Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ประภัสสร เสวิกุล นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่

 

 
                    ถือเป็นงานรวมนักเขียนรุ่นคับฟ้าวงการวรรณกรรมไทย ในงานเปิดตัวหนังสือ "อินทรีผงาดฟ้า" ของณรงค์ จันทร์เรือง หนังสือเก็บบันทึกชีวิตของนักเขียนที่เป็นตำนานของวงการ "รงค์ วงษ์สวรรค์ ผู้ล่วงลับ งานนี้ก็เลย ได้มีโอกาสพบปะนักเขียนคนดัง และจับมานั่งคุยถึงความคิดในโลกงานเขียนวันนี้
 
                    แม้ไม่ใช่นักอ่านตัวยง แค่อ่านหนังสือออกรับรองในวงการวรรณกรรมไทยทุกคนคงต้องได้ยินชื่อและรู้จักผลงานบางส่วนของ ประภัสสร เสวิกุล เรียก ว่าไม่ต้องแนะนำให้มากความ กับหลากหลายรสวรรณกรรม ความสามารถในการสร้างให้ตัวละครดำเนินชีวิตไปเองตาม บทบาทหน้าที่อย่างสมจริง ผลงานเขียนขึ้นหิ้ง ถูกยกย่องว่ายิ่งใหญ่หลายเรื่อง อาทิ อำนา ชี๊ค เวลาในขวดแก้ว ลอดลายมังกร ขอหมอนใบนั้นที่เธอฝันยามหนุน และอีกมากมาย ที่ไม่ใช่แค่ใช้จินตนาการสร้างเรื่องเท่านั้น งานเขียนที่เป็นอมตะของ ประภัสสร ยังต้องศึกษาและค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อให้เกิดความสมจริงในเนื้อหาและตัวละคร อีกด้วย 
 
                    ปัจจุบันนอกจากพ็อกเก็ตบุ๊คที่วางจำหน่ายทั่วไปแล้ว ผู้อ่านยังสามารถติดตามผล งานใหม่ในหนังสือสกุลไทย "เรื่องความรักความ หลังและหนังอีกเรื่องหนึ่ง" และในหนังสือขวัญเรือน กับผลงานเรื่อง "พรุ่งนี้ของเมื่อวาน"
 
                    "เมื่อเราคิดที่จะเขียนเรื่องสักหนึ่งเรื่อง สิ่งแรกที่ทุกคนต้องมีคือแรงบันดาลใจในการจุดประกาย เราต้องมีจุดตรงนี้ก่อน แล้วเนื้อ หาสิ่งต่าง ๆ มันก็จะตามมา ทั้งเรื่องของการวาง พล็อตเรื่อง เรื่องของข้อมูล เรื่องของโลเกชั่นต่าง ๆ เรื่องของแรงบันดาลใจ หรือการ จุดประกายความคิด สิ่งนี้ไม่ต้องมีใครมาสอนว่าต้องทำแบบไหน อย่างไร มันจะเกิดขึ้นมาเอง อาจจะมาจากสิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่วันหนึ่งเราเกิดมองอีกมุมหนึ่งที่มันน่าสนใจ บางทีมันก็ลอยมาในอากาศเหมือนกับว่ามันมากระทบใจเราจึงนำเอามาเขียน ซึ่งสิ่งนั้นต้องมีแรงดึงดูดพอสมควรที่จะจูงใจเราจนทำให้เราเขียนได้" 
 
                    " หลังจากที่ "สิ่งนั้น" สร้าง แรงดึงดูดจนเราอยากเขียน คราวนี้มาทำความเข้าใจในตัวละคร ต้องสร้างตัวละครให้มีพื้นฐาน หรือมีพื้นหลังที่แน่น ทั้งในแง่ของความเชื่อ ศาสนา ลัทธิการเมือง การศึกษา เรื่องของครอบครัว เราต้องสร้างให้ตัวละครมีความเชื่อก่อน หากตัวละครมีความแน่นพอเมื่อถึง ณ จุดหนึ่ง ตัวละครตัวนั้นก็สามารถแก้ปัญหาได้เอง เนื่องจากเราวางสิ่งที่เขาเป็นให้แน่นพออยู่แล้ว เพราะปัญหาเดียวกัน คนที่มีภมูิหลังต่างกันก็จะแก้ปัญหากันคนละอย่าง เพราะฉะนั้นเราต้องศึกษาให้เพียงพอเพื่อที่จะสร้างให้ตัวละครนั้นคิดได้เอง เดินไปได้เอง มีอารมณ์ของเขาเองได้" 
 
