ปรากฏการณ์ธรรมชาติและ “สึนามิ” ใน พระอภัยมณี

เรื่องนี้เริ่มต้นจากการที่ผู้เขียน “ลงมือ” อ่าน พระอภัยมณี วรรณคดีเรื่องเอกของสุนทรภู่ ความยาว ๖๔ ตอน (พิมพ์เป็นหนังสือหนากว่า ๑,๒๐๐ หน้า) อย่างคร่าว ๆ ตลอดทั้งเรื่อง เพื่อเขียน “พระอภัยมณีมาจากไหน ?” และพอจะจับเป็นข้อสังเกตได้ว่า สุนทรภู่ (พ.ศ. ๒๓๒๙-๒๓๙๘) ได้กล่าวถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างน้ำท่วม แผ่นดินไหว ฯลฯ ไว้หลายตอน ทั้งยังได้กล่าวถึง “ดาวหาง” และ “อุกกาบาต” ด้วย
แรก ๆ ผู้เขียนก็คิดเพียงว่า ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่สอดแทรกอยู่ในเรื่อง พระอภัยมณี เป็นเพียง “จินตนาการ” อันบรรเจิดของกวีเอกของเราที่มุ่งจะปรุงแต่งให้ พระอภัยมณี มีสีสันสนุกสนานเร้าใจอย่างที่เข้าใจกันทั่วไป จึงไม่ได้สนใจที่จะนำเรื่องเหล่านั้นมาสืบสวนค้นคว้าพิจารณาให้ถี่ถ้วนนัก
จนเมื่อเกิดเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัย “สึนามิ” ขึ้นเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ภาพข่าวเกี่ยวกับคลื่นยักษ์และแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ก็ทำให้ผู้เขียนฉุกคิดถึงสิ่งที่สุนทรภู่เขียนถึงไว้ใน พระอภัยมณี อีกครั้ง
เป็นไปได้ไหมที่เหตุการณ์ “น้ำท่วม” “แผ่นดินไหว” ที่ปรากฏในวรรณคดีซึ่งเขียนขึ้นเมื่อเกือบ ๒๐๐ ปีก่อน จะไม่ได้เป็นเพียง “จินตนาการ” ?
น้ำท่วม-แผ่นดินไหว ใน พระอภัยมณี
น้ำท่วม-แผ่นดินไหว ในสมัยรัชกาลที่ ๓
ผู้ที่ได้อ่าน พระอภัยมณี และศึกษาเรื่องราวชีวิตของสุนทรภู่มาบ้าง คงพอจะทราบว่า หลาย ๆ เหตุการณ์ที่ปรากฏในเรื่องน่าจะมีเค้ามาจากเหตุการณ์จริง ผู้เขียนเองเมื่อจำเป็นต้องอ่านทบทวนเรื่อง พระอภัยมณี อีกรอบเพื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมและตรวจสอบความถูกต้อง ก็ต้องเห็นด้วยกับความคิดในเรื่องนี้ ทั้งยังได้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า นอกจากกล่าวถึง “เหตุการณ์” แล้ว สุนทรภู่ยังได้กล่าวถึง “วันเวลา” ที่เกิดเหตุการณ์ (บางเหตุการณ์) เอาไว้อย่างละเอียดด้วย บางครั้งถึงขนาดชัดเจนกว่าบันทึกในประวัติศาสตร์หรือพงศาวดาร
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่น่าสนใจตอนหนึ่ง ได้แก่ การสวรรคตของท้าวสุทัศน์ พระราชบิดาของพระอภัยมณีและศรีสุวรรณ (ตอนที่ ๕๒ หน้า ๑๐๖๗)
“เดือนแปดปีวอกตะวันสายัณห์ย่ำ
สิบเอ็ดค่ำพุธวันขึ้นบรรจถรณ์
ฤกษ์อรุณทูลกระหม่อมจอมนคร
