นานาโอะ ซากากิ ด้วยเท้าของกวี

ถ้าคุณมีเวลาพูดคุย
อ่านหนังสือ
ถ้าคุณมีเวลาอ่าน
เดินไปสู่ภูเขา ทะเลทรายและมหาสมุทร
ถ้าคุณมีเวลาเดิน
ร้องรำทำเพลง
ถ้าคุณมีเวลาร้องรำ
นั่งเงียบๆ คุณมีสุขแล้ว คนโง่
(บทกวีไม่มีชื่อ ของ นานาโอะ ซากากิ)
นานาโอะ ซากากิ (Nanao Sakaki, ๑๙๒๓ – ) เป็นกวีและนักต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม ผู้ซึ่งยังธรรมชาติรินไหลในกวีนิพนธ์ เขาใช้ถ้อยคำง่ายๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งตามขนบเซน และถือว่าความเงียบเป็นบ่อเกิดสำคัญที่สุดของบทกวี เขาเป็นผู้พเนจรตามจารีตของกวีญี่ปุ่นโบราณ ซึ่งพานพบความรื่นรมย์และความรอบรู้จากการเดิน “ถ้าคุณเดิน คุณจะได้เห็นสิ่งต่างๆ มากมาย” กวีเขียนใน Nanao or Never: Nanao Sakaki Walks Earth A (๒๐๐๐) สรรนิพนธ์ว่าด้วยนานาโอะ โดย แกรี่ สไนเดอร์, โรเบิร์ต เบรดี้ บรรณาธิการกวีนิพนธ์ของวารสาร Kyoto Journal และ แอลเลน กินสเบิร์ก เป็นต้น ซึ่งมี แกรี่ ลอว์เลสส์ เป็นบรรณาธิการ
เขามีกวีนิพนธ์ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ ๓ เล่ม ได้แก่ Let’s Eat Stars (๑๙๙๗) Break the Mirror: the Poems of Nanao Sakaki (๑๙๙๖; ภาพประกอบโดย แกรี่ สไนเดอร์) และ Real Play: Poetry and Drama (๑๙๘๓) เขายังแปลไฮกุของอิสซา โคบายาชิ เป็นภาษาอังกฤษและตีพิมพ์เป็นหนังสือ ชื่อ Inch
by Inch: 45 Poems by Issa (๑๙๙๙)
แกรี่ สไนเดอร์ กวีอเมริกัน เขียนถึงนานาโอะว่า “เป็นหนึ่งในบรรดากวีสากลคนแรกๆ อย่างแท้จริงที่มาจากญี่ปุ่น แต่แหล่งความคิดและแรงบันดาลใจของเขาเก่าแก่กว่าตะวันออกหรือตะวันตก จิตวิญญาณ ฝีมือ ความรอบรู้ประวัติศาสตร์ของเขานั้น – ไม่ว่าเขาจะชอบหรือไม่ก็ตาม – ทำให้เขาเป็นแบบอย่างของการสืบสายที่ย้อนกลับไปถึงจวงจื๊อ ผู้ปราดเปรื่องที่สุดในลัทธิเต๋า บทกวีของเขาไม่ได้เขียนด้วยมือหรือหัว แต่
ด้วยเท้า”
เมื่อได้ยินเรื่องลามก
ล้างหู
เมื่อได้เห็นสิ่งน่าเกลียด
ล้างตา
เมื่อได้รับความคิดต่ำช้า
ล้างใจ
และ
ให้ตีนติดดิน
(ไม่มีชื่อ)
นานาโอะเดินสำรวจภูเขาและแม่น้ำไปทั่วญี่ปุ่น เป็นแรงบันดาลใจในการเคลื่อนไหวเพื่ออนุรักษ์แม่น้ำให้รินไหลอย่างอิสระ ป่าโบราณ แนวปะการังและสัตว์ป่าให้คงอยู่ และเพื่อต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เขาเป็นเสมือนหนามแหลมต่อ “บริษัทญี่ปุ่น” คอยเตือนว่าแม้จะประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจ แต่ชาวญี่ปุ่นก็ไม่ได้มีความสุขมากนัก เพราะสังคมญี่ปุ่นป่วยไข้ ปัญญาชนหรือคนมีการศึกษาสูงไม่สนใจความป่วยไข้นี้แม้แต่น้อย พวกเขาถูกฝึกฝนมาอย่างดีให้เป็นทาส เป็นหุ่นยนต์ ในอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น
“ผมโชคดีที่ไม่ได้รับการศึกษาสูง” เขาให้สัมภาษณ์กับปีเตอร์ วอร์แชลล์ (Whole Earth Review, ฤดูใบไม้ร่วง ๑๙๙๕) “ผมไม่มีโอกาส ผมจึงได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตาของตัวเองตั้งแต่วัยเด็ก นั่นเป็นการศึกษาที่ดีนะ”