                    นักเขียนชอบมีโลกส่วนตัว แต่ถ้าปิดกั้นตัวเองมากเกินไปก็เท่ากับปิดกั้นโอกาสในการสร้างแรงบันดาลใจ "คน เราจะเขียนอะไรได้ เราต้องอย่าอยู่ลำพังคนเดียวแล้วเขียนหนังสือ เพราะเราจะไม่เห็นอะไรนอกจากตัวเอง แรงบันดาลใจต้องเกิดจากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางพบปะผู้คนในสถานที่ใหม่ ๆ เหตุการณ์ใหม่ ๆ อ่านหนังสือหรืออ่านสำนวน เห็นลีลาการเขียนของคนอื่น แล้วก็รู้จักกับเพื่อนใหม่ ๆ กินอาหารแปลก ๆ อย่างนี้มันจะค่อย ๆ สะสมในตัวเรา ไปเรื่อย ๆ แล้ววันหนึ่งเราจะเอามาใช้ได้ นั่นคือความไม่ซ้ำซากกับตัวเอง ถ้าอยู่กับตัวเอง กินอาหารซ้ำซาก เราก็จะได้งานเดิม ๆ มุมแคบ ๆ แต่ถ้าเราเดินทางไปโลกภายนอกบ้าง ทำกิจกรรมใหม่ก็ จะเกิดความสดความใหม่ ทำให้เรามีอะไรที่จะเขียนมากขึ้น อย่างตัวผมเองก็อ่านวรรณคดีไทยหลาย ๆ เรื่อง อ่านกลอน เขียนกลอน ทำให้เราสะสมทั้งถ้อยคำ ภาษา ความรู้สึก อารมณ์ไว้ได้พอสมควร ซึ่งผมถือว่าการอ่านหนังสือมันคือรากทางความคิด รากทางวัฒนธรรม เมื่อถึงวันหนึ่งเราเขียนหนังสือสิ่งที่เราสะสมไว้มันก็จะเกิดการเชื่อมโยง ในการที่เราจะนำมาสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งตรงนี้ผมถือเป็นสิ่งสำคัญ" 
 
                    เทคโนโลยีการสื่อสารที่พัฒนาไม่สิ้นสุด นักเขียนใหญ่กล่าวว่า เป็นข้อดีในการเริ่มต้นเส้นทางนักเขียนอาชีพ "สำหรับนักเขียนรุ่นใหม่ในยุคนี้ ถือว่าเป็นช่วงที่ดีของผู้ที่รักการเขียน เพราะว่าการเกิดของนักเขียนยุคนี้ง่ายขึ้น กว่าสมัยก่อน อาจจะเขียนสื่อสารกันผ่านทางอินเตอร์เน็ต หรืออาจจะพิมพ์เองโดยมีสำนักพิมพ์รุ่นใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย สมัยก่อนงานเขียนจะมีระบบที่ทำให้นักเขียนเกิดยากกว่าเดี๋ยวนี้เยอะ ที่มองเห็นอยู่ตอนนี้คือมีนักเขียนหลาย ๆ คนที่เกิดใหม่ มีความน่าสนใจในฝีไม้ลายมือ มีความคิดใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ ถือเป็นจุดเปลี่ยนของวงการวรรณกรรมไทย"
 
                    "การทำงานของเด็กยุคนี้โชคดีนะ เพราะอินเตอร์เน็ตเข้ามาช่วยได้มาก มันช่วยย่อโลกมาไว้ที่ปลายนิ้วได้เลย แค่อยากรู้เรื่องอะไรก็กดเอาได้เลยทันที เมื่อเทียบกับสมัยก่อน ปัญหาหนึ่งของนักเขียนไทยคือ เรื่องของข้อมูล เราสู้ฝรั่งไม่ได้ เรื่องข้อมูลเราไม่มีการค้นคว้าเพียงพอ หรือมีแหล่งที่ให้ข้อมูลได้ดีเพียงพอ ตรงนี้วันนี้เรื่องของข้อมูลนักเขียนไทยเราไม่เป็นรองนักเขียนต่างประเทศเลย ขึ้นอยู่ที่ฝีมือแล้วว่าจะนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีของนักเขียนไทยนะที่เรื่องของวิวัฒนาการของ อินเตอร์เน็ตเข้ามาช่วย ในเรื่องของการเขียนได้มากขึ้น"
 