สองภูธรเธอสวรรคครรไล”
จะเห็นได้ว่าสุนทรภู่ได้บอกวันเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไว้อย่างชัดเจน จนภายหลังได้มีผู้พบว่าวันเวลาดังกล่าวนั้นตรงกับวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต คือวันพุธที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗ (จ.ศ. ๑๑๘๖) นั่นเอง
และอีกตอนหนึ่งที่ผู้เขียนค้นพบก็คือ เมื่ออุศเรนตายแล้วผีไปเข้านางวาลี (ตอนที่ ๒๖ หน้า ๔๑๕)
“ชักชะงากรากเลือดเป็นลิ่มลิ่ม
ถึงปัจฉิมชีวาตม์ก็ขาดหาย
เป็นวันพุธอุศเรนถึงเวรตาย
ปีศาจร้ายร้องก้องท้องพระโรง”
ในที่นี้อุศเรนคือเจ้าอนุวงศ์กบฏเวียงจันทน์ เมื่อถูกจับขังกรงส่งมาถึงกรุงเทพฯ ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ. ๒๓๗๑ หลังจากได้รับการแช่งด่า ทรมานที่หน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ “ประมาณ ๗ วัน ๘ วัน”–ตาม พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ (๒๕๔๗) ก็ตาย ในกรณีนี้ “วันพุธ” ของสุนทรภู่จึงเท่ากับได้เพิ่มความชัดเจนให้แก่ประวัติศาสตร์ไทย
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผู้เขียนคาดว่าน่าจะสามารถ “ตามรอย” ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใน พระอภัยมณี เพื่อสืบหา “ที่มา” และ “ช่วงเวลา” ที่เกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบทความนี้ก็คือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่อาจจะบอกอะไรบางอย่างกับเราเกี่ยวกับ “สึนามิ” ในความคิดของผู้เขียน
เมื่อกล่าวถึง “สึนามิ” คำแรก ๆ ที่เรานึกถึงคงหนีไม่พ้น “แผ่นดินไหว” และ “น้ำท่วม” มาดูกันว่าสุนทรภู่กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้าง
ใน พระอภัยมณี สุนทรภู่กล่าวถึงเหตุการณ์น้ำท่วม-แผ่นดินไหว ไว้หลายตอน รวมถึงระบุเวลาที่เกิดเหตุเอาไว้ด้วยชนิดที่ชวนให้คิดว่าเป็นเหตุการณ์จริง เช่นในตอนที่ ๔๕ (หน้า ๘๙๕) ที่กล่าวว่า
“เพราะปีเถาะเคราะห์กรรมเกิดน้ำมาก
ขึ้นท่วมปากท่วมลิ้นเสียสิ้นหนอ”
เป็นเรื่องบังเอิญที่ในระหว่างศึกษาเรื่อง พระอภัยมณี นี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสตรวจอ่านหนังสือ ประวัติวรรณคดีไทย โดย เปลื้อง ณ นคร (๒๕๔๕) และพบว่าที่หน้า ๓๗๒ ภายใต้หัวข้อ “ลำดับเหตุการณ์สำคัญ” ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์สมัยพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีข้อมูลที่น่าสนใจระบุว่า
