ประวัติศาสตร์ในความรักของ มนัส จรรยงค์-นวลศิริ ไวทยานุวัตติ

รักเอย…แม้จะเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ แต่ถ้าผู้ใดได้สัมผัสแม้น้อยนิด ก็จะก่อให้เกิดพลังรักอันยิ่งใหญ่
รักเอย…แม้จะเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ แต่ถ้าผู้ใดได้สัมผัสแม้น้อยนิด ก็จะก่อให้เกิดพลังรักอันยิ่งใหญ่ "ความรัก" หากเกิดขึ้นกับใคร โลกที่มืดมิดก็พลันสวยสดใส "ความรัก" หากเกิดขึ้นกับงาน จะก่อเกิดความสุขที่เป็นอิสระ ไม่มีวินาทีไหน ที่จะเกิดความรู้สึกว่างานที่รับผิดชอบอยู่เป็นภาระหนักหน่วงของชีวิต เฉกเช่น "นวลศิริ ไวทยานุวัตติ" ผู้รังสรรค์รวบรวมเรียบเรียงหนังสือ "ณ เส้นขอบฟ้า สามี…ภรรยา"
นั่นคือ คำนิยมโดย ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ที่มีต่อหนังสือเล่มนี้ที่ชื่อว่า “ ณ เส้นขอบฟ้า สามี-ภรรยา” ซึ่งเป็นหนังสือที่ต้องบอกว่า น่าสนใจมากในช่วงการเปิดศักราชใหม่ของปี 2554 ปีนี้
ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่สองส่วนสำคัญ คือ การที่ คุณนวลศิริ ไวทยานุวัตติ ผู้มีศักดิ์เป็นหลานตาของ พระยาสุรพันธเสนี (อิ้น บุนนาค) รับหน้าที่เป็นผู้เรียบเรียงเรื่องราวในส่วนเนื้อหาของคุณยาย คือ คุณหญิงสุรพันธเสนี (นิ่ง บุนนาค) ขึ้นมาแล้วถูกนำมาจัดพิมพ์ร่วมกับผลงานเขียนของ “มนัส จรรยงค์” ราชาเรื่องสั้นของเมืองไทยที่เคยเรียบเรียงเรื่องราวในส่วนของพระยาสุรพันธเสนี (อิ้น บุนนาค) เอาไว้ในฐานะที่ มนัส จรรยงค์ มีศักดิ์เป็นบุตรเขย
ผลงานทั้งสองชิ้นถูกนำมาจัดพิมพ์รวมเป็นเล่มเดียวกันในชื่อ “ ณ เส้นขอบฟ้า สามี-ภรรยา” จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ ณ เพชร งานเก่ากับงานใหม่มาอยู่เล่มเดียวกัน ถือเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ชาญฉลาดยิ่ง!!
และสำหรับเนื้อหา อ่านแล้วต้องยอมรับว่า คุณนวลศิริ ไวทยานุวัตติ เธอเรียงร้อยบทความต่างๆ จากความทรงจำและโดยความประทับใจสูงสุด รวมทั้งความรัก ทุ่มเทความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลที่มีต่อทั้งคุณตา พระยาสุรพันธเสนี (อิ้น บุนนาค) และคุณยาย คุณหญิงสุรพันธเสนี (นิ่ง บุนนาค) ได้อย่างสวยสดงดงาม
ในความรู้สึกของผม…หนังสือเล่มนี้จึงเป็นตัวแทนของความรัก ความผูกพัน ความศรัทธา ความระลึกถึง ด้วยความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกบรรทัดแห่งการบันทึกประวัติศาสตร์ของหนังสือเล่มนี้
ทั้งในส่วนเรื่องที่เป็นปกหน้า ณ เส้นขอบฟ้า (ภรรยา) คุณหญิงสุรพันธเสนี ความรัก ความทรงจำและการรอคอย โดย นวลศิริ ไวทยานุวัตติ และในส่วนเรื่องที่เป็นปกหลัง ณ เส้นขอบฟ้า (สามี) พระยาสุรพันธเสนีนั้น เรื่องราวของคนไทยผู้พร้อมสละชีวิตนี้เพื่อชาติ โดย มนัส จรรยงค์
หากจะกล่าวสำหรับ คุณหญิงสุรพันธเสนี (นิ่ง บุนนาค) นั้น มีการบันทึกเอาไว้เว็บไซต์ชมรมสายสกุลบุนนาค พอสังเขปว่า….
