Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

นิทาน, หนังสือ : ห้วงยามแห่งความสุขของเด็กปฐมวัย

นิทาน, หนังสือ : ห้วงยามแห่งความสุขของเด็กปฐมวัย

Books and Fables : The Moments of Happiness for Young Children

 

สุดใจ  พรหมเกิด

Sudjai  Bhromkoed

ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

 

นำเสนอใน Symposium “เลี้ยงเด็กปฐมวัยอย่างไรให้มีสุข”

การประชุมสัมมนาวิชาการประจำปีกุมารเวชศาสตร์

สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ประจำปี 2553

วันที่ 18 สิงหาคม 2553 ณ ห้องประชุมอาคารสยามบรมราชกุมารี ชั้น 7

สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี

               

                 นับเนื่องเวลาตั้งแต่การตั้งครรภ์ หากคุณแม่ท่านใดอุ้มท้องด้วยความอิ่มสุข ทั้งกาย จิต และวิญญาณ ลูกในท้องก็จะสามารถรับสัมผัสความเบิกบานได้ตั้งแต่ครานั้น 

                ยิ่งเมื่อวิทยาการใหม่ๆ บ่งบอกและเชิญชวนให้คุณแม่ร้องเพลง, พูดคุย หรือเล่านิทานให้ลูกฟัง ฯลฯ มีผลพบว่า สายสัมพันธ์ ความผูกพันระหว่างแม่ลูกจะเกาะเกี่ยวแน่นแฟ้นกันมากขึ้น คุณแม่ยุคใหม่ที่รับรู้ข้อมูลนี้ต่างนำมาปรับใช้  จึงเป็นการเริ่มต้นการสร้างสุขแก่เด็กของเราด้วยการลงทุนที่น้อยนิดแต่บังเกิดผลอย่างยั่งยืน

                จวบจนเมื่อลูกออกมาสัมผัสโลกภายนอก ตั้งแต่น้ำนมหยดแรกที่ดื่มกิน อ้อมกอดที่ทะนุถนอม ล้วนเติมความสุข ความปลอดภัย ความไว้วางใจในชีวิต

                แต่ละช่วงของการเติบใหญ่มาถึงช่วงวัยสำคัญที่สุดของการสร้างเซลล์สมองเพื่อความฉลาด จดจำ  การย่อยความรู้ที่สามารถพัฒนาได้สูงสุดถึง 80%ในวัยแรกเกิดถึง 3 ปี หากทุกครอบครัวได้ตั้งฐานรับอย่างมั่นคงแล้ว การพัฒนาต่อเนื่องด้านอารมณ์ ความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการที่สร้างสุข ก็ยากที่จะคลอนแคลนแล้ว

                การนำหนังสือเข้าสู่ชีวิตลูกตั้งแต่วัย 6 เดือน เป็นเครื่องมือการถักทอ เพิ่มพูนความรัก ความผูกพัน และความสุขอย่างต่อเนื่องด้วยวิธีที่ง่ายๆ

                ขวบปีแรกที่ลูกได้นั่งตัก ได้ “ดูภาพ” จากหนังสือ ด้วยการชี้ชวนและน้ำเสียงที่อบอุ่น เท่ากับพ่อแม่ได้เริ่มต้นก่อความรักในการอ่าน ซึ่งจะมีผลต่อการพัฒนาศักยภาพลูกอย่างสำคัญ

                เริ่มด้วยภาพจากหนังสือซึ่งเป็นสื่อที่มีพลังอย่างยิ่งยวดต่อเด็ก มีผลต่อการพัฒนาสมองและการเจริญเติบโต กระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้ สร้างกระบวนการรับรู้ทั้งแบบซึมซาบ (Assimilation) และปรับแปลง (Accommodation) รวมถึงการตอบสนองและถ่ายทอดการสื่อสาร ซึ่งเป็นการพัฒนาศักยภาพสมองซีกขวาที่ทำงานเกี่ยวกับภาพ ศิลปะ และจินตนาการ

                หลักการทำงานของสมองที่พบว่า การเรียนรู้ที่ผ่านภาวะอารมณ์ที่เพลิดเพลิน ผ่อนคลาย สมองจะนำสู่หน่วยจัดเก็บความจำที่ถาวร ขณะที่ภาวะเคร่งเครียด สารเคมีในร่างกายจะยับยั้งการทำงานของสมอง ทำให้ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่

                ในวัยที่ลูกกำลังเติบโต การก่อร่างสร้างสุขให้กับลูก ด้วยการให้ลูกได้เรียนรู้วิธีการเผชิญและจัดการ “ความตึงเครียด” ที่มาเยือน เพื่อคืนกลับความสมดุลของระบบและการทำงานตามปกติของร่างกายนับมีความจำเป็น นิสัยรักการอ่านที่ปูพื้นฐานไว้จะช่วยสร้างความเพลิดเพลิน สร้างความสุข คลี่คลายภาวะความกดดัน จัดการความทุกข์ได้ด้วยตัวเอง และยังนำสู่การเรียนรู้ที่เกิดประสิทธิผล