“พ.ศ. ๒๓๖๒ ปีเถาะ น้ำท่วมใหญ่ (ท่วมใหญ่อีกคราวหนึ่งปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๗๔ ในรัชกาลที่ ๓)” ส่วนคำกลอนท่อนหลังเป็นเรื่องส่วนตัวของสุนทรภู่ในต้นปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๕๐ ที่ตัวเองทะเลาะกับนางจันภรรยาจนพูดไม่ออก
นอกจากนี้ในหนังสือสำคัญอีกเล่มหนึ่งคือ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ ของ เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (จัดพิมพ์โดยกรมศิลปากร พ.ศ. ๒๕๔๗) ที่หน้า ๔๖ ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ใน พ.ศ. ๒๓๗๔ ก็ระบุถึงเรื่อง “น้ำท่วม” ตรงกันอีก ความว่า
“ในปีเถาะนั้น กรมพระราชวังบวรทรงประชวรมานน้ำ ปีนั้นน้ำมากทั่วพระราชอาณาจักร ผู้ใหญ่ว่ามากกว่าปีมะเส็ง สัปตศกแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์คืบ ๑ บางคนก็สังเกตว่าที่หน้าพื้นวัดพนังเชิงน้ำพอเปี่ยมตลิ่ง ไม่ท่วมขึ้นไปบนลานหน้าพระวิหาร ว่าเสมอกันกับน้ำปีมะเส็ง และประเทศทั้งพม่าทั้งญวนได้ข่าวว่ามากเหมือนกัน น้ำครั้งนั้นจะไปข้างไหนก็ลัดไปได้ ในกำแพงพระนครก็ต้องไปด้วยเรือที่เล่นผ้าป่ามีเรือ ผ้าป่าตามธรรมเนียมสนุกมาก ข้าวปีนั้นน้ำท่วมเสีย ๖ ส่วนได้ ๔ ส่วน ราษฎรซื้อขายกันข้าวนาทุ่งเกวียนละ ๕ ตำลึงบ้าง เกวียนละ ๖ ตำลึงบ้าง เกวียนละ ๗ ตำลึงบ้าง”
ไม่เพียงเหตุการณ์น้ำท่วม “ปีเถาะ” เท่านั้น ใน พระอภัยมณี คำกลอนของสุนทรภู่ ยังมีเหตุการณ์ “น้ำท่วม” ปนอยู่ในปรากฏการณ์ “แผ่นดินไหว” ในอีกหลายตอน ที่น่าสนใจก็เช่นในตอนที่ ๕๕ (หน้า ๑๑๑๐) ซึ่งกล่าวว่า
“ฝ่ายองค์พระมังคลานราราช
ออกอำมาตย์พร้อมสิ้นเมื่อดินไหว
เป็นควันคลุ้มกลุ้มชลานภาลัย
ลูกคลื่นใหญ่อย่างจะเททะเลวน
เรือกำปั่นพันถ้วนเชือกพวนขาด
ขึ้นค้างหาดฟาดฝั่งหลังถนน
น้ำท่วมทั้งวังใหม่นายไพร่พล
ขึ้นอยู่บนเนินเขาอดข้าวปลา”
ผู้เขียนพบว่า เหตุการณ์น้ำท่วมที่บรรยายไว้นี้ดูจะสอดคล้องกับข้อความใน พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ ที่กล่าวว่า “ในกำแพงพระนครก็ต้องไปด้วยเรือ” โดยส่วนที่กล่าวถึง “วังใหม่” นั้น ผู้เขียนเข้าใจว่าน่าจะหมายถึง พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ (=สุทไธสวรรย์) ในพระราชวังหลวง ที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในปี พ.