“ ….คุณหญิงของพระยาสุรพันธ์เสนี (นิ่ง บุนนาค) เกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2452 มีชื่อสกุลว่า "นิ่ง ไกรฤกษ์" เป็นธิดาของ พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (นพ ไกรฤกษ์) และ คุณลมุม ไกรฤกษ์ "คุณหญิงนิ่ง" เติบโตในพระราชวังสวนดุสิต ขณะมีอายุเพียงสามเดือนโดยการอุปถัมภ์โดยเจ้าจอมมารดาชุ่ม พระสนมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆ พระองค์เจ้าสุจิตราภรณ์ (เสด็จพระองค์เล็ก) ซึ่งตามธรรมเนียมเจ้านายสมัยโบราณมักนิยมชุบเลี้ยงผู้คนไว้มากมาย ในรั้วในวังจึงมีเด็กเล็กอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก สามัญชนสมัยก่อนก็มักจะมีความปรารถนาให้บุตรหลานได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ในวัง เพื่อจะได้รับการศึกษา ปลูกฝัง แต่สิ่งที่ดีๆ ตลอดจนขนบธรรมเนียม ประเพณี
ผู้ที่ได้เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในวังส่วนใหญ่จะเป็นพระญาติของเจ้านาย เด็กบางคนถูกส่งตัวไป เมื่อโตพอสมควรแล้ว บางคนเข้าไปอยู่ตั้งแต่ยังแบเบาะเลยทีเดียว เด็กประเภทนี้เรียกว่าเป็นชาววังโดยแท้ เพราะไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับโลกภายนอก
"คุณหญิงนิ่ง" จึงจัดอยู่ในประเภทชาววังโดยแท้ เพราะตั้งแต่เล็กจนเป็นสาวไม่เคยได้สัมผัสกับโลกนอกวังเลย
"คุณหญิงนิ่ง" ขณะยังเป็นทารก เจ้าจอมมารดาชุ่มได้ขอหลานผู้นี้มาอยู่ในวังตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2452 คุณหญิงนิ่งขณะยังแบเบาะอายุเพียงสามเดือน ถูกอุ้มเข้ามาพำนักที่พระตำหนักสวนภาพผู้หญิงนพระราชวังสวนดุสิต โดยมีคุณลมุล ไกรฤกษ์ มารดาตามมาด้วย เพราะต้องเข้าไปให้นม กระทั่งหย่านมแล้ว คุณลมุล จำเป็นต้องลากลับไปอยู่บ้าน
ชื่อ "นิ่ง" เป็นชื่อที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ทรงพระราชทาน ตั้งให้โดยค่ำวันหนึ่งในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2452 ขณะที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระสำราญอยู่ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ทรงได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง จึงรับสั่งถามขึ้นว่า "ลูกใครร้องดังจัง" ด.ช.นัย ไกรฤกษ์ (หลวงไกรฤกษ์ ราชเสวี) พี่ชายได้อุ้มน้องสาวอายุ 11 เดือน เข้าสะเอวแล้วนำขึ้นเฝ้าถวายตัว
เมื่อทรงทราบว่า เป็นหลานสาวของเจ้าจอมมารดาชุ่ม จึงทรงรับมาไว้ที่พระเพลาแล้วรับสั่งว่า "นิ่ง" เด็กทารกหญิงก็หยุดร้องไห้ในทันที เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนักเป็นเหตุให้พระองค์พระราชทานนามหลานสาวของเจ้าจอมมารดาชุ่มคนนี้ในเวลาต่อมาว่า "นิ่ง"
นามพระราชทาน "นิ่ง" ทรงมีพระราชหัตถเลขา พระราชทานลงมาเป็น หลักฐานลงวันที่ 28 กันยายน ร.ศ.129 (พ.ศ .2453) แต่ยังไม่ทันที่คุณหญิง นิ่งจะได้เข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทาน "เสมาทองคำ" ตามธรรมเนียม ปฏิบัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จสวรรคตเสีย ก่อนในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 พระราชหัตถเลขา พระราชทานตั้งชื่อ คุณหญิงนิ่ง จึงนับว่าเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เป็นพระราชหัตถเลขา พระราชทานชื่อใบสุดท้ายที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทาน
หลังจากที่ชีวิตเจริญเติบโตขึ้นมาตามวัย จนในที่สุดก็ถึงวันที่ต้องมีครอบครัว ทันทีที่คุณหญิงนิ่ง ก้าวเท้าออกนอกรั้วประตูวังเท่ากับความเป็นผู้หญิงชาววังได้ขาดสะบั้นลงแล้วในนาทีนั้นเองบรรดาชาววังด้วยกันก็รู้สึกอาลัยต่อคุณหญิงนิ่ง เสียงร่ำไห้ร้องระงม ประหนึ่งโศกนาฏกรรม ขณะอยู่ในวังเธอถูกเรียกขานว่า "คุณนิ่ง" มาตลอด
ตั้งแต่นี้ เมื่อพ้นไปจากประตูวังเธอกำลังถูกเปลี่ยนสรรพนาม เรียกขานใหม่ว่า "คุณหญิงสุรพันธ์เสนี หรือคุณหญิงนิ่ง"
