Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์กวี ” ชายขอบ “

 

 
 
ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ชายขอบ ประกาศชัดเจนว่าตั้งสำนักพิมพ์ขึ้นมาเพื่อจัดพิมพ์ 'กลอน' โดยเฉพาะ
อย่าแปลกใจ…ถ้าคุณเห็นรายชื่อหนังสือรวมบทกวีนิพนธ์จาก 'สำนักพิมพ์ชายขอบ' ส่งเข้าชิงรางวัลซีไรต์ในปีนี้มาก
ถึง 6 เล่มด้วยกัน ทั้งนี้ สฤณี อาชวานันทกุล ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ชายขอบ ประกาศชัดเจน
ว่าตั้งสำนักพิมพ์ขึ้นมาเพื่อจัดพิมพ์ 'กลอน' โดยเฉพาะ ทั้งๆ ที่คนในแวดวงกวีเองต่างทราบดีว่ามีคนสนใจอ่านอยู่
เพียงน้อยนิด และในแง่ของตลาดก็ขายได้น้อยมากเมื่อเทียบกับงานเขียนประเภทอื่น
ด้วยท่าทีมุ่งมั่นของ สฤณี อาชวานันทกุล นักการเงิน นักวิชาการอิสระ อาจารย์พิเศษ นักเขียนอิสระ นักแปล
และบรรณาธิการเว็บไซต์โอเพ่นออนไลน์ กวีสาวดีกรีนักเรียนนอกที่มีความสนใจรอบด้านทั้งการเมือง การเงิน
ตลาดทุน เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยว เกม วรรณกรรม กฎหมาย คอมพิวเตอร์ และดาราศาสตร์ แม้
เธอจะไม่ได้เดินทางบนถนนสายกวีโดยตรง แต่ปัจจุบันเธอมีผลงานรวมบทกวีนิพนธ์ออกมาแล้ว 2 เล่ม คือ 'ไทย
แลนด์แดนสวรรค์' (2551) และ 'นิราศยุโรป' (2552) ไม่นับรวมหนังสือทั้งผลงานเขียนและแปลแนวเศรษฐศาสตร์-
การเงินและอื่นๆ อีกกว่า 24 เล่ม 
ต่อไปนี้เป็นมุมมองเกี่ยวกับกวีนิพนธ์ของเธอโดยเฉพาะการขยายฐานคนอ่านหรือสร้างตลาดใหม่ๆ ให้กับแวดวงกวี
ไทย
0 ตอนนี้หลักๆ ทำอะไรอยู่บ้าง?
     หลักๆ เป็นนักเขียน คือเขียนคอลัมน์ลงตามหนังสือพิมพ์ต่างๆ เป็นคอลัมนิสต์ เป็นนักแปล และแปลหนังสืออยู่
เรื่อยๆ ที่ผ่านมาแปลให้สำนักพิมพ์มติชนเจ้าเดียว แต่ตอนนี้กำลังจะมีหนังสือหนังสือแปลที่ออกกับโอเพ่นบุ๊คส์ด้วย
และสอนหนังสือเทอมละวิชาเท่านั้น คือ วิชาธุรกิจสังคม ที่คณะบัญชี-ม.ธรรมศาสตร์ และในแง่งานวิจัยก็เป็นส่วน
หนึ่งของโครงการวิจัยเรื่องเกี่ยวกับความเป็นธรรมในสังคม วิจัยเรื่องหุ้น การเมือง และมีวิจัยลงพื้นลงชุมชน
รวมถึงทำเรื่องของออนไลน์ด้วย นี่คืองานหลักๆ แต่สำหรับสำนักพิมพ์ถือเป็นงานอดิเรก
 
0 ทำสำนักพิมพ์เป็นงานอดิเรกเลยหรือ?