                    คลิกหาข้อมูลได้ง่าย ๆ เพียงปลายนิ้ว สิ่งที่ผู้เขียนยุคนี้ตอบแทนคนอ่านก็คือความรวดเร็ว กะทัดรัด แต่ขาดความลึกซึ้งในอารมณ์ "หากเราอ่านงานเขียนในรุ่นหลัง ๆ ภาษาที่ใช้จะสื่อสารเป็นภาษาเรียบและง่าย ผมว่ามันขึ้นอยู่ที่ผู้บริโภคด้วย เพราะการเขียนถือเป็นการสื่อสารอย่างหนึ่ง เมื่อผู้บริโภคต้องการสารที่รวดเร็ว งานเขียนยุคนี้ก็ถือว่าตรงกลุ่มเป้าหมาย จะทำอย่างไรได้เมื่อคนบริโภคในยุคนี้ต้องการความเร็ว ไม่ต้องการความช้า หรือความลึกซึ้งทางอารมณ์มากนัก ต้องการรับเอาความรู้เพียงอย่างเดียว เพราะฉะนั้นงานเขียนในยุคนี้ก็จะตอบสนอง ความต้องการของผู้บริโภคในยุคนี้แล้ว นั่นคือ ความรวดเร็ว ข้อมูลตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม หรือใช้สำนวนโวหารอะไรมาก"
 
                    "แต่ถ้าถามผมว่าเสน่ห์ของมันจะลดลงไปหรือไม่นั้น ต้องบอกว่างานเขียนรุ่นเก่า เป็นงานเขียนคลาสสิค เมื่อถึงจุดหนึ่งคนก็จะหันไปหางานคลาสสิคเอง เฉกเช่นเดียวกับคนอเมริกาที่บริโภคฟาสต์ฟู้ดกันทั้งนั้น แต่ถึงจุดหนึ่งคนเราก็อยากที่จะได้กินอาหารดี ๆ ได้กินสเต็กในร้านหรู ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปรกติชน อย่างไรเสีย คนเราก็ยังต้องการที่จะหาของคลาสสิค ของที่มีคุณภาพ ราคาสูงใส่ตัวอย่างแน่นอน"
 
                    ปกหนังสือที่สะดุดตาบนแผง นอกจากสีสันสดใส ภาพวาดน่ารัก ก็เป็นเรื่องเนื้อหา แนวรักโรแมนติคที่มาแรง ต่างจากงานเขียนสมัยก่อนที่มักเขียนเรื่องเกี่ยวกับสภาพสังคม การเมือง ณ ยุคนั้น "เมื่อตลาดงานเขียนออกมาในรูปแบบนี้ เราต้องมองคนเขียนก่อน อย่างน้อยก็ดีแล้วที่เขาเริ่มเขียนหนังสือ แล้วต่อไปเมื่อเขาเจออะไรที่มากขึ้น เขาก็คง เขียนเรื่องอะไรที่โตมากขึ้น กว้างมากขึ้นกว่าเรื่องของหนุ่มสาวและความรัก อาจจะมีเรื่อง ของชีวิต เรื่องของการทำงาน เรื่องของความผิดหวัง ความสมหวัง มันจะเกิดขึ้นเองตาม การเรียนรู้ของตัวเขาเองจากชีวิตการทำงาน หรือจากชีวิตที่เขาพบเจอ อันนี้เราต้องให้โอกาสและเป็นกำลังใจให้เขา"
 
