร่งเพื่อให้จบเป็นเล่มออกมา แต่จะต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ 
 
“คนรุ่นใหม่มักจะมองว่างานแปลเป็นงานโรแมนติก แต่จริง ๆ แล้วงานแปลเป็นสุดยอดของความน่าเบื่อ มันเป็นงานซ้ำซาก ทุกวันคุณต้องทำงานอยู่กับหน้าจอคนเดียว อยู่กับหนังสือเล่มหนึ่งไม่รู้กี่เดือน บางทีเป็นปี อยู่กับตัวอักษรทุกตัวในหนังสือเล่มหนึ่งไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ งานแปลเป็นงานที่ต้องใช้ความอดทนสูงมาก แต่มันสนุกสำหรับเรา”
 
แล้วอย่างไรถึงเรียกว่า “นักแปลที่ดี” ภัควดีให้นิยามว่า “คือคนที่สามารถผลักดันพรมแดนทางภาษาของตัวเองให้ขยายออกไป เพื่อที่จะรับโลกทัศน์ของชนชาติอื่น/วัฒนธรรมอื่นให้เข้ามาอยู่ในโลกทัศน์ของเรา”
 
“ตัวอย่างที่เห็นชัดคืองานแปลนิยายจีน นิยายจีนกำลังภายในใช้ภาษาที่ผิดไปจากมาตรฐานภาษาไทย แต่กลับเป็นภาษาที่มีอิทธิพลต่อภาษาไทยมาก มากจนกระทั่งเราเชื่อว่าทำให้ภาษาไทยมีลักษณะเปลี่ยนรูปไป อย่างการใช้โครงสร้างภาษาเช่น กลางห้องยืนไว้ด้วยบุรุษผู้หนึ่ง เป็นต้น ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาก 
 
“เวลาเราพยายามจะถ่ายทอดความคิด มโนคติ โลกทัศน์ของคนในวัฒนธรรมอื่น เรามักจะเดินไปชนพรมแดนของภาษาของเราเสมอ หน้าที่ของคนแปลคือ ต้องพยายามขยายพรมแดนภาษาของเราให้ครอบคลุมโลกทัศน์ มโนทัศน์ หรือความคิดของคนในวัฒนธรรมอื่นให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ซึ่งแน่นอนบางทีก็ทำไม่ได้ทั้งหมด มันเป็นหน้าที่ที่ต้องมีการสั่งสมไปเรื่อย ๆ แล้วภาษาในวัฒนธรรมหนึ่ง ๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเพราะการถ่ายทอดแบบนี้ ถึงขนาดมีคนบอกว่าอารยธรรมตะวันตกทั้งหมดเกิดขึ้นมาจากการแปล การแปลสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่โลกมามาก แต่คนแปลมักจะอยู่ข้างหลัง 
 
“จะว่าไปสถานะของนักแปลเป็นอย่างนี้มานานแล้ว เรียกได้ว่าเป็น ‘นักแสดงไร้เวที’ ฝรั่งมีคำเปรียบเปรยว่า อาชีพที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคือนักแปลกับโสเภณี หรือแม้กระทั่งภาษิตของคนอิตาลีที่บอกว่าการแปลคือการทรยศ ก็แสดงให้เห็นว่าอาชีพนักแปลเป็นอาชีพที่คลุมเครือเสมอมา เป็นอาชีพที่มักถูกตั้งข้อสงสัยมาแต่ไหนแต่ไร ในแง่ความมีศักดิ์และสิทธิ์ของอาชีพ แน่นอน นักแสดงอยู่บนเวทีย่อมได้รับคำชื่นชม นักแสดงไร้เวทีก็ย่อมถูกตั้งคำถามหรือถูกเยาะหยันอยู่แล้ว นักแปลจึงมักถูกมองว่าเป็นรองนักเขียนเสมอ แต่บางทีนักแปลก็เปลี่ยนแปลงโลกได้เหมือนกัน”
 
นอกจากวรรณกรรมแปล ภัควดียังมีผลงานแปลในข่ายวิเคราะห์วิพากษ์สังคม เศรษฐกิจ การเมืองในต่างประเทศ อาทิ อเมริกา อเมริกา อเมริกา, เปรู บนเส้นทางเศรษฐกิจนอกระบบ, รายงานลูกาโน รวมถึงบทความแปลซึ่งได้รับการตีพิมพ์ใน a day weekly ที่ได้รับการกล่าวขานมากคือเรื่องกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซาปาติสตาในเม็กซิโก, คอลัมน์ “คำขบวน” ใน ฟ้าเดียวกัน คอลัมน์ “โลกละตินอเมริกา” ในเว็บไซต์ประชาไท และวิทยาลัยวันศุกร์ งานแปลเหล่านี้เองทำให้ภัควดีกลายเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านผลกระทบจากการค้าเสรี โลกาภิวัตน์ และขบวนการต่อสู้ปลดปล่อยของผู้คนในโลกที่สาม โดยเฉพาะประเทศในแถบละตินอเมริกา
 
 “รองผู้บัญชาการมาร์กอสพูดบ่อย ๆ ว่า ถ้าไม่ยิงกระสุนนัดแรก ก็ไม่มีใครได้ยินพวกเขา โลกทั้งโลกลืมไปด้วยซ้ำว่าพวกเขามีตัวตนอยู่ ชาวซาปาติสตาจึงต้องสวมหน้ากากเพื่อให้โลกมองเห็น และถอดหน้ากากเพื่อหายตัวไป”
 