     จริงๆ เป็นคนชอบแต่งกลอนตั้งแต่เด็ก พอไปเรียนหนังสือเมืองนอกตั้งแต่ตอนอายุ 14 มันอาจจะห่างๆ ไปบ้าง แต่
ยังอ่านคือชอบอ่าน ตอนเด็กๆ ชอบอ่านเรื่อง 'พระมะเหลเถไถ' 'ระเด่นลันได' และกลอนของสุนทรภู่ เพราะว่า
กลอนเป็นเสน่ห์ของเมืองไทย และเคยแต่งกลอนวันเกิดเพื่อน แต่งกลอนด่ากัน ล้อเลียนกัน ผวนคำอย่างนี้ ทีนี้พอ
กลับมาจากเมืองนอกก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้อีก แต่ว่าเล่มแรกที่พิมพ์คือ 'ไทยแลนด์แดนสวรรค์' แต่งตอนปี 2548 ตอน
นั้นยังทำงานที่ตลาดหลักทรัพย์อยู่ แต่ว่าเริ่มมีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เริ่มมีขบวนการกู้ชาติแล้ว เลยรู้สึกว่า
ทำไมปัญหาสังคมมันเยอะขนาดนี้ เลยแต่งเล่นๆ สนุกๆ เก็บไว้ เป็นกลอนค่อนข้างจะระบายอารมณ์เล็กน้อย
จากนั้นมีรัฐประหารเกิดขึ้น
     ปี 2549 เริ่มมีหนังสือรวมเล่มกับโอเพ่นบุ๊คส์ออกมา คือเริ่มจากเขียนคอลัมน์ในโอเพ่นออนไลน์ จากนั้นเริ่มมีงาน
ตามหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ และคุ้นเคยกับกองบก.โอเพ่นเพราะเป็นทีมเล็กๆ พอปี 2551 รู้สึกว่าอยากทำ
สำนักพิมพ์คือตอนนี้ถ้าอยากจะทำสำนักพิมพ์มันทำได้เลย เพราะว่าสำนักพิมพ์มันเดินได้แค่คน 3 คนเอง คือ คน
หนึ่งทำอาร์ตเวิร์ค อีกคนหนึ่งเป็นบก.คอยตรวจต้นฉบับ ในแง่สายส่งเองก็เริ่มคุ้นเคยกับเคล็ดไทยระดับหนึ่ง ความ
ที่รู้จักคนในโอเพ่นเหมือนกับทำให้เรามองเห็นแล้วว่าถ้าจะทำสำนักพิมพ์จริงๆ ไม่ได้เป็นเรื่องยากมาก พอดี
คุณหญิง-สินีนาถ เศรษฐพิศาล ที่เป็นกอง บก.โอเพ่นก็สนใจในกลอนเหมือนกัน รู้จักกวีเยอะ รู้จักกวีหลายรุ่น ด้วย
ความที่เป็นคนวงการวรรณกรรม คุยกันเล่นๆ ก่อนว่าทำสำนักพิมพ์เล่นๆ กันดีไหม คือทำเป็นงานอดิเรก
 
0 นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของสำนักพิมพ์ชายขอบ?
