Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

พูดคุยกับ ปราบดา หยุ่น อีกสักครั้ง

 

 
คุณ ปราบดา หยุ่น ครับ.. สวัสดีครับ เชิญนั่งครับ “สวัสดีครับ” คุณปราบดาจะไม่ค่อยชินเท่าไหร่ กับเวทีแบบนี้ กับความรู้สึกแบบนี้ แต่จริง ๆ แล้วคนที่นั่งอยู่ที่นี่ รวมทั้งตัวผมเองด้วย แล้วก็คุณผู้ชมทางบ้านหลาย ๆ คนก็คงชื่นชมในตัวคุณ และก็ชอบในงานในสิ่งที่คุณทำ แต่ก็อาจมีหลายคน.. ที่ไม่ชอบ “แน่นอน” คุณว่ามันเป็นธรรมดาชีวิตมั้ย.. “ธรรมดามากครับ โดยเฉพาะกับงานที่ผมทำ” งานการเขียนนี่นะ “การเขียนหรือว่าการแสดงความคิดเห็นของตัวเองครับ เพราะว่าแน่นอน ในสังคมก็ต้องมีคนคิดเห็นไม่เหมือนกัน” 
 
 
ใช่.. มันจริงแค่ไหนที่เราจะอยู่ตรงเส้นตรงกลางได้ตลอดไป ไม่ไปซ้ายไม่ไปขวา มันเป็นไปได้มั้ย “เอ่อ.. น่าจะมีคนที่ทำได้แต่คิดว่ายากมาก เพราะว่าเส้นมันบางมาก บางทีเราก็ต้องเอนไปข้างนี้ บางทีเราก็ต้องเอนไปข้างนี้” ใช่.. มันแคบเหลือเกิน ยิ่งยืนยิ่งแคบ เพราะฉะนั้นจริง ๆ บางครั้งเราก็อาจจะต้องไปทางซ้าย บางทีเราก็ต้องไปทางขวา แต่ว่าถ้าทำได้จริง ๆ มายืนตรงกลางได้ รู้สึกสบายหน่อย.. “ผมว่าเราควรจะ.. อย่างน้อยไม่ลืมว่ามีตรงกลางอยู่ ถ้าไปซ้ายก็กลับมาตรงกลาง ไปขวาก็กลับมาตรงกลาง” ใช่.. หาตรงกลางให้เจอ ก็เหมือนทางสายกลางนะ “จริง ๆ ก็คือหลักพุทธศาสนา” ครับ..
 
 
ยินดี มากที่คุณปราบดา หยุ่น ได้รางวัลและยินดีมากที่คุณปราบดา หยุ่นทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้ทั้ง ๆ ที่อายุยังน้อย ปีนี้อายุเท่าไหร่ครับ “ 29 ครับ ก็ไม่น้อยครับ.(หัวเราะ)” น้อยมากสำหรับครับสำหรับคนที่จะได้กวีซีไรท์ น้อยมาก ๆ เลยนะครับปราบดา หยุ่น คำว่า ”หยุ่น” ในที่นี้พอฟังทั้ประเทศนี้เค้ารู้จักหมด นะ.. คุณพ่อ เป็นลูกของคุณศุทธิชัย หยุ่นนี่มันอึดอัดมั้ย “เอ่อ.. ไม่อึดอัดครับ” กดดันมั้ย “ไม่กดดันครับ” ดีมั้ย “ดีครับ” ดียังไง “เอ่อ.. ผมก็ภูมิใจ ในความเป็นศุทธิชัย หยุ่น คือไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นลูก ผมวัดจากคนที่ได้เห็นผลงานของแก และได้ดูสิ่งที่แกทำครับ ก็ภูมิใจในสิ่งที่แกทำ เพราะฉะนั้นผมจะไม่รู้สึกกดดันอะไร เพราะว่าผมคิดว่า คืออย่างน้อย.. คุณพ่อก็เป็นคนดี เพราะฉะนั้นก็ ดีใจครับ” คราวนี้เวลาที่คุณพ่อเป็นคนดี คนเก่งด้วย คนทั่ว ๆ ไป เวลาที่มาหาคุณ หรืออะไรก็ตาม เค้าจะต้องบอก เก่งให้เหมือนพ่อนะ ดีให้เหมือนพ่อนะ ทำให้ได้อย่างพ่อนะ ไอ้สิ่งเหล่านี้ คุณได้ยินบ้างมั้ย “เอ่อ.. ก็ได้ยินบ้างนะครับ” มันรู้สึกยังไง “แต่ว่าก็ไม่เอามาเป็นสิ่งสำคัญ ที่มากดดันชีวิตเรา เพราะว่า ผมคิดว่าก็ต้องทำเต็มที่ในสิ่งที่เราถนัด หรือว่าสิ่งที่เราสามารถมากกว่า” 
 
 
ครับผม ฉะนั้นเวลาที่คุณได้ยินสิ่งเหล่านี้ แทนที่จะเป็นความกดดัน กลายเป็นความภูมิใจ “ก็ ใช่ครับ ภูมิใจ แล้วก็คิดว่าทำดีแบบพ่อไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำดี หรือทำในสิ่งที่คุณพ่อทำ อย่างเช่นความซื่อสัตย์ สุจริต ทุกคนก็สามารถทำได้ ไม่ใช่ว่าเป็นนักหนังสือพิมพ์แล้วจะต้องซื่อสัตย์ เราก็นำมาประยุกต์ใช้ในความซื่อสัตย์ในอาชีพของเราเอง”
 
