Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ปาโบล เนรูด้า มหากวีผู้ยืนเคียงข้างประชาชน

 

 
ปาโบล เนรูด้า (Pablo Neruda) มหากวีแห่งชิลีผู้นี้ เริ่มต้นชีวิตนักการเมืองในสนามเลือกตั้งเป็นครั้งแรก หลังจากทำหน้าที่กงสุลต่างประเทศมาระยะหนึ่ง ในปี 1945 หลังจากที่เขาชนะการเลือกตั้งในเขตตาราปาก้า และอันโตฟากาสต้า ถิ่นยากจนแร้นแค้นทางตอนเหนือของประเทศ ที่อุดมไปด้วยเหมืองทองแดงและเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ เขาก็กลายเป็นวุฒสมาชิกของวุฒิสภาทันที
 
ก่อนหน้านี้เขาเป็นเพียงลูกคนงานสร้างทางรถไฟ ที่สูญเสียแม่ของตัวเองไปเมื่อคลอดเขาออกมาได้เพียงเดือนเดียว หลังจากนั้นไม่นานพ่อของเขา ก็แต่งงานใหม่และย้ายเมืองไปอยู่ที่แถบทางใต้ และที่นี่เอง กลายเป็นพื้นที่ๆที่มีอิทธิพลต่อความคิดและจิตใจของมหากวีผู้นี้ ตั้งแต่เยาว์วัย…
 
เดิมปาโบล เนรูด้า มีชื่อว่า เนฟตารี ริคาร์โด รีเยส บาโซอัลโต แต่มาเปลี่ยนเป็นชื่อ ปาโบล เนรูด้า หลังจากที่เขามุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลงานกวีนิพนธ์ออกมาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอโดยผู้เป็นพ่อไม่เคยให้การสนับสนุนหนำซ้ำยังรู้สึกอับอายที่มีลูกชายเป็นกวีเสียด้วย
 
เขาจึงใช้นามแฝงในการส่งบทกวีไปลงพิมพ์ยังที่ต่างๆ เรื่อยมา กระทั่งวันหนึ่งเขาตัดสินใจใช้นามปากกา ปาโบล เนรูด้า ในปี 1920 และต่อมาอีก 26 ปี ชื่อนี้จึงกลายเป็นชื่อที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขาไป
 
เหตุที่เขาเลือกใช้ชื่อปาโบลเพราะชอบชื่อนี้ ส่วนเนรูด้านั้น เขาเลือกใช้ทั้งที่ไม่รู้มาก่อนเลยว่านามสกุลของแจน เนรูด้า กวีต่างชาติผู้นี้เป็นกวีที่ยิ่งใหญ่เพียงใด กระทั่งหลายปีต่อมาเขามีโอกาสเดินทางไปยังจัตุรัสมาลา สตราน่า ในกรุงปราก ที่ปัจจุบันคือสาธารณรัฐเชค เขาเดินทางไปคารวะอนุสาวรีย์ของกวีท่านนี้ด้วยตัวเอง…
 
กวีนิพนธ์แห่งรักยี่สิบบทและบทเพลงแห่งความสิ้นหวังหนึ่งบท ( Veinte poemas de amor y una canaio’n desesperada) กลายเป็นผลงานที่มีผู้อ่านมากที่สุดในยุคนั้น (1924) รวมทั้งเป็นกวีนิพนธ์รักภาษาสเปนที่ได้รับความนิยมสูงสุดกระทั่งปัจจุบันนี้ อีกด้วย
 
ชีวิตของเขาคงเป็นเหมือนกวีทั่วไป หากไม่ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ด้วยวัยเพียง 23 ปีเขาเป็นเจ้าหน้าที่กงสุลตัวแทนของประเทศชิลีประจำกรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า หลังจากนั้นชีวิตของเขาก็วนเวียนอยู่ทางซีกโลกตะวันออกอย่างเช่นประเทศศรีลังกา อินโดนีเซีย อินเดีย เป็นต้น
 
แน่นอนตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะอยู่แห่งใด เขาไม่ลืมที่จะร้อยเรียงบทกวี บันทึกเป็นเรื่องราวแห่งชีวิตเขาไว้ทุกสถานที่…ในวัยหนุ่มบทกวีของเขาเต็มได้ด้วยเรื่องราวของความรักและธรรมชาติ แต่ในระยะต่อมาเมื่อเขาได้กลายเป็นกงสุล เรื่องราวของโลกตะวันออกก็ถูกเขารจนาออกมาได้แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกกดดันจากสิ่งต่างๆ รอบตัว ผู้คน สังคมและชีวิตของเขาเอง รวมทั้งสงครามกลางเมืองสเปน ที่ขณะนั้นเป็นการต่อสู้ระหว่างพลังของประชาชนที่มีชีวิตอยู่ด้วยความอดอยากยากแค้นกับอภิสิทธิ์ชนในประเทศที่อยู่ในชนชั้นสูงต่างๆ
 