ศ. ๒๓๖๗ (ปีวอก) จากพระที่นั่งพลับพลาสูงหน้าจักรวรรดิเดิมที่เป็นเครื่องไม้ ได้สร้างใหม่เป็นปราสาทมีผนังก่ออิฐหลังคามุงกระเบื้องประดับกระจกช่อฟ้าใบระกา หรือมิฉะนั้นก็น่าจะหมายถึงพระมหาปราสาทที่สร้างเสร็จพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงพระที่นั่งบางองค์ เช่น พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในปี พ.ศ. ๒๓๗๓ หรือก่อนน้ำท่วมใหญ่เพียง ๑ ปี (ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี, ๒๕๔๗ หน้า ๖ และ ๔๓, ถนอม นพวรรณ, ๒๕๓๕ หน้า ๕๔)
ส่วนเรื่อง “ดินไหว” หรือ “แผ่นดินไหว” นั้น ในพระราชพงศาวดารฉบับเดียวกันที่หน้า ๘๐ ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ในปี พ.ศ. ๒๓๘๒ ผู้เขียนยังได้พบข้อความในหัวข้อ “แผ่นดินไหว” ตรงกับวันที่ ๒๒ มีนาคม ความว่า
“ครั้นมาถึงวันศุกร์เดือน ๕ ขึ้น ๗ ค่ำ เกิดแผ่นดินไหว เมื่อเวลา ๘ ทุ่ม คนตื่นตกใจทั้งแผ่นดินไม่รู้ว่าเป็นเหตุอย่างไร ที่อยู่เรือนก็เหมือนเรือนจะทลาย ที่อยู่เรือแพก็โยนไปมาเหมือนถูกคลื่น น้ำในลำแม่น้ำก็เทไปฟากข้างโน้นแล้วเทมาฟากข้างนี้ เปรียบเหมือนคนกลอกน้ำในลำเรือฉันใดก็เหมือนกันเช่นนั้น ต่อรุ่งสว่างขึ้นจึงรู้ว่าแผ่นดินไหว ไหวครั้งนั้นเป็นอัศจรรย์นัก สืบได้ข่าวที่เมืองพม่าก็ไหว แผ่นดินแยกด้วยพร้อมกัน แต่ที่กรุงเทพมหานครนี้ไหวไปสิ้นอยู่เพียงลำแม่น้ำบางปะกง ฝั่งข้างตะวันตก ฝั่งข้างตะวันออก ข้างเมืองพนัสนิคม เมืองชลบุรีไม่ได้ไหว”
เรื่อง “แผ่นดินไหว” ยังมีแทรกอยู่ในเล่มเดียวกันที่หน้า ๙๒ ตรงท้ายเรื่อง “พระสงฆ์ลังกาเข้ามาถึงกรุงเทพฯ” ด้วย แต่เป็นเหตุการณ์ในปีถัดมาคือปี พ.ศ. ๒๓๘๓ มีข้อความสั้น ๆ ว่า
“ครั้น ณ วันพุธเดือน ๑๑ แรม ๓ ค่ำ เวลาเช้า ๓ โมง เกิดแผ่นดินไหว” โดยไม่มีรายละเอียดใด ๆ อีก
เมื่อพิจารณาจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และพงศาวดารที่เชื่อถือได้ดังกล่าว ประกอบกับระยะเวลาในการแต่งเรื่อง พระอภัยมณี ซึ่งเชื่อกันว่าน่าจะอยู่ในช่วงปลายรัชกาลที่ ๒ ไปจนถึงช่วงสมัยรัชกาลที่ ๓ คือระหว่างปี ๒๓๖๖-๒๓๘๘ ฉะนั้นเหตุการณ์ “น้ำท่วม” และ “แผ่นดินไหว” ในเรื่อง พระอภัยมณี ที่สุนทรภู่กล่าวถึง จึงน่าจะมีที่มาจากปรากฏการณ์จริงที่เกิดขึ้น คือเหตุการณ์น้ำท่วม “ปีเถาะ” หรือปี พ.ศ. ๒๓๗๔ และเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี พ.ศ. ๒๓๘๒ และปี พ.ศ. ๒๓๘๓ อย่างไม่น่าจะเป็นอื่น
แต่นอกจากคำ “น้ำท่วม” และ “ดินไหว” แล้ว สิ่งที่เราไม่อาจมองข้ามได้ในบทกลอน พระอภัยมณี ก็คือ ภาพผลพวงของปรากฏการณ์นั้นที่สุนทรภู่ได้ถ่ายทอดไว้อย่างเด่นชัด