                มีงานวิจัยเชิงวิเคราะห์เรื่อง “อิทธิพลของสภาพแวดล้อมและภูมิหลังของเด็กที่มีผลต่อการพัฒนาความคิดเชิงเหตุผลในเด็กไทย”โดย ดร. เยาวดี วิบูลย์ศรี จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย        ได้ศึกษาเด็กในกรุงเทพฯ อายุ 5-7 ปี พบปัจจัยหรือตัวแปรที่มีอิทธิพลทางบวก หรือส่งเสริมความคิดเชิงเหตุผลของเด็ก ประการหนึ่งคือ…การอ่านหนังสือนิทานและการ์ตูน ซึ่ง              รศ. ถิรนันท์ อนวัชศิริวงศ์ จากสำนักเดียวกัน มองว่า เพราะหนังสือนิทานและการ์ตูน มีการถ่ายทอดสารและสร้างกระบวนการเรียนรู้ของเด็กด้วย “ภาพ” ซึ่งมีมิติและอารมณ์ต่างๆ ขณะเดียวกันยังมีกลวิธีและศิลปะการเล่าเรื่องที่ชวนให้อยากรู้อยากติดตาม

                นิทาน การ์ตูน และการอ่านจึงเป็นสื่อและเครื่องมือทรงพลังในการพัฒนาสมอง กระบวนการเรียนรู้ด้านจินตภาพสร้างสรรค์และระบบคิดแบบตรรกะในเวลาเดียวกัน

                พลังถัดมาที่สำคัญยิ่งของนิทานและหนังสือคือ “พลังจริยธรรม”

                นิทานทุกเล่ม หนังสือทุกเรื่องของเด็กปฐมวัย จะมีเนื้อหาชัดเจน เรื่องความดี ความชั่ว เรื่องของนามธรรมที่มองว่ายาก กลับสื่อเป็นรูปธรรมได้อย่างชัดแจ้ง เด็กๆจึงได้เรียนรู้ ซึมซับ บ่มเพาะคุณธรรม ศีลธรรม หมายรวมความดี ความงาม และความจริง ฯลฯ ซึ่งจะตราตรึงในสมองและจิตใจจวบจนวันเติบใหญ่

                 คุณค่าอีกมากมีที่ประมาณมิได้ล้วนมีอยู่ใน “นิทานและหนังสือ”

                การลงทุนที่ใช้ต้นทุนน้อยมากๆ นี้ ทำอย่างไรจึงจะเกิดได้จริงและยั่งยืน

                ทำอย่างไรให้แม่ตั้งครรภ์และคู่ชีวิตทุกคู่ได้รับรู้

                ทำอย่างไรจึงจะให้เกิดรัฐสวัสดิการด้านหนังสือเด็กแรกเกิด – 6 ขวบ

                ทำอย่างไรให้มีหนังสือดีที่สร้างสุขภาวะสอดคล้องกับบริบทของเด็กในท้องถิ่นนั้นๆ

               ผู้ป่วยเด็กหลายคนที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีได้มีความสุข ความเพลิดเพลิน ฟื้นฟูจิตใจและร่างกาย ไม่เพียงจากการดูแลรักษาด้วยศาสตร์ทางการแพทย์เท่านั้น แต่มีโครงการ “รถเข็นนิทาน : สานความห่วงใย” จากการระดมทุนของมูลนิธิเด็ก และพยาบาลอาสาพร้อมกับอาสาสมัครที่มาร่วมจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน

              ทำอย่างไรจึงจะเกิดการระดมทุนให้เกิดกองทุนนิทาน – หนังสือ และอาสาสมัครส่งเสริมการอ่าน เพื่อเด็กทั่วประเทศ ไม่เฉพาะเด็กป่วยในโรงพยาบาลเท่านั้น

             เพื่อให้เด็กๆ ทุกๆ คนในทุกๆ ครอบครัว ทุกๆ หมู่บ้าน ได้มีโอกาสเข้าถึงความสุข ความเพลิดเพลิน ต่อเติมความฝันและจินตนาการ

             เพื่อการเติบโตอย่างหยั่งรู้ และร่วมสร้างสังคมที่ดีงามของพวกเขาต่อไป

………………………………………………………………………………………………

ข้อมูลอ้างอิง :

  1. ถิรนันท์ อนวัชศิริวงศ์ / พิรุณ อนวัชศิริวงศ์. การ์ตูนมหัศจรรย์แห่งการพัฒนาสมองและการอ่าน. กรุงเทพ : สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก. 2553
  2. ศักดา วิมลจันทร์. เจาะใจการ์ตูน. กรุงเทพ. สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก. 2549
  3. ฮิเดฮารุ ทานากะ และคณะ. หนังสือเด็กมีชีวิต รวบรวมความมคิดและการทำงานหนังสือเด็ก. กรุงเทพ :

แผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)