นานาโอะ หมายถึง “ลูกคนที่เจ็ด” เขาถือกำเนิดที่หมู่บ้านเล็กๆ ใกล้กับเมืองคาโงชิมา ทางใต้ของเกาะคิวชู เขาถือว่าตัวเองเป็นพวกเดียวกับ “ชนเผ่า” ดั้งเดิมของญี่ปุ่น คือ ไอนุทางเหนือ หรือผู้คนของเขาเองทางใต้ ซึ่งแตกต่างแม้แต่ทางกายภาพจาก “ชาวญี่ปุ่น” ที่เป็นลูกผสมของเผ่าพันธุ์ผู้รุกราน
“ผมคิดว่าผมไม่ได้เรียนรู้อะไรจากวัฒนธรรมญี่ปุ่น แม้แต่อย่างวัฒนธรรมจีน ก็ไม่มีอิทธิพลต่อผมลึกซึ้งนัก” เขาบอกวอร์แชลล์ “ผมรู้สึกเหมือนกรีกโบราณ หรืออินเดียโบราณ หรือคนดึกดำบรรพ์ยังมีชีวิตอยู่มากกว่า คนดั้งเดิมหรือคนแอฟริกา ผมเรียนรู้จากคนเหล่านี้”
ครอบครัวของเขาเป็นชนชั้นกลางและนับถือพุทธศาสนา เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ ผู้เป็นพ่อก็ล้มละลาย เขาต้องออกทำงาน โดยเริ่มเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นนั้นเอง แม้จะเรียนดี แต่เมื่ออายุสิบสอง เขาก็ตัดสินใจไม่เรียนต่อ เขาได้งานเป็นเด็กสำนักงานของแผนกการศึกษาท้องถิ่น เขาหัดใช้ลูกคิดและคำนวณได้อย่างคล่องแคล่วและแม่นยำ เมื่ออายุสิบหก ก็ย้ายไปอยู่โตเกียวและยังคงทำงานสำนักงานและลูกคิดเหมือนเดิม ครั้นอายุสิบเจ็ดเขาก็ไปเป็นทหาร ซึ่งเด็กหนุ่มทุกคนทำกันเมื่อถึงวัยขนาดนั้น เขาเลือกทหารเรือและถูกส่งไปประจำสถานีเรดาร์ทางใต้ของเกาะคิวชู
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง นานาโอะกลับโตเกียวและได้งานเกี่ยวข้องกับการพิมพ์ เขาทำอยู่ปีกว่าก็รู้สึกว่าตนไม่ชอบชีวิตอย่างนี้ จึงออกมาใช้ชีวิตอิสระอยู่ตามท้องถนน เขานั่งอยู่บนทางเท้าหรือไม่ก็ในสวนสาธารณะและเฝ้ามองผู้คนและเขียนกวีนิพนธ์ เขาชอบเดิน เขาเดินอยู่ในโตเกียวระยะหนึ่ง แล้วเดินออกไป
ยังเมืองหนึ่ง แล้วอีกเมือง . . . เขาเดินอยู่หลายปีและไปทั่วญี่ปุ่น เขาสอนตัวเองเรียนภาษาอังกฤษ ภาษาอื่นๆ ของยุโรป และจีนโบราณ เขาเริ่มถักทอเส้นใยอิสระของชุมชน ‘ทางเลือก’ ทั้งในเมืองและชนบท ซึ่งท้าทายการบีบคั้นให้คล้อยตามของลัทธิบริโภคนิยม
“. . .เดี๋ยวนี้ความร่ำรวยและชื่อเสียงกลายเป็นความใฝ่ฝันของคนหนุ่มสาวทั่วโลก ผมจึงแนะนำหนทางอื่น เป็นฤษีหรือปลีกตัวอยู่ในหมู่บ้านตามภูเขาห่างไกล แค่อยู่เงียบๆ ดำเนินชีวิตเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งจะช่วยได้มาก” เขากล่าว
นานาโอะเริ่มเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ปี ๑๙๕๕ ในเวลานั้นเขากับช่างแกะสลักหนุ่มคนหนึ่งออกสำรวจป่าดงดิบไปทั่วญี่ปุ่น เขาไปถึงเกาะยากุชิมาทางใต้ของประเทศ ซึ่งมี ซุงิ ขึ้นเป็นดง ซุงิ (sugi หรือซีดาร์) เป็นต้นไม้ยักษ์ มีอายุกว่า ๔,๐๐๐ ปี สำนักงานป่าไม้เริ่มโค่นป่าโบราณแห่งนี้ เขาไปขอร้องให้หยุด “คุณตัดต้นไม้อย่างนี้ทำไม มันไม่ใช่สมบัติของญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ควรจะเป็นสมบัติของโลก ของมนุษย์ ! เราไม่ควรโค่นมันเพียงเพื่อเอามาก่อสร้างอย่างถูกๆ ” (อ้างใน Nanao or Never) แต่พวกเขาว่า “นี่มันธุรกิจของเรา!” เขาไปหากลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอื่นๆ มาร่วมคัดค้าน แต่ไม่ประสบผล เพราะธุรกิจใหญ่ หลายปีต่อมา หลัง