เค้าของภัยพิบัติ “สึนามิ” ในเรื่อง พระอภัยมณี
เรื่อง “แผ่นดินไหว” ในเขตไทย แม้ตามหลักฐานทางธรณีวิทยาอาจกล่าวได้ว่าเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นนาน ๆ ครั้ง แต่อย่างไรคนไทยนับแต่ครั้งบรรพบุรุษก็ต้องมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้าง สุนทรภู่ก็คงจะต้องมีเรื่องทั้งที่ตัวเองได้รู้เห็น โดยเฉพาะในปี พ.ศ. ๒๓๘๒ และปี พ.ศ. ๒๓๘๓ ดังกล่าวมาแล้ว และที่ได้ยินได้ฟังมาจากผู้อื่น และเหตุการณ์เหล่านั้นในความเป็นจริงก็คงจะรุนแรงและสร้างความตื่นเต้นหวาดหวั่นให้แก่นักเดินทางในทะเลและคนทั้งบ้านเมืองได้ประสบและโจษจันกันอยู่ไม่น้อย
ผู้เขียนสังเกตว่าสุนทรภู่เริ่มพาดพิงถึง “แผ่นดินไหว” ครั้งแรกในเรื่อง พระอภัยมณี ตอนที่ ๒๗ อย่างย่นย่อ แต่แล้วก็ได้หยุดไปอาจเพราะคิดหาประโยชน์ยังไม่ได้ จนกระทั่งถึงตอนที่ ๔๔ “กษัตริย์สามัคคี” (หน้า ๘๘๒) สุนทรภู่จึงได้แต่งให้มีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติหลายอย่าง อันเป็นเหตุให้บรรดากษัตริย์ทั้งหลายตกลงใจที่จะเลิกรบกัน
“พออากาศฟาดเปรี้ยงเสียงสนั่น
เป็นหมอกควันมืดมิดทุกทิศา
พวกรบสู้ดูเหมือนไม่มีตา
ไม่รู้ว่าจะไปหนตำบลใด
ประเดี๋ยวดังหงั่งเหง่งเสียงเครงครึก
ลั่นพิลึกโลกาสุธาไหว
เป็นฝนฟุ้งทุ่งท่าพนาลัย
ทุกนายไพร่หนาวทั่วทุกตัวคน
ไม่รู้ที่หนีไปข้างไหนรอด
เหมือนตาบอดมืดเขม้นไม่เห็นหน
หนาวสะท้านคลานคลำด้วยจำจน
เสียงแต่ฝนซู่ซู่เข้าหูตา
ดูมืดสิ้นดินสวรรค์เป็นควันโขมง
แต่เพลิงโพลงพลุ่งอยู่ที่ภูผา
เห็นหนทางต่างคลานทะยานมา
พวกโยธาโถมชิงกันผิงไฟ”
โดยเมื่อปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติต่าง ๆ สงบลง พระโยคีก็ได้ออกมาสั่งสอนเหล่ากษัตริย์ เหตุการณ์จึงจบลงด้วย
“ฝ่ายกษัตริย์ขัตติยาสิบห้ากษัตริย์
ต่างจบหัตถ์สาธุสะพระฤาษี
โปรดปรึกษาว่าให้เป็นไมตรี
ข้าเห็นดีพร้อมพรักจะรักกัน”
เรื่องกษัตริย์หันหน้าเข้าปรองดองกันนี้เชื่อได้ว่าสุนทรภู่น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๘๒ อีกเช่นกัน เพราะมีบันทึกปรากฏอยู่ใน พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ (หน้า ๘๑-๘๒) ถึงกรณีที่พระยาศรีพิพัฒน์ (ทัด) มีตราให้หาเจ้าเมืองแขก (มลายู) ซึ่งมีข้อวิวาทถึงขั้นสู้รบกัน และได้บังคับให้เลิกรบทั้ง ๒ ฝ่าย แล้วให้สบถสาบานตามอย่างแขกดีกัน เรื่องนี้เป็นอีกหมุดหมายหนึ่งซึ่งบอกเราว่าสุนทรภู่แต่ง พระอภัยมณี ตอนดังกล่าวนี้ในช่วงเวลาใด