                    "นักเขียนรุ่นใหม่ ๆ ที่ผมมีโอกาสอ่านงานเขียนของเขาก็มีหลายท่านที่น่าสนใจ มีแนวคิด มีมุมมองชีวิตที่ใหม่และแปลกออกไปจากที่เคยอ่าน ซึ่งเราต้องยอมรับว่าวงการนักเขียนจากอดีตถึงปัจจุบันมันก็มีการเปลี่ยนแปลง ไปแล้ว ความเปลี่ยน แปลงนี้มองได้ทั้งดีและไม่ดี ขึ้นอยู่กับมุมที่เรามอง จุดที่เรายืนอยู่ว่าเรายืนตรงมุมไหนแล้วมองเข้าไปยังไง ถ้าจะมองว่าเกิดนักเขียนใหม่ก็ต้องมองว่าเป็นยุคที่นักเขียนเกิดได้เร็ว เพราะมีช่องทางมากขึ้น ส่วนเรื่องของเนื้อหาเนื้องานเราก็ต้องให้เวลาในการพัฒนาตัวเอง ผมคิดว่าเราก็มีนักเขียนใหม่เกิดขึ้น เขาจะมีแนวทางที่จะเป็น นักเขียนที่จะก้าวต่อไปในอนาคตได้ เราต้องให้โอกาสให้กำลังใจเขาอย่าง ที่บอก" 
 
                    ประภัสสร เสวิกุล นักเขียนใหญ่กับช่องทางการช่วยสร้างนักเขียนไทย (รุ่นใหม่) "ถ้าเทียบนักเขียนไทยกับนักเขียนต่างชาติที่มีงานแปลอยู่เต็มแผง เรื่องของการแข่งขันในคุณภาพ หรือปริมาณวันนี้เราสามารถสู้ฝรั่งได้หรือเปล่า ต้องออกตัวก่อนว่านักเขียนของฝรั่งเขาไม่ได้ทำงานคนเดียว เขามีการทำงานเป็นระบบ มีระบบการจัดการ การทำการตลาด ซึ่งนักเขียนของไทยเรายังทำงานคนเดียวอยู่ ตรงจุดนี้ถ้าเรามีหน่วยงานที่ดูแลก็อาจจะทำให้เราสู้ต่างประเทศได้ มันต้องมีคนช่วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการหาข้อมูล การเขียน การพิมพ์ ถ้ามีคนช่วยในจุดนี้ นักเขียนจะสามารถคิดและเขียนได้ แต่สำหรับโปรโมชั่นการพิมพ์ การตลาด ต้องมีบริษัทหรือคนทำแทนก็จะทำให้เราสู้กับงานเขียนกับต่างประเทศได้" 
 
                    มาถึงวันนี้ชื่อของประภัสสร เสวิกุล เป็น ชื่อที่คอนักอ่านทั้งหลายต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากจะเป็นขวัญใจนักอ่านแล้ว เขายังเป็นขวัญใจของนักเขียนรุ่นหลังอีกด้วย จัดว่าเป็นไอดอลของวงการวรรณกรรมไทยกันเลยทีเดียว
 
                    "ณ จุดหนึ่งเมื่อคนเขาได้อ่านงานเขียนที่ดี ไม่ว่าจะของใครก็ตาม ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นผลงานของผม เขาก็อยากจะทำอย่างนั้นบ้าง เหมือนกับเราไปเห็นคนแต่งตัวดี ๆ เราก็อยากแต่งอย่างนั้นบ้าง เห็นเขากินอาหารดี ๆ ก็อยากจะกินบ้าง เป็นเรื่องปรกติของสังคม แล้วถ้าเราสามารถมายืนในจุดที่ทำให้คนในสังคมรู้สึกว่างานของผม หรืองานของใครก็ตามดีแล้วเขาอยากที่จะทำตามอย่างนี้ก็เป็นเรื่องของความ ภูมิใจที่ว่าเรานอกจากจะทำให้คนคนนั้นรู้สึกดี มีความสุขแล้ว ยังจะให้กับสังคมได้ด้วย หมายความว่าวงการวรรณกรรม จะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ แต่ว่ายังมีคนที่สืบ ทอดความคิด ปณิธาน หรือสิ่งที่เราได้ทำไว้ยังคงอยู่ เขาพอใจ เขาอยากทำตามอย่าง คิดว่านั่นเป็นความภาคภูมิใจของนักเขียนหลาย ๆ คน"
 