จากพวกเขาหยุดโค่นและเหลือป่าโบราณหย่อมหนึ่ง ญี่ปุ่นก็เสนอให้ยูเนสโกประกาศเป็นมรดกโลก แต่สายไปแล้ว เหลือต้นไม้ไม่กี่ต้น เขาโกรธมากในกรณีนี้
หลังจากนั้น กิตติศัพท์ของนานาโอะขจรขจาย เขาต่อต้านการสร้างเขื่อน การสร้างสนามบินและการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ในทศวรรษ ๑๙๖๐ เมื่อแอลเลน กินสเบิร์กมาเยี่ยมแกรี่ สไนเดอร์ พวกเขาก็ไปหานานาโอะและกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน กวีทั้งสองเชิญเขาไปอเมริกา เขาไปอยู่ที่นั่นราวสิบปี เขาร่วมต่อสู้และอ่านบทกวีเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทั่วโลก
ใน “เพียงพอ” เขากล่าว (กับวอร์แชลล์) ถึงนัยของบทกวี ว่า “ถ้าลมหยุดพัดหนึ่งปี เราก็รักษาชีวิตไว้ไม่ได้ ทุกคนต้องตายเพราะหมอกควันไม่มีทางขยับเขยื้อนออกไป อยู่บ้าน แล้วคุณก็จะไม่ได้ข้าวเจ้า ข้าวสาลี ต้องอาศัยลม ลมพัดมลภาวะไป ดังนั้น ไม่มีลม ก็ไม่มีฝน เราจะเป็นทะเลทรายไปทั่วโลก หนาวหรือร้อนสุดขั้ว จะไม่มีใครอยู่รอดที่นี่ ไม่ ลมคือชีวิต . . .”
เพียงพอ
ดินเพื่อขา
ขวานเพื่อมือ
ดอกไม้เพื่อตา
นกเพื่อหู
เห็ดเพื่อจมูก
ยิ้มเพื่อปาก
เพลงเพื่อปอด
เหงื่อเพื่อผิวหนัง
ลมเพื่อใจ
(จาก Just Enough ของ Nanao Sakaki)
“ผมจะมาเกิดเป็นชีวิตอีกครั้ง” กวีบอกวอร์แชลล์เมื่อถูกถามว่าตายแล้วไปไหน “ผมแน่ใจ ผิดอะไรล่ะ ผมจะดำเนินชีวิตเหมือนเดิมทุกอย่างอีกครั้ง บางทีอาจจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย อย่างผมมีความฝันในวัยเด็ก ผมจะเป็นเหมือนบีโธเฟน นักดนตรี นักแต่งเพลง หรือบางครั้งก็เหมือนเดการ์ตส์ หรือไม่ก็ปาสกาล นักคณิตศาสตร์ ผมเก่งเลขมากนะ ผมจึงมีความฝันอย่างนั้น ผมอาจจะเป็นนักคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่อย่างปาสกาลหรือเดการ์ตส์ก็เป็นได้ ถ้าผมสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้บ้างนิดหน่อย ผมอยากเป็นนักคณิตศาสตร์หรือนักดนตรีหรือนักแต่งเพลง หรือไม่ก็เป็นเพียงชาวนา หรือชาวประมง ชาวประมงสนุกกว่า”
มากินดาว
เชื่อฉันเถอะ เด็กๆ !
พระจ้าสร้าง
ท้องฟ้าสำหรับเครื่องบิน
แนวปะการังสำหรับนักท่องเที่ยว
นาสำหรับสารเคมี
แม่น้ำสำหรับเขื่อน
ป่าสำหรับสนามกอล์ฟ
ภูเขาสำหรับลานสกี
สัตว์ป่าสำหรับกรง
รถราสำหรับโศกนาฏกรรมทางจราจร
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์สำหรับการเต้นรำของภูตผี
อย่ากลัวไปเลย เด็กๆ !
บ่อน้ำไม่เคยเหือดแห้ง
ดูสิ !
แสงเรื่อเรืองยามเย็น
ดอกทานตะวันในสวน
แมลงปอสีแดงในอากาศ
เด็กน้อยคนหนึ่งเริ่มร้องเพลง
“มากินดาว ?”
“มากินดาว!”
(จาก Let’s Eat Stars ของ Nanao Sakaki)
ที่มา: สานแสงอรุณ ปีที่ ๑๒ ฉบับที่ ๓ พฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๕๑