ตามความคิดของผู้เขียน สุนทรภู่เริ่มนำประสบการณ์เกี่ยวกับ “แผ่นดินไหว” มาใช้เป็นฉากใน พระอภัยมณี อีกครั้ง เมื่อกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ (พระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ ๓ ผู้ทรงอุปการะและมีพระเมตตาต่อสุนทรภู่ในคราวตกอับอย่างสูงสุด) ทรงขอร้องให้สุนทรภู่แต่งเรื่องพระอภัยมณีต่อ (คือตั้งแต่ตอนที่ ๔๕ “นางเสาวคนธ์ขุดโคตรเพชร”) และน่าจะด้วยเวลาที่ผ่านมาสุนทรภู่มีโอกาสสะสมข้อมูลที่แปลกและน่าสนใจที่เป็นข้อเท็จจริงเรื่องแผ่นดินไหวจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะจากพวกนักบวช (ดังคำกลอนในตอนที่ ๕๕ หน้า ๑๑๐๘ ที่ว่า “ไปหาบาทหลวงถามความกังขา เหตุไฉนไหวทั้งเกาะลังกา มีตำรารู้บ้างหรืออย่างไรฯ”) ตลอดจนพ่อค้าชาวเรือเดินสมุทร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผ่านเหตุการณ์ “แผ่นดินไหว” อีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๓๘๓ การสอดแทรกเหตุการณ์แผ่นดินไหวเข้าไปใน พระอภัยมณี ช่วงหลังนี้จึงเข้มข้นและเต็มไปด้วยรายละเอียด โดยมีการผูกเรื่องแผ่นดินไหวเข้ากับจินตนาการ “ขุดโคตรเพชร” ที่ทำให้เกิดแผ่นดินสะท้านสะเทือนไปทั่ว ดังปรากฏในคำกลอนตอนที่ ๔๕ (หน้า ๙๐๔-๙๐๕) ความว่า
“แต่นงเยาว์เสาวคนธ์ใส่กลเฉย
ไม่เก็บเลยเลียบทางทำห่างเหิน
นางละเวงเกรงใจปราศรัยเชิญ
ไยแม่เมินไม่ดูเตร็จกับเพชรนิล
นางนบนอบตอบว่าถ้าแม้โปรด
จะขอโคตรไข่เพชรก้อนเตร็จหิน
นางวัณฬาว่าสิ่งไรในแผ่นดิน
ฉันให้สิ้นสารพัดไม่ขัดใจ
นางเสาวคนธ์ค้นเพชรพบเตร็จงอก
ดูดังดอกบุษบงไม่สงสัย
ค่อยสั่นคลอนถอนหลุดหลากสุดใจ
แผ่นดินไหวเลื่อนลั่นเสียงครั่นครื้น
ทวีปวังลังกาสุธาหย่อน
เหมือนจะคลอนโคลงคว่ำน้ำเป็นคลื่น
ทุกแถวทางหว่างถนนผู้คนยืน
ถลาลื่นล้มลุกสนุกจริง
ชาวบ้านช่องท้องตลาดวิ่งกลาดเกลื่อน
บ้างโดนเพื่อนวุ่นวายทั้งชายหญิง
ดูปั่นป่วนหวนเหียนอยู่เวียนวิง
ทั้งสัตว์สิงวิ่งตื่นอยู่ครื้นเครง
สาวสนมล้มปะทะบ้างผละผลัก
กระชากชักผ้าห่มว่าข่มเหง
เห็นครึกโครมโฉมยงค์องค์ละเวง
ให้กริ่งเกรงกราบกษัตริย์ภัสดา
เหตุไฉนไหวหวั่นเป็นฉันนี้
ไม่เคยมีมาแต่หลังให้กังขา
พระอภัยไม่สู้รู้ตำรา
จึงตรัสว่าวันนี้ฤกษ์ดีนัก
มาชมเตร็จเพชรนิลแผ่นดินไหว
เพราะจะได้ปรากฏเป็นยศศักดิ์
ไม่วุ่นวายร้ายรองดอกน้องรัก
ทั้งไตรจักรจะเป็นสุขสนุกสบาย”
และในตอนที่ ๕๕ (หน้า ๑๑๐๗-๑๑๐๘) ก็มีต่ออีกอย่างชัดเจนว่า