 
ครับผม คุณมีพี่น้องกี่คนครับ “มีน้องสาว 1 คนครับ” ตัวคุณเป็นคนโต “เป็นคนโตครับ” ครับผม ชีวิตของคุณจริง ๆ เป็นคนยังไง “เป็นคน.. ยังไม่รู้เลยครับ..(หัวเราะ)” ขี้อายมั้ย “ขี้อายครับ ขี้อายมาก” ขี้อายมาก.. “ครับ” ทำไม “อืม.. ไม่รู้ทำไม แต่ว่าเคย เคย.. จริง ๆ แล้วความขี้อายเป็นสิ่งที่ผมรำคาญมากเพราะว่าเป็นมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็.. จริง ๆ อยากทำอะไรหลาย ๆ อย่างว่าไม่ได้ทำเพราะขี้อาย เวลาโรงเรียนมีการประกวดอะไรอย่างนี้ ที่จริงเราเป็นเด็กเราก็อยากจะแสดงออก แต่ว่า พอถึงเวลาจริง ๆ แล้วอาย ก็ไม่ได้แสดงออก เพราะฉะนั้น พอโตขึ้น ๆ ก็ค่อย ๆ ปรับปรุงตัวเอง ถึงวันนี้ก็ใช้วิธีแอบความขี้อายไว้ แต่ก็ยังขี้อายอยู่” ยังอายอยู่ แต่แอบไว้ ไม่เหมือนตอนเด็ก ๆ ถ้าเกิดเค้าเรียกขึ้นเวทีนี่ “ไม่ขึ้นแน่นอน” ไม่ขึ้นเลยเหรอครับ มีถึงร้องมั้ยถ้าเกิดต้องขึ้นจริง ๆ “ไม่ร้อง แต่วิ่งหายไปครับ” อ้อ! ใช้วิ่งหายไปแทน นั่นเป็นคนขี้อายจริง ๆ 
 
 
มี ชื่อเล่นมั้ยครับปราบดา หยุ่น “ชื่อคุ่นครับ” ชื่อ.. “คุ่น ครับ” คุ่น หมายถึงอะไร “เอ่อ.. เป็นชื่อแมลงทางภาคอีสานครับ” ใครเป็นคนตั้งครับ “คุณแม่ครับ” คุณแม่ตั้งให้ชื่อคุ่น คุณพ่อเป็นนักหนังสือพิมพ์ คุณแม่เป็น.. “เอ่อ..เคยเป็นบรรณาธิการนิตยสาร” นิตยสารอะไรครับ “ลลนา” (ไม่ทราบว่าพิมพ์ถูกหรือเปล่า) ปัจจุบันนี้ “ไม่มีแล้ว” ครับผม.. เรียนหนังสือ เมืองไทยจนถึงชั้นไหนครับ “มัธยมศึกษาปีที่ 3 ครับ” โรงเรียนอะไรครับ “เทพศิรินทร์ครับ” ไปต่อที่ไหน “ไปต่อที่อเมริกาครับ” โรงเรียน.. “โรงเรียน.. ทีแรกไปแถววอชิง ดี ซี เป็นโรงเรียนนานาชาติ แต่เรียนที่นั่นได้ประมาณ 5 เดือนก็ย้ายไปอยู่โรงเรียนแถวบอสตัน ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ” เรียนจนจบปริญญาเท่าไหร่ “ปริญญาตรี” สาขาอะไรครับ “ศิลปะ” 
 
 
การที่คุณพ่อเราเป็นนักหนังสือพิมพ์มีส่วนผลักดันให้ เราเป็นนักเขียนด้วยหรือเปล่า “เป็นส่วนผลักดันทางอ้อมนะครับ เพราะว่าที่บ้านจะมีหนังสือเยอะมาก ทั้งคุณพ่อคุณแม่ก็เป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก เพราะฉะนั้นหนังสือก็ถือเป็นของมีค่าที่บ้านนะครับ แล้วก็ทำให้ผมซึ่งเป็นเด็ก ก็ได้แวดล้อมอยู่ในหนังสือที่มีให้อ่านมากมายครับ ก็เลยชอบอ่านมาตั้งแต่เด็ก ชอบอ่านโดยไม่ได้คิดว่า จะเป็นนักเขียนหรือเปล่า อ่านแล้วมันก็เกิดซึมซับ ความอยากลองที่จะเขียน ก็เลยลองเขียนมาเรื่อย ๆ” นั่นคือสิ่งหนึ่งที่ได้มาจากคุณพ่อ กับคุณแม่ “ครับ” 
 
 
แต่ว่าการโกนหัวนี่ได้มาจากคุณพ่อล้วน ๆ .. ”(หัวเราะ) เอ่อ..จริง ๆ คุณพ่อได้จากผม” อ๋อเหรอครับ อ้าวทำไมครับ “คือ.. ผมโกนก่อนครับ” อ๋อเหรอครับ.. เอ้า! ยังไง ไหนอธิบายหน่อยสิครับ อะ.. คุณทานโทษนะ ของคุณที่ดูจากผมที่มีนี่คุณไม่ใช่คนหัวล้านนะครับ “แต่คุณพ่อผมเป็นคนหัวล้าน” ใช่.. ทีนี้คุณมาบอก คุณพ่อตัดจากคุณได้ไง อธิบาย “เพราะว่าผม.. ตอนอยู่มหาวิทยาลัยปีที่ 1 เนี่ยนะครับ ผมโกนแล้ว ผมก็เริ่มโกน เมื่อก่อนผมไว้ผมยาว แล้วก็ พอโกนเสร็จ กลับมาที่เมืองไทย คุณพ่อตอนนั้นยังมีผมอยู่ประปราย ยังไม่ถึงโกนอย่างนี้ แล้วก็มีหนวดเคราด้วย เท่าที่จำได้ แต่ต่อจากนั้นรู้สึกแกคิดว่า เห็นว่าผมสบายดีหรือไงไม่ทราบ ก็เลยโกนตาม” เลยโกนตาม อ๋อ.. นี่พ่อโกนตามเรานะครับ “ก็มีถาม ๆ นะครับว่าโกนมันยากมั้ย” อ๋อ.. เหรอครับ 
 