พระยาสุรพันธ์เสนี (อิ้น บุนนาค) ขณะนั้นรับราชการตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลราชบุรี ที่อยู่ใหม่ของคุณหญิงนิ่ง ก็คือจวนเทศาภิบาล จังหวัดราชบุรี
ซึ่งคุณหญิงนิ่ง เล่าเอาไว้ว่า
"สมัยอยู่ที่ราชบุรี เป็นคุณหญิงเจ้าคุณเทศาฯ ฉันใหญ่มาก ส่วนที่เมืองเพชรแวะมาบ้างแต่ไม่บ่อย เวลามาที่เมืองเพชรคุณบุญเลี่ยม เพ็ชรเกษตร มาหาบ่อยได้รู้จักกัน"
นับตั้งแต่ออกเรือนเป็นคุณหญิงสุรพันธ์เสนีโดยตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. 2472 ถึง พ.ศ. 2476 เป็นเวลาเกือบ 5 ปี ชีวิตของคุณหญิงนิ่ง มีความสุขตามอัตภาพในฐานะคุณหญิงของเจ้าคุณเทศาฯ
ปี พ.ศ. 2475 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดนคณะราษฎร ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เข้ามาแทนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เชื้อพระวงศ์ ขุนนางเก่าและนายทหาร ส่วนหนึ่งแข็งขันโดยมีพระองค์เจ้าบวรเดชฯ เป็นหัวหน้า พ.ศ. 2476 จึงลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลประชาธิปไตย ทว่าพ่ายแพ้ จึงถูกเรียกว่า "กบฏบวรเดช"
พระยาสุรพันธ์เสนี (อิ้น บุนนาค) ถูกรัฐบาล พ.อ.พระยาพหลพยุหเสนา ประกาศออกหมายจับข้อหากบฏพระยาสุรพันธ์เสนี ต้องหนีเข้าป่ากะเหรี่ยงเพื่อข้ามเขตแดนไปยังฝั่งพม่า ด้านตำบลสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี แต่ก็ต้องถูกจับกุมได้ในที่สุดแล้วถูกส่งตัวไปจำคุกบางขวาง ในฐานะนักโทษการเมือง ภายหลังถูกส่งไปยังที่เกาะตะรุเตา ครอบครัวคุณหญิงนิ่ง ถูกมรสุมการเมือง กระหน่ำอย่างรุนแรงหนักหนาสาหัส
หลังจากที่หัวหน้าครอบครัวต้องถูกจองจำชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายคุณหญิงนิ่ง วิ่งเต้นสู้คดีความ ทว่าห้วงเผด็จการทหารย่อมไม่เป็นผลใดๆ พระยาสุรพันธ์เสนีถูกจองจำนับแต่ปลายปี พ.ศ. 2476 ถึง พ.ศ.2482 รวมเวลาประมาณ 6 ปี
เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่ดีขึ้นขณะจองจำบนเกาะนรกตะรุเตา พระยาสุรพันธ์เสนีและพวกนักโทษการเมืองกลุ่มหนึ่ง หนีออกจากเกาะนรกได้เพราะโชคช่วยและได้ไปลี้ภัยอยู่เมือง อลอสตาร์ ไทรบุรี และประเทศสิงคโปร์ ตลอดระยะเวลาดังกล่าวนั้น คุณหญิงนิ่ง หญิงชาววังท่านนี้ ร่วมทนทุกข์กับพระยาสุรพันธ์เสนีมาโดยตลอด มิเคยตัดช่องน้อยแต่งพอตัว
………………………….
ซึ่งในหนังสือฝันร้ายในชีวิตของข้าพเจ้าโดยพระยาสุรพันธ์เสนี ที่มนัส จรรยงค์เป็นผู้เรียบเรียงได้บันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า
"…แม้ภรรยาข้าพเจ้าจะเป็นหญิงตัวเล็กๆ บอบบาง แต่น้ำใจของเธอก็อดทนทายาดจะลำบากยากแค้นอดอยากเพียงใด เธอมิได้ปริปากแม้แต่น้อย ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาเมื่อครั้งข้าพเจ้ารับราชการเป็นสมุหเทศาภิบาล จนถึงถูกต้องโทษจำคุกเป็นนักโทษการเมือง และต้องระหกระเหินจากบ้านเกิดเมืองนอน จากพ่อแม่ญาติมิตรอันเป็นที่รักไปโดยเห็นแก่ข้าพเจ้าซึ่งกำลังรอคอยอยู่นอกประเทศ จะหาภรรยาเช่นนี้ได้ยาก ดังคำโบราณเรียกกันว่า "นางแก้ว" คือสามีมีสุขก็สุขด้วย เมื่อถึงยามทุกข์ก็ต้องทุกข์ด้วย ไม่ทอดทิ้งไปในยามที่สามีตกอับและลำเค็ญแสนสาหัส"
กระทั่งปลายปี พ.ศ. 2488 ก็ได้รับอิสรภาพเดินทางกลับเข้าสู่ดินแดนบ้านเกิดเมืองนอนได้ในที่สุด รวมระยะเวลาลี้ภัยในต่างแดนอีก 6 ปีเต็มๆ ซึ่งรวมแล้วพระยาสุรพันธ์เสนีมีชีวิตอยู่กับฝันร้ายนานถึง 12 ปี
ครับ-ผมเชื่อว่า พลานุภาพแห่งความรักนั้นมันสามารถเอาชนะปัญหาและอุปสรรคขวากหนามต่างๆ ในชีวิตได้เสมอ…แม้ว่า…ชีวิตนั้นจะเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งความเจ็บปวดก็ตามที….!!!
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก http://www.bangkokbiznews.com
และภาพประกอบจาก http://www.thairath.co.th/