Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

บันทึกประเทศไทยฉบับการ์ตูน อำการเมืองแบบ “ต่าย ขายหัวเราะ”

 

"…ต่อให้ปังปอนด์กระโดดจากหน้ากระดาษมาเจอกับนายกฯยิ่งลักษณ์ ก็คงไม่ทำอะไรให้การเมืองคลี่คลาย แต่คงซนไปตามเรื่องประสาเด็กวัย 3 ขวบ แต่สิ่งสำคัญคือปังปอนด์จะเข้าไปเล่น มันจะทำให้เห็นว่ายังมีอีกหลายมุมมอง มีหลายทางให้ไป…"

 

"สัปดาห์นึงน่าเขียนจะประมาณ 100 ชิ้น" 

 

ปริมาณงานที่ "เขา" ทำทุกๆ 7 วัน อาจทำให้ใครบางคนตาโต

 

แต่หากนำไปเสริมกับระยะเวลาที่เขาทำงานต่อเนื่อง 31 ปี ไม่แปลกที่ "ภักดี แสนทวีสุข" หรือ "ต่าย ขายหัวเราะ" นักเขียนการ์ตูนชื่อดัง หรือ "มังงะก้า" เจ้าของผลงาน "ปังปอนด์" จะได้รับเสียงชื่นชมจนแฟนๆ แม้ไม่ถึงกับอยู่ในจุดสูงสุดของคนในอาชีพนี้ แต่ก็ใกล้เคียง

 

ด้วยบุคลิกคุยน้อย แต่ยิ้มมาก พร้อมเงี่ยหูฟังทุกคำถามอย่างตั้งใจ

 

ทำให้บทสนทนาที่เริ่มต้นด้วย "การ์ตูนแก๊ก" ไปจบลงที่ "การเมืองไทย" อย่างรื่นไหล ไม่ขาดตอน แถมยังหนักแน่นด้วยเนื้อหา แม้เขาชิงออกตัวไม่อยากลงลึกเรื่องการเมืองมากก็ตาม

 

จากเด็ก ปวช.ปี 2 ของวิทยาลัยการพาณิชย์พระนคร ที่ถือต้นฉบับเดินดุ่มตรงเข้าไปยังสำนักพิมพ์บรรลือสาส์น เพื่อเสนอต้นฉบับการ์ตูนกับ "บ.ก.วิธิต อุตสาหจิต" (หรือ บ.ก.วิติ๊ด ที่นักเขียนขายหัวเราะ-มหาสนุกเอาไปเขียนอำในต้นฉบับอย่างสนุกมือ) ในปี 2523

 

48 ชั่วโมงถัดมา "ภักดี" ได้เริ่มต้นอาชีพคนเขียนการ์ตูน ในขายหัวเราะ-มหาสนุก ตามรอยไอดอลอย่าง "อาวัฒน์-วัฒนา เพ็ชรสุวรรณ" และ "อาจุ๋มจิ๋ม-จำนูญ เล็กสมทิศ" นักเขียนการ์ตูนชื่อดังประจำหนูจ๋า-เบบี๋

 

10 ปีจากนั้น "ปังปอนด์" ก็กำเนิดขึ้นทั้งในหน้ากระดาษและชีวิตจริงของ "พ่อต่าย"

 

     "ฝันไว้นานแล้วว่าจะทำที่ขายหัวเราะ เพราะเด็กๆ ชอบอ่านหนูจ๋า-เบบี๋ (หนังสือการ์ตูนที่ถือเป็นบรรพบุรุษของขายหัวเราะ-มหาสนุก) ชอบงานของอาจุ๋มจิ๋มมาก

 

     "ปกติเป็นคนพูดไม่เก่ง อยู่ในหมู่เพื่อนจะเป็นคนเงียบๆ โชคดีที่เอามาปล่อยถูกที่ คือเรารักงานนี้ด้วย เพื่อนๆ ก็ไม่นึกว่าเราจะมาเขียนการ์ตูนเป็นอาชีพ เวลาอยู่ด้วยกันก็จะหงิมๆ นั่งวาดนั่นวาดนี่ไปเรื่อย พอมาเขียนก็เลยหยิบเรื่องรอบตัว ข่าวสาร เรื่องในกลุ่มบ้าง เพื่อนบางคนก็บอกว่า กูว่าแล้วทำไมมีชื่อคนในห้องไปหมด ไอ้นี่นี่เอง (หัวเราะ) บางคนก็บอกว่าจะมาเก็บค่าลิขสิทธิ์"