“คนที่สนใจกระแสแนวคิดของฝ่ายซ้าย เชื่อไหมว่าถ้าอ่านงานในต่างประเทศเกี่ยวกับฝ่ายซ้ายหรือขบวนการสังคมใหม่ รับรองสุดท้ายจะต้องไปลงที่ละตินอเมริกา ซึ่งเป็นกระแสที่มาแรงในขณะนี้ แต่ที่เราสนใจละตินอเมริกาครั้งแรกก็เพราะได้เห็นภาพข่าวอาร์เจนตินาช่วง ค.ศ. ๒๐๐๑ เศรษฐกิจของอาร์เจนตินาล่มสลาย คนออกไปปล้นร้านค้า บ้านเมืองไร้ขื่อแป เกิดจลาจล นักวิชาการจำนวนมากบอกว่าต่อไปเมืองไทยจะเหมือนอาร์เจนตินา แต่เราก็เกิดความสงสัยว่าจริง ๆ แล้วคนอาร์เจนตินาอยู่กันยังไง เพราะเราไม่เชื่อแนวคิดของฮอบส์ (Hobbes) ที่ว่าเมื่อรัฐล่มสลายมันจะเกิดสภาพของ “สงครามระหว่างทุกคนกับทุกคน” เราก็เริ่มต้นไปค้นจนได้รู้ว่าในสภาพสังคมที่ล่มสลาย มันเกิดการช่วยเหลืออุ้มชูกันในชุมชนขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่นเมื่อโรงงานล้มละลาย คนงานถูกลอยแพ คนงานไม่มีทางหางานที่อื่นทำได้ก็ยึดโรงงานมาดำเนินกิจการเอง หรือมีการตั้งสมัชชาละแวกบ้านขึ้น โดยคนชั้นกลางรวมตัวกันหาทางช่วยเหลือคนที่ตกงาน เช่นเก็บกระดาษไว้ให้คนจนที่ตกงานเอาไปขาย ดังนั้น แรกเริ่มจากความอยากรู้ก็ขยายเป็นความสนใจมาจนทุกวันนี้”
 
เหนืออื่นใด นักแปลผู้นี้บอกว่า งานแปลทางวิชาการเกือบทั้งหมดล้วนมีวาระทางการเมืองซ่อนเร้นอยู่
 
“เหตุผลพื้นฐานเลยที่แปลงานเหล่านี้เป็นเพราะเมื่อเรามีลูก เรารู้สึกว่าเราควรจะรับผิดชอบในหน้าที่ของความเป็นแม่ ไม่มีใครอยากให้ลูกเกิดมาในโลกที่เลวร้าย เราทำให้เขาเกิดมา เราก็ควรจะพยายามทำให้โลกดีขึ้น ทำให้สังคมดีขึ้น และหวังว่ามันจะดีขึ้น ยอมรับว่างานแปลทางวิชาการเกือบทั้งหมด คนแปลผู้นี้มีวาระทางการเมืองซ่อนเร้นอยู่ทั้งนั้น
 
“และงานแปลเหล่านี้เองที่วิจารณ์สังคมการเมืองในตัวมันเอง เราเชื่อว่าการเมืองเป็นเรื่องของยอดภูเขาน้ำแข็ง ตัวละครทางการเมืองทั้งหลายเป็นแค่ฉากข้างบน สิ่งที่เกิดขึ้นจริงอยู่ข้างใต้ภูเขาน้ำแข็งซึ่งคนมักจะมองไม่เห็นต่างหาก นั่นคือ ใครเป็นผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจ ใครเป็นผู้กุมปัจจัยการผลิต และตราบใดที่ผู้คนยังไม่มีการจัดตั้ง (ทางอุดมการณ์และการเคลื่อนไหว) ก็ย่อมไม่มีอำนาจในการต่อรองกับสิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านี้ เพราะฉะนั้นงานแปลของเราส่วนใหญ่จึงเลือกพูดถึงกลุ่มคนที่มีการจัดตั้ง ด้วยความเชื่อในพลังของคนเหล่านี้ นี่คือนัยซ่อนเร้นที่แฝงอยู่ของการทำงานแปลทางวิชาการ”
 
หมายเหตุ : ติดตามงานแปลเล่มล่าสุดของภัควดี The Corporation บนแผงหนังสือเร็ว ๆ นี้ 
 
 
“จริง ๆ แล้ว ธาตุแท้เพียงอย่างเดียวที่บรรษัทมีก็คือ ทำเงินให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ในทุกไตรมาส แค่นั้นแหละ
 
“ผมเชื่อว่าต้องมีบ้างสักคนสองคน ที่เดินออกจากโรงหนังโรงนี้ไป แล้วลงมือทำอะไรสักอย่าง และทวงคืนโลกใบนี้กลับมาอยู่ในมือของเรา”
 
ไมเคิล มัวร์ ในหนังสารคดี The Corporation: บรรษัทวิปลาส 
(ดีวีดีเผยแพร่ใน ฟ้าเดียวกัน ฉบับ ก.ค.-ก.ย. ๒๕๕๐)
 
 
ขอขอบคุณ : คุณพิภพ อุดมอิทธิพงศ์, คุณกิตติชัย งามชัยพิสิฐ, คุณพัชรี อังกูรทัศนียรัตน์ และโครงการจัดพิมพ์คบไฟ โทร. ๐-๒๓๓๒-๒๕๔๓
 
   
วิรพา อังกูรทัศนียรัตน์ : รายงาน
นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 271 > กันยายน 50 ปีที่ 23