     ชื่อสำนักพิมพ์มาจากชื่อบล็อก ตอนคิดชื่อบล็อกก็รู้เหมือนกัน ว่าในภาษาไทยคำนี้มันมีความหมายอย่างไร ชอบ
เพราะภาษาไทยคำว่า 'คนชายขอบ' คือคนที่ทางกายภาพอยู่ชายขอบ อาจจะเป็นคนไร้สัญชาติหรืออะไร อันนี้
เหมือนล้อเลียนเป็น 'คนชายขอบทางความคิด' ถือว่าสนุกดี แต่ว่าไม่อยากจะทำสำนักพิมพ์เพื่อพิมพ์หนังสือตัวเอง
อย่างเดียว เพราะว่าถ้าเป็นแนวที่ตัวเองเขียนมันเป็นแนวของโอเพ่น สบายใจแล้วที่เขาพิมพ์หนังสือให้เรา แต่
อยากจะทำสำนักพิมพ์เพื่อพิมพ์กลอน เพราะว่าอยากจะสนับสนุน มีความเชื่อว่าวงการนี้มันขยายตลาดได้ ถ้าพูด
กันแบบธุรกิจคือ มีความเชื่อว่าปัญหาหนึ่งของกลอนคือถ้าจะดูว่าวงการกลอนมันคืออะไร ต้องไปดูจากหนังสือที่
ออกมาตามร้าน อย่างเช่นงานของท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ หรือเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ มันไม่สะท้อนภาพที่เป็น
จริง เพราะว่ากลอนยุคใหม่ๆ ที่สนุกๆ บางทีมันอยู่ในอินเทอร์เน็ตเยอะหรือบางทีอยู่ตามเว็บบอร์ดต่างๆ
     โดยเฉพาะเวลาแต่งมันเป็นธรรมชาติมาก คือคนชอบแต่งกลอนมันต้องมีอะไรมากระตุ้นหรือมากระทบ ช่วงวิกฤติ
การเมืองก็แต่งกลอนการเมืองกันเยอะมาก รู้สึกว่าสนุกดี แต่ปัญหาคือตรงนี้มันไม่ได้ออกมาเป็น out put เลยรู้สึก
ว่าควรจะส่งเสริมตรงนี้ ควรจะมีคนมาแปลงเนื้อหาต่างๆ ที่สนุกๆ เหล่านี้ออกมาให้เป็นรูปเล่ม และเพื่อแนะนำให้
คนรุ่นใหม่เข้าใจว่ากลอนมันไม่ได้เป็นศิลปะที่ตายแล้ว คิดว่าศิลปะไทยหลายๆ เรื่องยกตัวอย่าง 'โขน' มันมีความ
พยายามต่างๆ นานาที่จะทำให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าถึงและสนุกกับมันแล้วเห็นคุณค่า กลอนก็คล้ายๆ กัน ถ้าเราไม่คิด
เรื่องการขยายตลาดไปสู่คนรุ่นใหม่มันจะออกมาแบบเดิม คืออาจจะพิมพ์รวมเล่มกันไป จะมีแต่กลอนสไตล์ภาษาดี
มาก บทอาเศียรวาทอะไรอย่างนี้ออกมา
     ปัญหาคือว่าถ้าพิมพ์อย่างนั้นต่อไป ยิ่งจะทำให้คนอ่านน้อยลงเรื่อยๆ เพราะว่าคนที่จะอ่านงานอย่างนั้นมันต้องเป็น
คนที่คุ้นเคย ชอบอ่านจริงๆ และมักจะมีอายุเยอะหน่อย วงมันจะจำกัดมาก ในแง่ของศิลปะ ถ้าคุณไม่อยากให้การ
แต่งกลอนหายไปจากเมืองไทย ต้องมีการพยายามที่จะเอาเนื้อหาที่เป็นลักษณะกลอนสมัยใหม่ ซึ่งแต่งกันอยู่จริงๆ
เพียงแต่ยังไม่มีใครรวบรวม เอามานำเสนอแล้วทำให้มันน่าดึงดูด ฉะนั้นคิดตั้งแต่ต้นแล้วว่าเวลารวมเล่มหนังสือ
กลอนของเราจะต้องมีภาพประกอบ จะใช้ฟอนต์ที่ทันสมัย คือทำยังไงให้มันน่าอ่าน ไม่ได้คิดแค่ว่าเอากลอนมา
รวมกันแล้วขายแค่นั้น
 
0 พยายามมองหาช่องทางตลาดทางใหม่ๆ โดยเน้นบทกวีคนรุ่นใหม่?