     

ระยะแรก "ภักดี" เขียนการ์ตูนตามสูตรสำเร็จ หยิบเหตุการณ์รอบตัว เรื่องซุบซิบนินทา ละคร หนัง หรือเรียกง่ายๆ ว่า เรื่อง "ตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊ก" มาเป็นแก๊ก แต่ถึงจุดหนึ่งเขาเริ่มรู้สึกว่ายังมีพื้นที่ใหม่ๆ ที่น่าจะบุกร้างถางพงเข้าไปได้

จึงเพิ่ม "แก๊กตามเทศกาล" และ "แก๊กเหตุบ้านการเมือง" เป็นมุขใหม่

"แรกๆ ก็เริ่มจากข่าว ก็ประเมินว่าข่าวไหนคนจะเก็ต (เข้าใจ) เพราะการ์ตูนไม่ใช่หนังสือพิมพ์ ตอนนั้นมีข่าวเรื่องถนนสุขุมวิทจะเปลี่ยนเป็นวันเวย์ ก็ลองวาดไปสัก 1-2 แก๊ก ปรากฏว่าใช้ได้ คนอ่านตอบรับ หลังจากนั้นทุกข่าวในหนังสือพิมพ์ เราสามารถเล่นได้หมด ยกเว้นความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ต้องเว้นๆ ไว้หน่อย (หัวเราะ) ส่วนใหญ่จะเอาหัวข่าวมาแปลง จะได้รู้สึกเหมือนเพื่อนคุยกัน เนื้อหาก็ไม่หนักมากเหมือนหนังสือพิมพ์"

จาก "ข่าว" นานวันเข้า นักเขียนขายหัวเราะ-มหาสนุกก็หยิบเอา "การเมือง" มาหยิก-กัด-อำจนได้

แน่นอนว่ามี "ต่าย ขายหัวเราะ" ร่วม "ขบวนการก่อการฮา" นั้นด้วย

"จำไม่ได้ว่าแก๊กแรกคืออะไร เพราะไหลไปเรื่อย ไปของมันเอง ท้ายสุดการ์ตูนเราก็เลยมีการเมืองหลายเปอร์เซ็นต์อยู่ แต่เราต้องผสมผสาน เพราะคนอ่านหลากหลาย บางคนไม่ได้สนใจการเมือง"

หลายคนเข้ามาแซวเขาว่า "อ่านการ์ตูนพี่ต่ายเหมือนอ่านข่าว" ซึ่งเขายิ้มเสียงวิจารณ์ดังกล่าว เพราะตรงกับคอนเซ็ปต์ที่วางไว้ในใจ นั่นคือ ให้ขายหัวเราะ-มหาสนุกเป็น"บันทึกสังคมฉบับการ์ตูน"

"ตอนที่เลือกเขียนการเมืองเป็นแก๊ก โอเค มันอาจจะไม่ได้ใส่สาระลงไปมาก แต่อย่างน้อยมันก็เป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งเราไม่อยากให้มันผ่านไป นอกจากใช้ทำมาหากิน เรายังรู้สึกว่านี่เป็นผลประโยชน์อีกด้าน ซึ่งตรงกับคอนเซ็ปต์เรา"

เขายกตัวอย่างนักการเมืองที่ถูกอำมาแล้วในขายหัวเราะ-มหาสนุก ที่ส่วนใหญ่มีสถานะผู้นำสูงสุดของประเทศอย่าง "นายกรัฐมนตรี"