 
ที่มันน่าตื่นเต้น น่าแปลกใจสำหรับผมไปยิ่งกว่านี้ คุณดูเฉย ๆ นิ่ง ๆ เงียบ ๆ อย่างนี้ เรียกพ่อ จริง ๆ เรียกว่าอะไร เวลาอยู่บ้านด้วยกัน “พ่อจ๋าครับ” (มีแสงวี้ดว้าย..) ทุกวันนี้ยังเรียกว่าพ่อจ๋าอยู่รึเปล่า “ใช่แล้วครับ พ่อจ่า แม่จ๋าครับ” พ่อจ๋า แม่จ๋าเนี่ยนะ.. ปราบดา หยุ่นอายุ 29 เนี่ยนะ.. พ่อจ๋า แม่จ๋าหนูหิวข้าาวว.!! “คือ.. เหมือกลายเป็นชื่อครับ เพราะว่าตอนเด็ก ๆ ผมเรียกทุกคนที่เป็นญาติผู้ใหญ่ มีคำว่าจ๋าด้วย คือคุณยายจ๋า อย่างนี้ครับ พ่อจ๋า แม่จ๋า.. ก็ติดมากลายเป็น เหมือนกับเป็นคำเดียวกันครับ เหมือนเรียกพ่อ แต่ว่าของผมมีจ๋าตามมาด้วย” ซึ่งกลายเป็นเรื่องดีไปเลยนะ เวลาใครเห็นนะ อายุขนาดนี้แล้วนะ พ่ออยู่ไหน พ่อจ๋า ๆ มีคนมาหาอย่างเนี่ย..(หัวเราะ) “..(หัวเราะ)” น่ารักดี..(หัวเราะ) 
 
 
ตอน ที่คุณมาเป็นนักเขียนเรื่องที่คุณเขียนจะเป็นแนวไหน “แนว.. อธิบายยากนะครับ แต่ว่า.. เอ่อ.. ผมชอบสิ่งที่เป็น.. ผสมผสานระหว่างจินตนาการกับความจริง เพราะฉะนั้นเนี่ย ที่ผมเขียนก็จะมีทั้งประสบการณ์ที่ตัวเองได้มาจริง ๆ แล้วก็แต่งเสริมเติมต่อเข้าไปด้วย บางเรื่องก็อาจจะเหนือจริง ไม่สามารถจะเป็นไปได้เลย บางเรื่องก็เป็นเรื่องง่าย ๆ “ ครับ.. อย่างชิทแตกเนี่ย หนังสือเล่มนี้ มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไร “ชิทแตกเป็นนิยายที่ผมเขียนเป็นเรื่องแรก แล้วก็เป็นเรื่องอิงอนาคต คือเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองไทย อีกประมาณ 100 กว่าปีข้างหน้าครับ” ชิทแตกแปลว่าอะไร “ชิทแตก เป็น.. คล้าย ๆ คำสบถของคนยุคนู้น..” อ๋อ.. “เพราะฉะนั้นในยุคนี้ก็ไม่มีความหมายอะไร เป็นแค่คำที่ผมคิดขึ้นมาเอง” หมายถึงในยุคอนาคต ถ้าเกิดคนจะสบถ ก็จะสบถคำว่าชิทแตก! “ใช่ครับ” เป็นการรวมภาษาไทยกับภาษาอังกฤษรึเปล่า “ใช่ครับ” 
 
 
มันหมายถึง ขี้แตกรึเปล่า “..(หัวเราะ) ก็.. ก็ ประมาณนั้น” อารมณ์นั้น เหมือนกับคนสมัยนี้ อะไรว่ะ หรืออะไรทำนองนี้ “ใช่..” แต่ถ้าคนสมัยหน้าจะไม่พูดอย่างนี้ “จะไม่พูด” ฉะนั้นมันเป็นแนวคิดที่คุณคิดของคุณขึ้นมาเอง “ใช่ครับ” พอใจกับมันเท่าไหร่ “เอ่อ.. พื้นฐานคือพอใจที่ทำสำเร็จ เพราะว่า ก่อนหน้านี้ผมก็รู้สึกทึ่งกับคนที่เขียนนิยายยาว ๆ ได้ คิดว่าเค้าเขียนได้ยังไง 300-400 หน้า นี่นะครับ เราก็เลยพยายามที่จะลองทำดูบ้าง อดทนที่จะอยู่กับมัน แล้วก็เขียนให้ลุล่วงออกมา ก็รู้สึกพอใจที่ตัวเองได้ทำ เอ่อ..ในส่วนของความสมบูรณ์ของเรื่องก็ ผมคิดว่ามันก็ต้องมีข้อบกพร่องบ้าง ถ้ากลับไปอ่านอีกก็ต้องมีสิ่งที่ต้องแก้อีก แต่ว่าโดยรวม ๆ ก็รู้สึกสนุกที่ได้ทำ” 
 