“ฝ่ายมนตรีที่ตัวโปรดถือโคตรเพชร
พาแก้วเก็จไปถึงวังนรังสรรค์
ลอบฝังแก้วแล้วออกมาเวลานั้น
แผ่นดินลั่นครั่นครึกสะทึกสะท้อน
ตลอดทั้งวังเวียงเพียงจะคว่ำ
อีเลิ้งน้ำเป็นระลอกกระฉอกกระฉ่อน
ตึกเรือนโรงโงงเงงโคลงเคลงคลอน
สะท้านสะท้อนทั่วทั้งเกาะลังกา
ดูต้นไม้ไกวกวัดสะบัดโบก
เขยื้อนโยกขย้อนทุกต้นรุกขา
ฝูงนกตกใจบินไปมา
ช้างม้าลาล้มลุกตะคลุกคลาน
ทะเลลึกครึกครื้นเป็นคลื่นคลั่ง
กระทบฝั่งฟูมฟาดเสียงฉาดฉาน
ชายหญิงยืนขึ้นก็ล้มต้องก้มกราน
ต่างเซซานซวนทรงไม่ตรงกาย
ถึงสามวันนั้นจึงสิ้นแผ่นดินไหว
เป็นควันไฟมืดมนอยู่จนสาย
ต่างสงสัยไม่รู้ที่จะดีร้าย
ทั้งหญิงชายโจษกันจำนรรจาฯ
นางละเวงเกรงตรึกนึกประหลาด
ไปหาบาทหลวงถามความกังขา
เหตุไฉนไหวทั้งเกาะลังกา
มีตำรารู้บ้างหรืออย่างไรฯ”
ตามด้วยบทที่กล่าวถึงไปบ้างแล้วในตอนต้น คือ ตอนที่ ๕๕ (หน้า ๑๑๑๐-๑๑๑๑)
“ฝ่ายองค์พระมังคลานราราช
ออกอำมาตย์พร้อมสิ้นเมื่อดินไหว
เป็นควันคลุ้มกลุ้มชลานภาลัย
ลูกคลื่นใหญ่อย่างจะเททะเลวน
เรือกำปั่นพันถ้วนเชือกพวนขาด
ขึ้นค้างหาดฟาดฝั่งหลังถนน
น้ำท่วมทั้งวังใหม่นายไพร่พล
ขึ้นอยู่บนเนินเขาอดข้าวปลา
ถึงสามวันครั้นหายฝ่ายฝรั่ง
กลับลงตั้งอยู่ค่ายทั้งซ้ายขวา
ต้องซ่อนลำกำปั่นตอกหมันยา
พระมังคลาลอบสั่งโหรทั้งนั้น
ให้ทำนายทายที่ความดีไว้
ให้ชื่นใจไพร่พหลพลขันธ์
แล้วให้หามาประชุมชุมนุมกัน
ให้โหรนั้นทายลางจะอย่างไรฯ”
จากหลักฐานทั้งประวัติศาสตร์และพงศาวดาร ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวในปี พ.ศ. ๒๓๘๒ และปี พ.ศ. ๒๓๘๓ นั้น สำหรับในปีแรก นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงมาก กินบริเวณกว้าง ดังที่ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ ระบุว่า “สืบได้ข่าวที่เมืองพม่าก็ไหว แผ่นดินแยกด้วยพร้อมกัน” ทั้งนี้ในส่วนที่ปรากฏใน พระอภัยมณี ของ สุนทรภู่ ซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นเรื่องจริงบวกจินตนาการนั้น ก็มีทั้ง “ทวีปวังลังกาสุธาหย่อน” “สะท้านสะท้อนทั่วทั้งเกาะลังกา” “เหตุไฉนไหวทั้งเกาะลังกา” “ประการหนึ่งซึ่งสุธาลังกาไหว” “ถึงสามวันนั้นจึงสิ้นแผ่นดินไหว” ฯลฯ เหล่านี้เท่ากับยืนยันว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอ่าวเบงกอลอย่างแน่นอน