นับตั้งแต่เขามองโลกในแง่มุมใหม่ กวีนิพนธ์ของเขากลายเป็นสิ่งทรงพลังที่เข้าต่อสู้กับความอยุติธรรมทั้งหลายในสังคมของเขาขณะนั้น ในปี 1943 เขาตัดสินใจลาออกจากการเป็นกงสุลใหญ่ประจำประเทศเมกซิโก เหตุเพราะเกิดความเบื่อหน่ายต่อรัฐบาลเมกซิโกในขณะนั้นที่มีการเข่นฆ่าผู้คนราวดอกเห็ด… โดยคนทั่วไปไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบโต้…
 
ขณะที่เขาเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง จากประเทศเมกซิโก เขาเดินทางผ่านมาตามประเทศต่างๆ ตามชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ในเมืองหลวงของแต่ละที่มีผู้คนให้ความต้อนรับเขาเรือนหมื่นเรือนแสน ในฐานะที่เขาเป็นกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกลาตินอเมริกาขณะนั้น
 
หลังจากนั้นอีกสองปี ปาโบล เนรูด้า ตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์ชิลีในวันที่ 15 กรกฎาคม 1945 และยังได้รับคัดเลือกให้เข้าเป็นวุฒิสมาชิกจากมณฑลตาราปากาและอานโตฟากาสต้า และในปีเดียวกันนี้เขายังได้รับรางวัลวรรณคดีแห่งชาติของชิลีอีกด้วย
 
ด้วยฐานะวุฒิสมาชิกแห่งวุฒิสภา วันไหนที่ปาโบล เนรูด้าลุกขึ้นอภิปรายจะมีผู้คนหลั่งไหลเข้าฟังการอภิปรายของเขา ในปี 1948 เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้อภิปรายประณามรัฐบาลชิลีในยุคนั้น ว่ารับใช้มหาอำนาจต่างชาติ กระทำการเหยียบย่ำหลักการแห่งอิสรภาพและประชาธิปไตย เขาจึงถูก ‘สั่งจับ’ ทำให้ต้องหลบๆซ่อนๆตามที่ต่างๆ เรื่อยมา กระทั่งในที่สุด เขาก็ลี้ภัยออกนอกประเทศเดินทางมายังฝรั่งเศสด้วยการยืมพาสปอร์ตของมิเกล อังเคล อัสตูเรียลนักเขียนนวนิยายรางวัลโนเบลชาวกัวเตมาลา ผู้เป็นเพื่อนที่มีรูปร่างหน้าตาละม้ายกัน
 
ที่ฝรั่งเศสเขาได้เข้าร่วมประชุมสมัชชาเพื่อสันติภาพและได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการสันติภาพสากล …หลังจากนั้นเขาได้เดินทางไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพื่อเรียกร้องสันติภาพ และต่อสู้เพื่อสันติภาพ…
 
ปาโบล เนรูดา เคยกล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา แต่เขาก็ประณามลัทธิทุนนิยมผู้ขาดซึ่งมีอิทธิพลอย่างมาก ผูกขาดทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตทั้งของประชาชนอเมริกันและขาวลาติน
อเมริกัน บทกวีของเขากลายมาเป็นกวีของโลกที่ได้รับการถ่ายทอดเป็นภาษาต่างๆ อย่างแพร่หลาย ไม่น้อยกว่ายี่สิบภาษา
 
เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 1971 หลังจากที่เขาเคยถูกเสนอไปถึงสามครั้ง แต่กรรมการปฏิเสธทุกครั้งด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียวว่าเขาเป็นคอมมิวนิสต์….
 
ปาโบล เนรูด้าเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 23 กันยายน 1973 ผู้คนทั้งประเทศหลั่งไหลเข้าร่วมพิธีศพของเขา ในบริเวณบ้านที่นครซานดิเอโก ทั้งๆที่คำประกาศจากกองทัพว่าจะไม่มีการจัดพิธีศพอย่างเป็นรัฐพิธีใดๆ แม้ว่าเขาจะเป็นกวีผู้ยิ่งใหญ่ของชิลีและโลกลาตินอเมริกาเช่นไรก็ตาม… แต่กระนั้นผู้คนก็ยังคงเดินทางเข้าร่วมพิธีศพของเขาอย่างต่อเนื่องและเพิ่มจำนวนจากสิบเป็นร้อย เป็นพันเป็นหมื่น
 
นั่นเป็นการประกาศให้เห็นว่า ชื่อของมหากวีผู้นี้ ยังคงอยู่ในใจของชาวชิลีตราบนานเท่านาน เพราะเขาคือกวีผู้ยืนเคียงข้างประชาชนที่แท้จริง ดังเช่นตอนหนึ่งของบทกวีเขาที่กล่าวว่า…
 
…เราทั้งมวลล้วนมาจากสถานที่เดียวกัน
เราทั้งมวลล้วนมาจากสตรีและบุรุษเหมือนกัน
เราทั้งมวลผู้รู้รสชาติของความหิวโหยก่อนที่ฟันจะขึ้นเสียอีก…
……………………..
ภายในนาวาไม่มีที่สำหรับเรา
ท่านไม่ต้องการต้อนรับเรา…
เหตุไฉน ท่านถึงมีรายได้เป็นล้นพ้น?
ใครเล่าเป็นคนให้ช้อนแก่ท่านตั้งแต่ก่อนเกิดขึ้นมา ?
 
 
โดย นพวรรณ สิริเวชกุล ผู้จัดการออนไลน์ 4 สิงหาคม 2549