 
ครับ.. และเกี่ยวกับรางวัลซีไรท์ที่ได้รับรางวัล เรื่องที่ได้รับคือ.. “ความน่าจะเป็น” เขียนยาวเท่าไหนครับ “เป็นรวมเรื่องสั้น 13 เรื่องนะครับ” ครับ ความน่าจะเป็น เป็นหนังสือ 1 เล่ม ชื่อเล่มคือความน่าจะเป็น แต่เขียนเรื่องสั้นทั้งหมด 13 เรื่องมารวมกัน “ใช่ครับ” แล้วหนังสือเล่มนี้ก็ถูกส่งเข้าไป.. “ใช่ครับ” ใครเป็นคนส่งครับ “สำนักพิมพ์ครับ” สำนักพิมพ์เป็นคนส่งเอง เราไม่เกี่ยว.. “ใช่ครับ” เมื่อส่งเข้าไปเสร็จคณะกรรมการทางซีไรท์ก็จะเป็นคนพิจารณาทั้งหมดแล้วก็คัด ๆ ๆ แล้วก็คัดออกมาจนใครเป็นกวีซีไรท์ในปีนี้.. คุณได้รับ “ครับ” รู้สึกยังไง “ก็ดีใจเป็นธรรมดาครับ” มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย “มากมาย” มากมาย..รับไหวมั้ย “เอ่อ..ไหวครับ เพราะว่า เป็นสิ่งที่ผมเตรียมใจไว้แล้ว คือไม่ใช่เตรียมใจเฉพาะหนังสือซีไรท์ แค่รางวัลซีไรท์เท่านั้นนะครับ แต่ว่า.. ผมคิดว่าการทำงานที่เกี่ยวกับศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนหนังสือหรืออะไรก็ตาม ต้องมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนที่ไม่ชอบ หรือไม่เห็นด้วยกับวิธีคิดของเราอยู่แล้วนะครับ ก็เลยไม่รู้สึกเป็นทุกข์ร้อนอะไรมากกับเสียงวิจารณ์ ก็ได้ฟัง รับฟังด้วย ก็เป็นสิ่งดีด้วยซ้ำ” 
 
 
การไม่ทุกข์ร้อนต่อเสียงวิจารณ์มันมี หลายวิธีด้วยกัน วิธีที่ 1 ก็คือ ไม่สนใจเลย กับอีกวิธีหนึ่ง ฟังไว้ประดับความรู้ กับอีกวิธีหนึ่ง ฉันไม่เชื่อ.. คุณ เป็นแบบไหน “เอ่อ.. ฟังไว้ประดับความรู้ครับ” ครับผม.. เพราะฉะนั้น จริง ๆ แล้วเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นสิ่งซึ่ง ไม่กระทบกระเทือนคุณเท่าไหร่ “ไม่กระทบกระเทือนในแง่.. ไม่ได้ทำให้ผมท้อถอย หรือว่ารู้สึกเศร้า ที่มีคน..ด่าเรา ก็..เอ่อ แต่ทำให้ยิ่งอยากทำงานมากขึ้น” มันโกรธมั้ย ไอ้ไม่เห็นด้วยก็เรื่องหนึ่ง บางทีโมโหมั้ย มีโกรธมั้ย “..มันไม่ใช่ความโกรธแต่มันเป็นความรู้สึกว่า บางคนก็ไม่เข้าใจเรา มันเป็นความไม่เข้าใจมากกว่า หรือว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่เราทำ หรือว่าพื้นฐานความเข้าใจต่างกัน อย่างงี้มากกว่า” ครับ.. นั่นคือฝ่ายคนที่เค้าไม่ชอบ “ใช่ครับ” 
 
 
แล้วฝ่ายคนที่เค้าชอบ เค้ามาชมคุณ เค้าชมว่ายังไงบ้าง “อืม..ก็มีหลายแบบอีก เขียนดี..นะครับ ก็คือ สิ่งที่คนไม่ชอบนิ ก็มีในทางกลับกันว่าชอบ” อ๋อ..มันจะเห็นเลย เห็น 2 ทางเลย ใครเค้าไม่ชอบอะไร อีกคนก็จะชอบอันนั้นล่ะ ใช่มั้ยครับ “ใช่” มันจะเป็นลักษณะนั้น นี่เป็นชีวิตส่วนการงานของคุณ อีกสักครู่ขอคุยชีวิตส่วนตัวหน่อยนึง “ครับ” แล้วก็งานอัลบั้มที่ออกมาใหม่ด้วย บัวหิมะ ไม่ทราบว่าบ้าหนังจีนรึเปล่าก็ไม่ทราบนะครับ แต่ไม่รู้จะเป็นยังไง แต่บัวหิมะมาเกี่ยวกับเค้าได้ยังไง สักครู่เดียวครับ ปราบดา หยุ่นครับ.. (กรี๊ดกร๊าด…) 
 
 
..(กรี๊ดกร๊าด..) อยู่กับปราบดา หยุ่น ชื่อว่าปราบดา ท่านผู้ชมอาจจะนึกว่า อ๋อ.. เหมือนกับปราบดาภิเษกอะไรอย่างนั้นหรือเปล่านะครับ แต่จริง ๆ มาค้นพบความจริงแล้วว่า ไม่ใช่! ปราบดานี่มาจาก.. “ปราบดามาจากชื่อหนังสือพิมพ์รัสเซียครับ” ครับ พ่อเป็นคอมมิวนิสต์เหรอครับ.. “เอ่อ..เมื่อก่อนไม่แน่ใจ” ฮ่า! ฮ่า!..(หัวเราะ) “แต่บัดนี้ไม่ใช่แล้วครับ” บัดนี้ไม่ใช่แล้ว.. ครับ มาจากชื่อหนังสือพิมพ์รัสเซีย หนังสือพิมพ์รัสเซียจริง ๆ เค้าฟราบด้า “ฟราบด้าครับ” แต่ว่าคุณพ่อมาตั้งเป็น.. “ก็มาแปลงเป็นไทย ๆ ก็ปราบดา” นะครับ.. พ่อนี่ยอดมาก แล้วลูกสาวล่ะ “น้องสาวชื่อ ชิมบุญ” ชื่อชิมบุญ.. “ครับ” เป็นไทย ๆ คือเหมือนชิมบุญ แต่ถ้าจริง ๆ มาจาก “มาจากภาษาญี่ปุ่น แปลว่าหนังสือพิมพ์เหมือนกัน” หนังสือพิมพ์ ชิมบุญ “ครับ” นะครับ เป็นหนังสือพิมพ์เหมือนกัน น้องสาวชื่อเล่นชื่ออะไรครับ “ชื่อคิด” ชื่อคิด ของคุณชื่อคุ่น.. คุ่น.. “ที่ไม่มี ร เรือ” ไม่ใช่ ครุ่น เป็นคุ่นคิด “ใช่” พ่อเป็นศิลปินมาก ๆ เลยนะครับ “คุณพ่อ คุณแม่ช่วยกันคิดด้วย” เป็น ใช่มั้ยครับ ทั้งคู่เป็นศิลปิน 
 