     คิดว่าเราเปิดกว้าง ต้องคิดในแง่ของการทำให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ ยกตัวอย่างเช่นหนังสือที่ชอบมากที่ได้รางวัลซีไรต์
คือ 'ในเวลา' ของคุณแรคำ ประโดยคำ เล่มนั้นชอบมาก เซียนมาก เก่งมาก แต่ถามว่าคนธรรมดาที่ไม่คุ้นเคยหรือ
เด็กๆ จะเข้าใจไหม อ่านเองมันคงไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นถ้าจะพิมพ์อะไรแบบนั้นก็ต้องมีการอธิบายขยายความ ทำ
     เชิงอรรถหรืออธิบายบริบทประกอบ อย่างงานของ 'เพ็ญ ภัคตะ' บางเล่มใส่เชิงอรรถดีมากเลย คำอะไรที่เป็นภาษา
เหนือหรือว่าคนไม่ค่อยเข้าใจแล้วจะอธิบาย ยกตัวอย่างงานที่เพิ่งพิมพ์ของ 'อุเทน มหามิตร' เรื่อง 'กอปร' ชอบมาก
เลย คิดว่าเขาเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งของภาษา ทั้งเล่มมันเป็นเรื่องของจักรวาล แต่จะเห็นฟุตโน้ตเต็มไปหมดเลย คือ
เล่มนี้มันเป็นแรงบันดาลใจจากการไปอ่านเรื่องดาราศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ พอแต่งแล้วมันเป็นคำวิทยาศาสตร์
เขาจะอธิบายต้องดีไซน์ต้องใส่นิยามว่ามันแปลว่าอะไร คือเป็นงานที่น่าสนใจ
 
0 ทุกวันนี้ถ้าเข้าไปในอินเทอร์เน็ตจะเห็นว่ามีกลอนมีบทกวีอยู่เยอะมาก?
     นี่แหละเป็นประเด็นที่น่าสนใจ หรือว่าแม้แต่กลอนที่อยู่บนบังโคลนรถสิบล้อที่แต่งกันขำๆ ด่าเมียหรือแซวเมียหรือ
ขอโทษเมียอะไรพวกนี้ ถ้าเอามารวบรวมแล้วทำให้น่าสนใจ และอาจจะจัดเป็นรถตามภาคต่างๆ ไปเลย มันจะเป็น
หนังสือได้ หมายความว่ามันจะน่าสนใจ ฉะนั้นปรัชญาหลักที่ทำสำนักพิมพ์กลอนเพื่ออยากจะเน้นกลอนที่ทันสมัย
คือสะท้อนวิถีชีวิตหรือความคิดของยุคนี้หรือคนรุ่นใหม่ ถ้าเราเห็นแต่หนังสือกลอนประเภทลักษณะอาเศียรวาท
แล้วเนื้อหาไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อ 30 ปีก่อน มันยากมากที่จะทำให้คนรุ่นใหม่เข้าใจ คือคนมักจะไปเข้าใจผิดว่า
รูปแบบนี้ต้องผูกติดกับเนื้อหาแบบนี้เท่านั้น ดังนั้นในเมื่อชีวิตรุ่นใหม่อยู่กับอินเทอร์เน็ตหรือดิจิทัลอย่างนี้ ไม่มีทาง
แต่งกลอนแบบนี้ได้
     อย่างพิมพ์หนังสือให้กับ 'ตุล อพาร์ตเมนต์คุณป้า' อันนี้ชัดเจน เขาเป็นกวีเป็นเสน่ห์ของเขา เขารู้ตัวเลยว่าเวลาแต่ง
แล้วอันนี้คือเพลงอันนี้คือกลอน เรื่องของการตีกรอบศิลปะตามขนบมันถกเถียงกันได้ทุกวงการ ตั้งแต่เรื่อง
จิตรกรรมก็เหมือนกัน ศิลปะโดยธรรมชาติของมันไม่มีกรอบ ดังนั้นคนที่แต่งกลอนเปล่าอย่าง 'ตุล อพาร์ตเมนต์คุณ
ป้า' ก็ไม่ได้มีกลอนฉันทลักษณ์อะไรเลย แต่ถามว่ามันเป็นกลอนไหม ประเด็นคือว่า ต้องให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าถึงและ
สนใจกลอน เป้าหมายหนึ่งที่อยากจะทำก็คืออ่านกลอน เพราะว่าเด็กรุ่นใหม่สมัยนี้หลายคนไม่เข้าใจกลอน ถ้าจะ
เข้าใจได้ต้องเข้าใจการอ่าน หมายความว่ากลอนมันมีน้ำเสียง มีโทน มีจังหวะ ดังนั้นเรื่องหนึ่งที่อยากจะทำใน
อนาคตต่อไปคืออยากจะให้คนอ่านกลอนเป็น โดยอาจจะเผยแพร่เป็น MP3 ให้คนฟัง แล้วจะเข้าใจว่านี่คือการอ่าน
กลอน จริงๆ ถ้าฟังคนแต่งอ่านจะอ่านสนุกมาก
 
0 ส่วนตัวเชื่อว่าหนังสือบทกวีนิพนธ์สามารถอยู่ได้ในเชิงธุรกิจ?