                    "ตลอดการทำงานด้านนี้มาผมยังจำวันแรกที่เราเขียนงานแล้วมันออกมาเป็นรูปร่างได้ มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เพราะเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน แล้วสามารถทำมันออกมาได้ ผมเขียนงานเรื่องสั้นเรื่องแรกชื่อ "หอมกลิ่นดอกงิ้ว" ได้ลงพิมพ์ในหนังสือ "กันยายนนลิน" ชุด "เฟื่องนคร" ของ"รงค์ วงษ์สวรรค์ ซึ่งมันเริ่มต้นด้วยความที่เราศรัทธาเลื่อมใสในตัวคุณ "รงค์ เราจึงพยายามที่จะทำตามอย่างเขา ก็เขียน ออกมาสำนวนได้เหมือนเขา คล้ายเขา อย่าง นั้นก็มีความภูมิใจที่เราทำสำเร็จ ทำในสิ่งที่เราอยากทำ ได้ทำในสิ่งที่เราฝันถึง คิดว่านั่นก็เป็นจุดแรกที่เป“นกำลังพาให้เราก้าวต่อมาได้" 
 
                    "คือการที่เราทำแล้วมันออกมาสำเร็จ มีผู้ใหญ่สนับสนุน เห็นความสามารถของเราก็ดีใจ แต่สุดท้ายถึงแม้เราจะชอบงานเขียนของใคร แต่เรื่องสำนวน ลีลาที่เราติดมาเมื่อเราใช้เวลากับงานเขียนมาก ๆ เรื่องของความคล้าย คลึงต่าง ๆ ก็จะหายไปเอง กลายเป็นตัวของเรา มากขึ้น ผลงานเขียนเรื่องแรกผมก็เหมือนของคุณ "รงค์ วงษ์สวรรค์ ทั้งสำนวน ลีลา วิธีการเขียน แต่สักระยะหนึ่งเราก็เป็นตัวเรามากขึ้น เนื่องจากเราเห็นชีวิตมากขึ้น ได้พบคน ได้อ่าน หนังสือมากขึ้น มันก็เปลี่ยนไปเอง คนเราก็ต้องหาแนวทางของตัวเองได้สักวันหนึ่ง" 
 
                    สำหรับนักเขียนรุ่นใหม่ ๆ คลื่นลูกใหญ่ ๆ ที่ทยอยพัดเข้าหาฝั่ง รุ่นพี่ขอกล่าวคำต้อนรับ 
 
                   "ผมดีใจนะที่เห็นน้อง ๆ รุ่นใหม่ ๆ เขียนหนังสือกัน ผมเชื่อว่าทุกคนมีแนวโน้มที่จะเป็นนักเขียนที่ดี มีชื่อเสียงต่อไปในอนาคต แต่ก็ต้องอย่าอยู่คนเดียว คิดเองทำเองเพียงคนเดียว เพราะเราต้องศึกษาจากคนอื่นด้วย มองโลกให้กว้างขึ้น อย่าจำกัดตัวเองในโลกที่แคบ ที่คิดว่าแค่นี้พอแล้ว เราต้องทำอะไรที่กว้างขึ้นมากกว่านี้ ให้มันเป็นที่กล่าวขานมากขึ้น ต้องศึกษา และพัฒนางานของตัวเอง"
 
                  "ข้อสำคัญอีกประการหนึ่ง นักเขียนที่ดีจะต้องเริ่มต้นจากนักอ่านที่ดีก่อน ตรงจุดนี้เราจะต้องสร้างให้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน เพราะว่านักอ่านที่ดีเขาจะเป็นคนบอกเราว่าเขาต้องการ งานอย่างไหน ชอบหรือไม่ชอบงาน ที่นักเขียน คนนั้น ๆ สร้างสรรค์ออกมา ขณะเดียวกันต้อง มีแนวคิด มุมมองที่แตกออกไปจากที่คนอื่นเขา มองหรือทำเอาไว้แล้ว หาตัวเองให้พบ ทดลอง เดินตามแนวทางของตัวเองที่ค้นพบนั้น สุดท้าย คุณก็จะเป็นตัวของคุณเอง มีแนวทางคุณเอง" 
 
                 กับ นักเขียนแถวหน้า แค่การได้คุยหรือฟังความคิดเห็นก็มีคุณค่ามากเท่า ๆ กับได้เปิดอ่าน หนังสือดี ๆ ประภัสสร เสวิกุล กับแนวทางสร้าง สรรค์ให้วงการวรรณกรรมไทยก้าวต่อไปข้างหน้า ยังประโยชน์ให้วงการวรรณกรรมมีความ แข็งแกร่ง โดยมีสิ่งที่ย้ำเสมอคือ "…การสร้างนักอ่าน" ก็เพื่อที่จะให้เกิดนักเขียนที่สร้างงานที่ดีและมีคุณภาพต่อไปในอนาคตนั่นเอง