 
ครอบครัวอยู่กันแบบ.. “อยู่กันแบบ.. พ่อ แม่ ลูก” รักใคร่กลมเกลียว “ครับ” หรือว่าต่างคนต่างอยู่ หรือว่าเวลาคุณจะไปคุยกะคุณศุทธิชัยที คุณเดินเข้าไปถามคุณศุทธิชัย อันนี้เป็นไงพ่อ.. อะ ในเรื่องนี้นะลูก พ่อว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ จัดเรื่องนี้มาใส่เรื่องนี้..(พูดเหมือนเวลาอ่านข่าว) “ไม่ขนาดนนั้น” ไม่ขนาดนั้น “แต่ว่าจริง ๆ ก็ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ เพราะว่าต่างคนต่างทำงาน” ครับ.. คุณพ่อเฮฮามั้ย “คุณพ่อเป็นคนชอบ.. ชอบเล่าเรื่องตลก ก็เฮฮา” แล้วท่านเล่าได้ตลกมั้ย “ก็ต้องขำนะครับ” ฮ่า! ฮ่า!..(หัวเราะ) คุณเป็นลูกที่น่ารักมาก ดีแล้วครับ สมควรแล้วที่คุณเรียกพ่อว่า พ่อจ๋า.. (หัวเราะ)
 
 
ท่านผู้ชมครับ นี่ที่ผมถือยู่ตรงนี้ ในมือนี่ก็คือหนังสือที่เค้าบอกว่าเค้าเขียนมา นะครับ เป็นหนังสือเรื่องยาว เล่มแรกในชีวิตเค้า “ครับ” คือ ชิทแตก หนังสือเล่มนี้ แต่หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือที่ได้รางวัล “ซีไรท์” ซีไรท์นั่นไม่ใช่นะครับ อันนั้นคือ “ความน่าจะเป็น” ความน่าจะเป็น นั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่า ที่จะมาคุยต่อจากนั้น หนังสือนะครับ มีหนังสือเสร็จ มีแถมด้วยนะครับ อันนี้มีแถม เทป อันนี้เป็นซีดี ซึ่งเมื่อกี๊เราฟังเพลงของคุณไป นะครับ อันนี้คือชุด.. “ก็ชุดชื่อเดียวกะหนังสือ คือ ชิทแตก แต่เป็นวงบัวหิมะ” วงบัวหิมะ “ครับ” แต่ทำอัลบั้มชื่อชิทแตก “ใช่ครับ” 
 
 
ครับ ทำไมถึงทำเพลงครับ “เอ่อ..จุดเริ่มต้นมา ผมเป็นคนชอบฟังเพลง” ครับ “แล้วก็.. ชอบพอ ๆ กับที่ชอบงานเขียนหนังสือเลย แต่ว่าที่เป็นปมด้อย ก็คือว่าผมทำเพลงเองไม่ได้ เพราะว่าผมไม่มีทักษะทางด้านดนตรี นะครับ เอ่อ.. ก็ใช้แบบว่าชอบฟัง อย่างมาก มาตลอด แล้วก็อยากจะมี เอ่อ..ผลงานสร้างสรรค์ที่เกี่ยวกับดนตรีด้วย.. ทีนี้พอตอนที่เขียนนิยายเรื่องนี้ ในเนื้อเรื่องมันมี เอ่อ.. สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเสียง แล้วก็สิ่งที่เกี่ยวข้องกับดนตรี ผมก็นึกสนุก ๆ ว่า อยากจะฟังดนตรีที่..ที่เค้าเล่นกันในอนาคต หรือว่าฟังเสียงที่คนในอนาคตได้ยินกัน” อ๋อ.. “ก็เลย.. ก็เลยคิด แค่นั้นเอง แต่ไม่คิดว่าจะทำยังไงนะครับ บังเอิญว่ารู้จักกับเพื่อน ๆ ที่เค้าทำงานด้านนี้อยู่” ครับ “ซึ่งเค้าอยู่ที่ ค่ายเพลงชื่อ Small room ผมก็ได้ไปคุยกัน โดยเฉพาะกับเจนะครับ ซึ่งเราสองคน ผมกับเจก็เลยตกลงที่จะมาร่วมทำงานอยู่ด้วยกัน” ครับผม.. ก็เลยออกมาเป็น บัวหิมะ เป็นคนทำ แต่เพลงชื่อ อัลบั้มชื่อ.. “อัลบั้มชื่อชิทแตก แล้วก็ในอัลบั้มก็จะมีคนร้องหลาย ๆ คน ที่เราคิดว่าเหมาะสมกับบุคลิก จากหนังสือ คือตัวละครในหนังสือเนี่ยมาร้อง” แต่เป็นเพลงในอนาคต.. “ก็..ไม่.. ปรากฏว่าไม่ได้เป็นแนวอนาคต เราใช้วิธี เอ่อ..สื่อสารอารมณ์ของตัวละครมากกว่า” ครับผม ไม่ใช่.. ซื้อหนังสือแถมเทป ซื้อเทปแถมหนังสือ “ไม่..ต่างแยก” ต่างคนต่างแยกอยู่นะครับ “ครับ”
 