     คิดอย่างนักธุรกิจเลยคือมันคิดได้สองแบบ คือแบบตั้งรับ คุณไปดูว่าตอนนี้ตลาดต้องการอะไร สมมติว่าคนชอบกิน
ซาลาเปาหมูแดง คุณก็ทำออกไปแล้วหาวิธีลดแลกแจกแถมให้คนมาซื้อกับคุณ อีกวิธีหนึ่งคือ ถ้ามีคนกินซาลาเปา
     หมูแดงกันเยอะแล้ว ไม่อยากจะไปแข่ง คุณก็สร้างตลาดใหม่เลย เราจะทำขนมจีบเพราะยังไม่มีใครเคยทำ และ
อยากพิสูจน์ให้เห็นว่าขนมจีบน่ากิน คิดว่าสำนักพิมพ์ชายขอบพยายามที่จะสร้างตลาด และขยายตลาดตรงนี้
เพราะว่าถ้าไปตั้งต้นที่ว่าความต้องการของตลาดคืออะไร จะไม่มีใครทำสำนักพิมพ์กลอนอีกเลย ชาตินี้ก็ไม่เกิด
แน่นอน ถามว่าตอนนี้มีคนอ่านกลอนอยู่กี่คนในประเทศไทย อ่านอย่างมากตัวเลขดีสุดอาจจะ 500 คน แล้ววงการ
กวีจะให้อยู่กันด้วยการซื้อผลงานกันเองอ่านหรือ มันยิ่งจะทำให้ตลาดเล็กลงเรื่อยๆ
     ฉะนั้นคุณต้องสร้างสะพาน แล้วถามว่าสร้างสะพานไปหาใคร คุณต้องสร้างสะพานไปหากลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ฉะนั้นใน
แง่ของศิลปะ ทำไมบอกว่าจะสืบทอดศิลปะโขนต้องฝึกกันตั้งแต่เด็ก อันนี้คล้ายๆ กัน กลอนก็ต้องทำให้เด็กรุ่นใหม่
มันมาสนใจให้ได้ เพียงแต่ว่ามันต้องใช้เวลาเยอะ และต้องใช้ความพยายามอย่างมากด้วย ขั้นต่อไปถ้ามีเวลาจะไป
พยายามเริ่มคุยกับโรงเรียนต่างๆ อยากรู้เป็นการส่วนตัวเหมือนกันว่าทำไมถึงมีช่องว่างขนาดนี้ เหมือนกับว่าทำไม
การศึกษาด้านวรรณคดีด้านกลอนมันยังมีปัญหา หรือว่าครูผู้สอนเองก็ติดขนบพอๆ กับนักกลอนรุ่นใหญ่หรือเปล่า
ตัวเองคิดว่าอย่างกลอนของท่านสุนทรภู่สนุกนะ แต่ว่าบางทีมันจะต้องอธิบาย ต้องมีวิธีการดึงเข้ามา ถ้าจะพิมพ์
กลอนรุ่นเก่าก็อยากจะพิมพ์กลอนที่มันมีการอธิบายหรือขยายความให้สนุก อย่างเช่นหนังสือชุดของอาจารย์ศุภร
บุนนาค เขียนเรื่อง 'สุนทรียภาพจากเจ้าฟ้ากุ้ง' คิดว่าหนังสือดีมากเลย เป็นการอธิบาย แต่ว่าอธิบายสนุก
 
0 แต่แวดวงกวีบ่นกันเหลือเกินว่าถ้าพิมพ์แต่บทกวีสำนักพิมพ์คงอยู่ไม่ได้แน่นอน?