"ดีอย่างที่ขายหัวเราะไม่ต้องเน้นความเหมือน เวลาเขียนตัวการ์ตูน คุณชวน (หลีกภัย) ก็ให้ทรงผมกระดกขึ้นมาหน่อย หน้าไม่ต้องเหมือน ให้น่ารักเข้าไว้ คุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) ก็เป็นคนหล่อใส่สูท คุณบรรหาร (ศิลปอาชา) ก็ตามสไตล์ ตัวเล็กๆ หน่อย คุณชวลิต (ยงใจยุทธ) มีหน้าอ้วนๆ ใส่แว่น ปากท้วมๆ หยิบเฉพาะจุดเด่น คุณทักษิณ (ชินวัตร) ก็หน้าเหลี่ยมๆ คุณสมัคร (สุนทรเวช) ก็เน้นจมูก ส่วนคุณยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร) ก็เขียนเป็นผู้หญิง ผมตั้งๆ นิดนึง"

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความแตกแยกทางการเมืองระยะหลัง ทำให้ประชาชนถูกบังคับให้เลือกข้าง หากไม่อยู่ข้างนั้นก็ต้องสังกัดข้างนี้

แม้กระทั่งหนังสือการ์ตูนตลกอย่างขายหัวเราะ-มหาสนุก ยังถูกนำไปตีความว่าอยู่ฝ่ายนั้น อยู่สีนี้ด้วย

"ต่าย ขายหัวเราะ" เล่าว่าครั้งหนึ่ง เขาเคยถูกคนนำการ์ตูนที่มีภาพมือตบ-เท้าตบของเขาไปแปะไว้ในเว็บบอร์ดชื่อดัง pantip.com พร้อมถามว่า การ์ตูนแต่ละเรื่องที่เขาเขียน…หมายถึงอะไร? ซึ่งเขาตอบกลั้วเสียงหัวเราะว่า "จำไม่ได้แล้ว มันเขียนไปเยอะน่ะ"

"สไตล์ขายหัวเราะ-มหาสนุก ยังไงก็ต้องแอบน่ารัก มันจะมีมุมที่ทำให้ไม่ซีเรียสเกินไป อาจจะโดนว่าบ้างว่าอยู่ฝั่งนู้นฝั่งนี้ แต่พออ่านหลายๆ แก๊กรวมกัน จะไปบอกว่าอยู่ฝั่งไหนไม่ได้ เพราะเอามาเขียนเป็นแก๊กหมด"

ในฐานะนักเขียนการ์ตูนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองเป็นประจำ-ต่อเนื่อง จากหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ อินเตอร์เน็ต เขาเปรียบการเมืองไทยปัจจุบันเสมือน "การเล่นเกม" ของบุคคล 3 กลุ่ม คือ 1.ผู้นำ 2.ผู้ตาม และ 3.ประชาชน

ดังนั้น ประชาชนในฐานะ "ข้างที่สาม" จึงควรฟังข่าวสารให้มากขึ้น อย่าเพิ่งไปปักใจเชื่อจนกลายเป็นผู้ตามง่ายๆ ที่สำคัญต้องคอยจับตาดูผู้นำอย่างใกล้ชิด

"แต่ละรัฐบาลก็มีจุดเด่น อย่างรัฐบาลคุณทักษิณจะเหมือนจรวด รวดเร็ว ว่องไว ทันสมัย ต่างกับรัฐบาลคุณชวนที่เน้นหลักการและระบบมาก ต่างกับรัฐบาลคุณทักษิณที่เน้นผลงานมาก ทำให้คนที่เคยชอบรัฐบาลคุณชวนตามไม่ทัน คุณอภิสิทธิ์มาก็ยังตามคุณทักษิณอยู่ ไม่ว่าจะคุณสมัคร คุณสมชาย ก็ยังอยู่ในโหมดคุณทักษิณอยู่ พรรคประชาธิปัตย์ก็เหมือนจรวด แต่เป็นจรวดแบบเก่าๆ ที่วิ่งช้า เพราะติดขัดอะไรเต็มไปหมด"

เขากล่าวว่า หากมีโอกาสเขียน "บทละคร" เรื่องการเมืองไทย จะเขียนให้ "ผู้นำ" เสียสละ มองการณ์ไกล ไม่เอาประโยชน์เข้าตัวเองคนเดียว แต่เอาประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง จะเพศชาย หรือเพศหญิงไม่เกี่ยว