 
พอใจกับอัลบั้มชุดนี้แค่ไหนครับ “เอ่อ.. ดีใจอีกเช่นกันครับ คือเหมือนกับเรื่องยาวเหมือนกัน ที่ได้ทำสำเร็จ ลุล่วง ก็รู้สึกดีใจ แล้วก็พอใจที่ได้ทำ งานนี้ก็เป็นงานแรกที่เกี่ยวกับดนตรี” คุณปราบดาดูค่อนข้างระวังตัวนะครับ งานทุกงานคุณปราบดาพอใจหมด มันจะไม่มีอารมณ์พีคไปด้านใดด้านหนึ่ง “อืม.. เพราะ เพราะคิดเสมอว่า พีคน่าจะเป็นงานต่อไป” อ๋อ.. “คือถ้างานต่อไปก็น่าจะมีความสุขกว่านี้ ต่อไปเรื่อย ๆ คือไม่อยากที่จะพอใจแค่นี้” แต่ว่าวันนี้พอใจตรงนี้ “ใช่” วันพรุ่งนี้ไปพอใจใหม่ “ครับ” งั้นเรา ตลอดชีวิตจะได้ยินจากคุณคำนี้คำเดียวสิครับว่าพอใจ “..(หัวเราะ) แต่พอใจเป็นคำที่ฟังแล้วมีความสุขมาก” ครับผม ไม่ใช่การระวังตัวนะครับ “ไม่ใช่การระวังตัวครับ” ครับผม เพลงมีทั้งหมดกี่เพลงครับ “12 เพลง” 12 เพลง คุณชอบเพลงไหนมากที่สุดครับ “เอ่อ.. ผมชอบเพลงที่ชื่อนายคัน” นายคัน..ทำไมครับ “นายคันเป็นชื่อตัวละครในเรื่อง” ครับ “และเป็นเพลงบรรเลงด้วย แล้วก็เป็นการใช้คอร์ดง่าย ๆ 2-3 คอร์ด นะครับ เอ่อ..เป็นเพลงที่เรียบง่ายที่สุดในชุดนี้ก็ได้” ครับผม “แต่มันสามารถสื่อสารการเดินทางของผู้ชายคนหนึ่ง แล้วก็สื่อสารอารมณ์ของเค้าได้ด้วย” 
 
 
ในอัลบั้มนี้ร้องด้วยมั้ย ครับ “ 1 เพลง” 1เพลง ชื่อเพลง “From now on” From now on เป็นเพลง.. “เป็นเพลง..” ไทยหรือ.. “เป็นเพลงเนื้อภาษาอังกฤษ” ครับ “เพราะ ดัดจริต..(หัวเราะ)” ดัดจริต “เล็กน้อย” อยากจะมีเพลงภาษาอังกฤษกะเค้าบ้าง ขอดัดจริตสักนิดนึง “ใช่ครับ” โอเค แต่งเองรึเปล่าครับ “แต่งเองครับ แต่งเอง” From now on นี่แต่งเอง นะครับ เมื่อกี๊มาสเปเชียล โชว์ก็ไม่ได้ร้องให้ฟัง นะครับ ตอนนี้ต้องร้องแล้วครับ “..(เขิน)” ร้องให้ฟังสักนิดนึง ปราบดา หยุ่น From now on ครับ… (เสียงปรบมือ).. “ฟรอม นาว ออน.. ไอ โน จัส แว เดอะ เพลช คอล์ โฮม ชู บี.. พอแล้วฮะ” อ้อ.. (ปรบมือ) แค่นี้เองเหรอ “ผมขี้อายไงครับ” อ๋อเหรอ.. ขี้อาย วันหลังผมจะได้เอาอันนี้ไปอ้างบ้าง ใครจะฟัง โอ๊ย.. ไม่เอาผมขี้อาย “เดี๋ยวฟังแล้วจนจบเดี๋ยวจะชิดแตก” ฮ่า! ฮ่า! (หัวเราะ) ถ้าเกิดใครอยากฟังทั้งอัลบั้มก็ไปซื้อหาเอา “ครับ” ต้องไปซื้อหาเอา ทั้งหมด 12 เพลงด้วยกัน “ครับ” และนี่เป็นเพลง ๆ หนึ่ง ที่ร้องเองด้วย “ร้องเอง” คุณแต่งเองทั้งหมดรึเปล่าครับ “ผมแต่งเนื้อเพลงเองทั้งหมดครับ ส่วนดนตรีก็เป็นคุณเจแต่ง” ครับผม เจนี่เจ.. “เจ เจตมล มานะโยธา” ครับๆ เดี๋ยวไม่รู้คนนึกว่าเจ เจตริน “มือกีต้าร์ที่เมื่อกี๊เรา..” ฮะ ๆ คุณเจมือกีต้าร์ นะครับ 
 
 
ทีนี้.. มาเรื่องส่วนตัวบ้าง อายุอานามก็มากแล้ว “อ้าวเมื่อกี๊บอกน้อย” (หัวเราะ) ตอนนี้เริ่มมากแล้ว พอจะมาพูดเรื่องความรักอายุมันจะมากขึ้นมาทันที “ครับ ๆ” 29 ไม่น้อยแล้วครับ สำหรับผู้ชายอายุ 29 มีแฟนรึยังครับ.. “เอ่อ.. มีครับ” มีแฟนแล้วครับ ..(เสียงอื๋ออ๋า..) อื๋ออ๋าอะไร อื๋ออะไร! คนดูอื๋ออ๋าอะไร “ไม่แปลก” ไม่แปลกใช่มั้ยครับ ไม่แปลกครับ แฟนคุณน่ารักมั้ยครับ “เอ่อ.. น่ารักครับ” น่ารักครับ ครับผม ชอบการแสดงของเธอมั้ยครับ “ติดตามอยู่ครับ” ติมตามอยู่ ..(เสียงวี้ดว้าย) เค้าชอบงานเขียนของคุณมั้ยครับ “เอ่อ. ก็คง อาจจะต้องชอบนะครับ” อาจจะต้องชอบเลยเหรอ..(หัวเราะ) อาจต้องชอบเหรอ แล้วงานเพลงละครับ “คิดว่าชอบนะครับ” คิดว่าชอบ.. คุณไปเจอกับอุ้มได้ยังไงครับ “เอ่อ..ที่ร้านหนังสือ คือจริง ๆ เนี่ย เรา..รู้จักชื่อกันจากตอนเด็ก เพราะว่าเราเรียนโรงเรียนประถมเดียวกัน” อ๋อเหรอฮะ “ใช่ ๆ “ เรียนหนังสือมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก “ใช่ครับ แล้ว..แต่ว่าก็ไม่ได้เป็นเพื่อนกันนะครับ แล้วก็ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่ว่า.. ก็.. คือผมเนี่ยอยู่ปากน้ำสมุทรปราการ แล้วอุ้มเค้าก็อยู่ที่นั่น ก็เป็นสังคมเล็ก ๆ ที่ทุกคนก็รู้จักกัน นะครับ 
 