ผู้เขียนเองซึ่งได้รับรู้เหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิที่เกิดขึ้นเมื่อตอนสายของวันอาทิตย์ที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ จากข่าวโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ ได้เห็นภาพคลื่นขนาดยักษ์ที่ซัดเข้าหาฝั่ง ภาพเรือประมงถูกคลื่นซัดขึ้นมาเกยหาด ฯลฯ จึงใคร่จะกล่าวว่า ปรากฏการณ์ “น้ำท่วม-แผ่นดินไหว” ที่สุนทรภู่บรรยายถึงไว้ใน พระอภัยมณี (นอกเหนือจากที่เป็นจินตนาการที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์) นั้น นับว่าสอดคล้องกับปรากฏการณ์ธรณีพิบัติภัย “สึนามิ” ครั้งรุนแรงที่เกิดขึ้นในทะเลอันดามันและมหาสมุทรอินเดียเมื่อ ๒ ปีที่ผ่านมาแล้วเป็นอย่างยิ่ง
แม้ในทางวิชาการจะไม่ปรากฏว่ามีบันทึกเกี่ยวกับสึนามิระดับนานาชาติในปี พ.ศ. ๒๓๘๒ ในอ่าวเบงกอลแต่อย่างใด แต่หากพิจารณาจากสิ่งที่สุนทรภู่บรรยายไว้ โอกาสที่บริเวณนี้จะเคยเกิดภัยธรรมชาติครั้งรุนแรงจริงก็นับว่ามีอยู่มาก แต่อาจเป็นเพราะสมัยนั้นบริเวณอันกว้างใหญ่แห่งนี้ห่างไกลจากความเจริญ เหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้รับการบันทึกไว้ (แต่อาจได้รับการบอกเล่าสู่ลูกหลาน เช่นในกรณีของชาวเลแห่งหมู่เกาะสุรินทร์ ที่ได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์เรื่องนี้จากบรรพบุรุษ จนสามารถเอาชีวิตรอดจากคลื่นยักษ์ พิสูจน์ได้จากรายงานที่ไม่ปรากฏว่ามีการสูญเสียชีวิตของลูกหลานคนกลุ่มนี้ในเหตุการณ์สึนามิ ปี พ.ศ. ๒๕๔๗) ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องสืบหาคำตอบกันต่อไป
เอกสารประกอบการค้นคว้า
ถนอม นพวรรณ. หนังสือที่ระลึกวันตรงกับเสด็จสวรรคตในพระบาทสมเด็จฯ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว.
กรุงเทพฯ : บริษัทจันวาณิชย์ จำกัด, ๒๕๓๕. หน้า ๑-๗๙.
ทศพร วงศ์รัตน์. “พระอภัยมณีมาจากไหน ?”. ต้นฉบับ. ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี, เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๔๗. หน้า ๑-๑๙๐.
เปลื้อง ณ นคร. ประวัติวรรณคดีไทย. กรุงเทพฯ : บริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด, ๒๕๔๕. หน้า ๑-๕๔๙.
สุนทรโวหาร (ภู่), พระ. พระอภัยมณ ีคำกลอนของสุนทรภู่. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์บรรณาคาร, ๒๕๑๗. หน้า ๑-๑๓๐๐.
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ทศพร วงศ์รัตน์
ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน
นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 262 > ธันวาคม 49 ปีที่ 22