     เข้าใจได้ เพราะว่าสำนักพิมพ์ต้องดูว่าอะไรขายได้ เขาดูตลาดเป็นหลัก แต่สำนักพิมพ์ชายขอบมีโมเดลเรื่องเงินง่าย
มาก คือว่าเรามีหนังสือที่ขายดีอยู่สองสามเล่ม เช่น 'วิชาสุดท้าย' พิมพ์แล้วพิมพ์อีก ฉะนั้นถ้าเงินพิมพ์ซ้ำก็ถือว่ามัน
เป็นทุนในการพิมพ์บทกวี คิดง่ายๆ ดังนั้นให้เวลามันไปเลย 10 ปี ลำพังเฉพาะบทกวีไม่สามารถอยู่ได้ โดยเฉพาะถ้า
คิดในแง่คืนทุนแบบธุรกิจเลย เช่น ปีหนึ่งต้องมีกำไรหรือห้าปีต้องมีกำไร นี่ถือว่ายากมาก ไม่ได้อยากจะขาดทุน แต่
มันเป็นการลงทุนระยะยาว ถ้าคิดในแง่ร้ายที่สุดก็เหมือนกับการที่เราเสียเงิน 5 หมื่นไปเที่ยวแล้วได้ความสนุก
กลับมา อย่างมากที่สุดก็เสียค่าพิมพ์ไปเดือนละสองสามหมื่น มันมีความสุข ดีกว่าไปเที่ยวอีก เพราะหนังสือมันไม่
ตายมันยังอยู่อีกนาน
     ถ้าพูดคำว่าขยายฐานคนอ่านหรือขยายตลาดมันไม่ได้เกิดขึ้นเอง มันไม่เกิดได้ด้วยการพิมพ์หนังสือกลอนขึ้นมาแล้ว
เอาไปเข้าร้านแล้วก็เลิกพิมพ์ไง มันต้องเกิดได้จากการไปนั่งคุยกับครูบาอาจารย์ การไปคุยเรื่องการจัดกิจกรรมว่า
จะทำอย่างไรให้เด็กรุ่นใหม่เข้ามา ในแง่ของการจัดกิจกรรมจะทำยังไงให้คนเข้ามาฟังมากขึ้น ที่ผ่านมาเวลาจัดอ่าน
บทกวีจะรู้กันแต่ในวงกวี แล้วไปฟังกันเอง ไม่สนใจคนนอก มันเหมือนเป็นวงเล็กๆ คุยกันเอง แต่ไม่ได้ช่วยขยาย
     ฐาน จริงๆ กลอนมันมีเสน่ห์มาก พอดีอ่านกลอนฝรั่งมาเยอะ แต่คิดว่ากลอนไทยมันมีเสน่ห์มากกว่า เพราะ
ภาษาไทยมันเป็นภาษาของการสื่ออารมณ์ ดังนั้นมันจะสะท้อนใจได้มากกว่ากลอนฝรั่ง ซึ่งไม่ควรที่จะปล่อยให้มัน
เป็นเรื่องที่จะตายก็ตายไป
 
0 คาดหวังถึงรางวัลบ้างไหม?