 
ทีนี้พอผมไป เรียนต่อ แล้วอุ้มเค้าก็เป็นนักแสดงนะครับ ก็คือได้ทราบว่าอุ้มเป็นนักแสดงแล้ว” นั่นคือแสดงว่ารู้จักกันมาตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ เลย ป.อะไร… “รู้จักชื่อ.. ป.5 ป.6” ป.5 ป.6 แล้วก็ไม่ได้รู้จัก ไม่ได้พูดคุย “ไม่ได้พูดคุย” วันนึงคุณไปที่ร้านหนังสือ “ครับ.. ก้คือพอกลับมา ใช่มั้ยครับ ก็ไปร้านหนังสือ เค้าก็มาที่ร้านหนังสือ ก็คือ ดูหนังสือกัน แล้วผมก็จำเค้าได้ ก็เลยเข้าไปทักเฉย ๆ เพราะว่า เอ่อ.. คือในสังคมปากน้ำเนี่ย คนก็จะบอกกันว่าคนนี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แล้ว คือเสมือนรู้จักกันทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จัก ผมก็ไปทักด้วยมารยาท” อ๋อ.. เป็นมารยาทของคนปากน้ำ “เป็นมารยาทของคน..” ปากน้ำที่เจอนางเอกสวย ๆ ต้องเข้าไปทัก “ใช่แล้วครับ” ..(หัวเราะ) คุณเนี่ยนะ ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะกล้า คุณเข้าไปทักเค้าว่าไง “เอ่อ..ก็สิริยากรจำเราได้หรือเปล่า” เรียกสิริยากรเลยนะ .. (หัวเราะ) โอ้ย..น่าสนใจมาก สิริยากรจ๋า..”เอ้ย! ๆ ไม่ใช่ ๆ “ คุณติดจ่าไง “อ้อ..” คุณต้องจ๋า “ผู้ใหญ่ครับผู้ใหญ่” อ๋อผู้ใหญ่ กับผู้ใหญ่ อ๋อ..นึกว่าถ้าเกิดเจอ สิริยากรจ๋า…จำเราได้รึเปล่า แล้วเค้าว่าไง “ก็จำได้” เฮอะ! เค้าจำคุณได้ได้ไงมันห่างกันตั้ง 10 ปี “คิดว่า..ใบหน้าไม่ค่อยเปลี่ยนไป” ..(หัวเราะ) แล้วคุณ..ทานโทษนะ หัวโล้นอย่างนี้เนี่ยนะ “อา..เมื่อก่อนไว้ผมเกรียน ๆ ไงครับ” อ๋อ.. ยังไม่ถึงขนาดนี้ แน่นั้นนะ.. “แค่นั้นเองก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกัน แต่ว่าบังเอิญผม.. ตอนนั้นผมเริ่มมีคอลัมม์ที่ผมเขียนในหนังสือพิมพ์นะครับ แล้วในคอลัมม์ก็มีอีเมลล์ผมอยู่..” ครับผม “ซักนานนะครับ ปีนึง..อะไรซักอย่างนึงเค้าก็เขียนมา คล้าย ๆ ชมว่า อ่านคอลัมม์นี้อยู่ อะไรอย่างนี้นะครับ จากนั้นเราก็เลยติดต่อกันมา” แล้วได้พบว่า..มี.. “ก็ รู้สึกชอบอะไรคล้าย ๆ กัน แล้วก็ไปทำกิจกรรมร่วมกันได้ ก็เลยสนิทกันมากขึ้น” 
 
 
ครับผม เป็นแฟนกัน จะแต่งงานกันเมื่อไหร่ครับ “ไม่ทราบครับ” เค้าไม่ทราบ หรือคุณไม่ทราบ “ฮ่า! ฮ่า!..(หัวเราะ)” หรือทั้งเค้าทั้งคุณ.. “ไม่ทราบ..ทั้งคู่” ไม่ทราบทั้งคู่ ครับผม แต่ตอนนี้ดีอยู่ “ดีครับ” ครับ เค้าชมงานคุณมั่งมั้ยครับ “ชมครับ.. ชมครับ” แล้วคุณชมงานเค้ามั่งมั้ยครับ “เอ่อ..ผมต้องชมบ่อยกว่านี้หน่อยครับ” ..(หัวเราะ) ครับ ฟังดูแล้ว ดูจากที่คุยกับคุณทั้งหมด คุณไม่ใช่เป็นคนที่มีแรงกดดัน ไม่ได้เป็นคนที่มีอะไรทั้งสิ้นเลย แต่แล้วดูจะเป็นอย่างที่พูดจริง ๆ คุณเป็นคนที่ขี้อาย “ครับ” นะครับ 
 