ถามว่า ในฐานะคนที่เคยเดินตามแบบไอดอลมาแล้ว จะแนะนำ "ยิ่งลักษณ์" ที่มีพี่ชายเป็นไอดอลอย่างไร

"ต่าย ขายหัวเราะ" ตอบโดยเทียบกับการเขียนการ์ตูนว่า "เหมือนอาจุ๋มจิ๋ม คนชอบเลียนแบบเยอะ สุดท้ายก็จะไปตีอาจุ๋มจิ๋มเอง ถ้าคิดว่าแกเป็นอาจารย์ ก็ต้องยึดเป็นครู เพื่อให้พัฒนาเหนือกว่า ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นอาจุ๋มจิ๋มอยู่ร่ำไป

"คุณยิ่งลักษณ์จะเดินตามคุณทักษิณหรือเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าได้โอกาส มีพลังแล้ว อย่างเราแรกๆ ยังไม่มีพลัง ก็ต้องทำจน บ.ก.โอเค คนอ่านโอเค พอเรามีพลังเป็นของตัวเองแล้ว เราค่อยดูว่าจะต่อยอดเป็นพลังของตัวเองได้ไหม ถ้าต่อยอดได้ คนอื่นก็จะโอเค คนที่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ก็จะโอเคไปเอง"

เมื่อให้ลองออกแบบยอดมนุษย์หรือฮีโร่ที่จะเข้ามาช่วยคลี่คลายความขัดแย้งในเมืองไทย ควรมีหน้าตาอย่างไร? มีพลังพิเศษแบบไหน?

เขาตอบทันควันว่า "ไม่มี เพราะสถานการณ์แบบนี้อยู่ที่แต่ละคน หรือต้องใช้คำว่าปัจเจกชนว่าจะเอาแบบไหนในสถานการณ์นี้ จะเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองอย่างไร จะอยู่กับข้อมูลเยอะๆ แบบนี้อย่างไร ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นผู้นำแล้วจะสำเร็จ เพราะมีอีกหลายเวทีที่เราต้องทำ ทั้งครอบครัว การงาน และเรื่องอื่นๆ แค่เราทำให้ดี มันก็ส่งผลไปประเทศชาติเอง ให้ทำในสิ่งที่เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อตัวเอง ให้ทำในสิ่งที่มีประโยชน์ ยึดหลักว่าทำอะไรก็ได้ที่เราไม่เดือดร้อน คนอื่นไม่เดือดร้อน

"ที่สำคัญให้มองโลกตามจริง อย่าไปมองดีเกินไป หรือแย่เกินไป"

เขากล่าวต่อว่า ต่อให้ปังปอนด์กระโดดจากหน้ากระดาษมาเจอกับนายกฯยิ่งลักษณ์ ก็คงไม่ทำอะไรให้การเมืองคลี่คลาย แต่คงซนไปตามเรื่องประสาเด็กวัย 3 ขวบ แต่สิ่งสำคัญคือปังปอนด์จะเข้าไปเล่น มันจะทำให้เห็นว่ายังมีอีกหลายมุมมอง มีหลายทางให้ไป

"ถ้าคิดแบบเด็กๆ ไม่ต้องซีเรียส ก็เห็นว่ามีหลายทางให้ไป มันไม่มีทางตัน"

ก่อนกล่าวทิ้งท้ายนิ่มๆ ว่า การมองโลกผ่านผู้ใหญ่ อาจมีข้อจำกัดมากมาย ถ้ามองผ่านสายตาเด็ก ก็อาจจะพบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้

พร้อมเฉลยสาเหตุที่หยุดอายุปังปอนด์ในขายหัวเราะ-มหาสนุก ให้เป็นเด็ก 3 ขวบตลอดเวลาว่า "โตขึ้นแล้วอาจไม่น่ารัก ขอคงไว้เท่านี้แหละ เอาให้ผมได้ใช้หากินต่อ (หัวเราะ)"

  



หน้า 11,มติชนรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน 2554