     ไม่ได้คาดหมายอะไร เพียงแต่ว่าก็สนุกๆ เราเป็นสำนักพิมพ์ที่พิมพ์แต่บทกวีอันดับหนึ่ง แต่ละปีคงจะพิมพ์ประมาณ
สัก 4-5 เล่มได้ ดังนั้นพอมีซีไรต์ก็ควรจะส่ง คิดว่าจริงๆ หนังสือที่ส่งชิงก็ตั้งความหวังเหมือนกัน หมายความว่าในแง่
ของการขาย ถ้าเล่มไหนได้ซีไรต์มันจะขายได้ เป็นช่วงทำเงินของสำนักพิมพ์ คิดว่าทุกคนที่ตั้งใจก็แต่งกลอนกัน
เก่งๆ ทั้งนั้น ถ้าสังเกตจากที่คุณมนตรี ศรียงค์ ได้ซีไรต์ ไม่คิดว่ามันจะต้องติดกรอบอะไร ถ้าแต่งกลอนแล้วมันมี
ความสวยด้วยคุณก็เก่ง แต่ว่าเนื้อหาเท่านั้นเองที่มันจะเป็นตัววัด ว่าคนจะมาสนใจหรือเข้าถึงได้แค่ไหน การที่
สามารถแต่งกลอนเกี่ยวกับ 'ร้านหมี่เป็ด' แล้วมีการใช้คำหยาบหรือสัปดนหรือแคมฟรอกอยู่ในเล่มเดียวกัน แล้วได้
ซีไรต์ อันนี้ก็เป็นความก้าวหน้า มันเป็นการเปลี่ยนแปลงของตัวรางวัลด้วย เหมือนกับว่าอย่างน้อยเขาก็เปิดรับมาก
ขึ้นว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป
     กวีของต่างประเทศก็มีปัญหาเหมือนกันกับของไทย แต่ว่าเขามีความพยายามจะสืบทอดขยายฐาน อย่างร้าน
หนังสือในเมืองนอกหลายร้านที่จัดกิจกรรมอ่านกลอน ทุกเดือนจะเชิญกวีมากอ่าน บางทีมันต้องฟัง โดยเฉพาะคน
ที่ไม่คุ้นเคยเลย ไม่เคยอ่านมาก่อน ต้องฟังก่อนแล้วจะเข้าใจ ตลาดจะเล็กลงเรื่อยๆ ถ้าเราจะไปเน้นการตลาดอย่าง
เดียว พิมพ์ไม่ได้ ขาดทุนจบ ไม่ต้องพิมพ์ ต้องคิดว่าจะไปหานักอ่านใหม่ๆ ยังไง โจทย์นี้เมืองไทยไม่ค่อยคิดกัน
วรรณกรรมก็เหมือนกัน ตลาดเล็กลงๆ จะขยายตลาดยังไง
     นี่คือโจทย์ ถ้าจะมานั่งล้อมวงกันแล้วด่าระบบต่างๆ มันตายแน่นอน ต้องคิดว่าจะต้องทำยังไง 0


งานนี้เผยแพร่ภายใต้ลิขสิทธิ์ Creative Commons แบบ Attribution Non-commercial Share Alike (by-nc-sa)
โดย สนพ. ชายขอบ อนุญาตให้ทำซ้ำ แจกจ่าย แสดง และสร้างงานดัดแปลงจากส่วนใดส่วนหนึ่งของงาน
นี้ได้โดยเสรี แต่เฉพาะในกรณีที่ให้เครดิตสำนักพิมพ์และระบุ URL www.chaikob.com ไม่นำไปใช้ในทาง
การค้า และเผยแพร่งานดัดแปลงภายใต้ลิขสิทธิ์เดียวกันนี้เท่านั้น
เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ สนพ. ชายขอบ – http://www.chaikob.com/