 
จริง ๆ ในชีวิตคุณ ตอนนี้นะฮะ ตอนนี้ อยากทำอะไรอีกบ้าง “ก็.. อยากทำ คืออย่างที่บอกเมื่อกี๊ว่าสิ่งที่ได้ทำตอนนี้เนี่ย ผมไม่เคยคิดว่าผมจะได้ทำอย่างจริงจังนะครับ เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่ามันเป็นโชคดีด้วย แล้วก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งจริง ๆ “ ครับ.. “เอ่อ..ผมก็เลยคิดว่า สิ่งที่ผมอยากจะทำต่อไปก็คือทำสิ่งที่ทำอยู่แล้ว ให้ดีขึ้น หรือว่าให้..ให้เอ่อ.. ยิ่งรู้สึกสมบูรณ์มากขึ้นครับ แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบ ๆ “ ครับ ดูคุณจะเป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตอย่างสงบ ๆ จริง ๆ เพราะไม่มีข่าวว่าคุณไปสวิงสวายที่ไหน ไปอะไรเลย นะครับ วัน ๆ จริง ๆ ใช้ชีวิตอะไรบ้างครับ “ก็..ทำงานนะครับส่วนใหญ่ แต่ว่างานผมเนี่ยมันจะไม่ได้มีแค่เขียนหนังสืออย่างเดียว” ครับ “บางทีก็มีงานออกแบบสิ่งพิมพ์ด้วย บางทีก็ต้องไปเจอคนนู้นคนนี้ อะไรอย่างนี้ครับ ก็แล้วแต่วันมากกว่า แต่ส่วนใหญ่ก็คือ จะอยู่ในแวดวงคนรู้จัก ก็ทำงานก็ทำงานที่บ้าน คือเขียนหนังสือที่บ้าน” 
 
 
เห็น ว่าคุณชอบอะไร ๆ ที่เป็นญี่ปุ่นด้วย “เอ่อ.. วัฒนธรรมตะวันออก” ถ้าตะวันออกทั้งหมดชอบ ทั้ง ๆ ที่อยู่ที่ตะวันตกมาตั้ง 11 ปี ทำไม.. “อาจจะเริ่มมาจากความชอบในปรัชญาครับ อย่างปรัชญาพุทธศาสนา หรือว่าอะไรก็ตามที่..ที่เกี่ยวกับตะวันออก ผมรู้สึกว่าผม เอ่อ..ได้..ได้ประโยชน์ทางจิตใจ สิ่งเหล่านี้ก็เลยชอบสิ่งอื่น ๆ ไปด้วย ทั้งศิลปะ วัฒนธรรม” ครับ.. สิ่งหนึ่งที่คุณยังไม่ได้ทำ หนังสือก็เขียนแล้ว งานเพลงก็แต่งแล้ว จะเล่นละครบ้างมั้ยครับ “อืม..คงจะไม่ครับ กลัวเค้าจะ..(หัวเราะ) เรตติ้ง ดิ่งลงเหว” ไม่แน่นะครับ คุณเป็นคนที่มีตาลึกซึ้ง ๆ อย่างนี้เค้าอาจจะชอบ ถ้าเกิดมีเค้ามาจ้างคุณจะเล่นมั้ยครับ “เอ่อ..คือผมจะไม่บอกว่าไม่นะครับ” อืม.. “แต่ว่า.. แต่ว่า คงจะต้องดูความเหมาะสมมากว่า” แน่ ผมถึงบอกว่าคุณเป็นคนระวังตัวพอสมควร คนยืนอยู่บนที่ที่รู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหนตลอดเวลา “เพราะบางทีสิ่งที่เข้ามาในชีวิตเรา เราคาดเดาไม่ได้ แล้วก็.. เอ่อ.. คือการปิดกั้นตัวเองมันก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ว่าผมก็ต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองด้วย เมื่อมีสิ่งที่เข้ามาแล้วอยากทำจริง ๆ ก็ทำ แต่ว่าถ้าไม่อยากทำจริง ๆ ก็ไม่ทำ” ครับผม คือพูดง่าย ๆ ว่าชีวิตคุรจะไม่เซย์เยส เซย์โน ตลอดเวลา ดูจังหวะว่าเมื่อไหร่ จะพูดอะไร “หรือว่าน่าสนใจมั้ย หรือว่า..” 
 
 
ครับ ผม ใครคือฮีโร่ในชีวิตคุณครับ “คุณพ่อครับ” คุณพ่อ ครับผม เคยบอกท่าน.. “ไม่เคยครับ.. (หัวเราะ)” แต่ท่านคือฮีโร่ในชีวิตของเรา วันหนึ่งคุณเคยเป็นคนธรรมดา เฉย ๆ อยู่ ไม่มีใครรู้จัก วันหนึ่งคุณมาเป็นนักเขียน วันหนึ่งคุณมาทำเพลง วันนี้เป็นวันของคุณแล้วครับ ถ้าเกิดว่าแฟนคุณดูรายการคุณอยู่ สมมติคุณจะบอกถึงเพลงของคุณว่า เพลงของคุณดียังไง คุณจะพูดว่าไง.. “เอ่อ.. คือจะไม่บอกว่าดี ไม่ดีนะครับ” ครับ “แต่ว่า งานที่ทำผมก็ทำอย่างเต็มที่ แล้วก็อย่างมีความสุขนะครับ ก็คิดว่า.. ถ้าคนที่ได้อ่านหรือว่าได้ฟังก็จะได้ซึมซับความสุขนั้นไปบ้างเนี่ยผมคิดว่า ก็ มันจะเป็นการกระความสุขให้กับคนที่ชอบ..นะครับ ก็เท่านั้น ผมก็พอใจแล้ว” ครับ ให้ทุก ๆ คนได้ซึมซับความสุขด้วย ที่เค้าพยายามทำมาอย่างดีที่สุด ที่เค้าว่าดีที่สุดก็คือดีที่สุด ณ ปัจจุบันนี้ที่ทำได้ แต่สัญญาว่าต่อไป ดีที่สุด มันจะมีมาใหม่เรื่อย ๆ คนแบบนี้ละครับ คนแบบ ปราบดา หยุ่น ครับ
 
บทสัมภาษณ์ในรายการทไวไลท์โชว์ ถอดความโดย wootbook แห่ง http://iam.hunsa.com/wootbook/article/30232