Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

นักเขียน / เจ้าของสำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรม / โรงงานอุตสาหกรรม

 

 
นิวัต พุทธประสาท 
นักเขียน / เจ้าของสำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรม / โรงงานอุตสาหกรรม
เขาเป็นทั้งนักเขียน เจ้าของสำนักพิมพ์ และพนักงานคนเดินเอกสาร 
1 คน 3 อาชีพ กับชายหนุ่มผู้ไม่เคยตกงาน
เปิดหมวก 3 ใบ ของบก. Alternative writers นิวัต พุทธประสาท แห่งเว็บ thaiwriter.net
บรรณาธิการเจ้าของสำนักพิมพ์ เม่นวรรณกรรม และนักเขียนผู้มีฝีไม้ลายมือเป็นที่ยอมรับ จากผลงานนวนิยาย "ใบหน้าอื่น","ไปสู่ชะตากรรม" และรวมเรื่องสั้นชุด "วิสัยทัศน์แห่งปรารถนา และความตาย"
 
พี่ทำสามอาชีพผสมกัน ประกอบด้วยอะไรบ้าง
 
1. นักเขียน 
2. สำนักพิมพ์ 
3. พนักงานเดินเอกสารในโรงงาน (ธุรกิจครอบครัว) – ความจริงท่านนิวัตเป็นทายาทเจ้าของโรงงาน – yes!
 
 
ทำไมถึงตัดสินใจมาทำอาชีพนี้
 
อาชีพแรกเพราะคิดว่าทำได้ดีที่สุดในชีวิต 
อาชีพที่สองเพราะรัก 
อาชีพที่สามเพราะเงิน – HA HA –
 
 
ก่อนหน้านี้ทำอะไรมาครับ
 
ก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำอะไรเลย โชคดีหรือโชคร้ายไม่รู้ที่ไม่เคยสมัครงานทำที่ไหนมาก่อน ไม่เคยอยู่ในสภาพต้องถูกสัมภาษณ์งาน ไม่เคยตกงาน ไม่มีประสบการณ์ในด้านการทำงานกับบริษัทใหญ่ มีช่วงเดียวที่รู้สึกแย่คือตอนเศรษฐกิจตกต่ำ ค่าเงินบาทจาก 25 มาเป็น 42 บาท ตอนนั้นมีผลกระทบกับตัวเองมากที่สุดในชีวิต แต่ผ่านมาแล้วสามปี 
 
 
การเตรียมตัวเข้ามาทำอาชีพนี้มีอะไรบ้างครับ
 
ข้อแรก นักเขียนเพราะอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลัง 
ข้อสอง ทำสำนักพิมพ์ เพราะมีงานเขียนของตัวเอง 
ข้อสุดท้ายพนักงานเดินเอกสารในโรงงาน -ใช้เส้น
 
เส้นทางการศึกษา
 
การศึกษา -มัธยมปลายโรงเรียนเทพศิรินทร์ ก่อนไปเรียนระดับอุดมศึกษาที่รามคำแหงได้สองปีครึ่ง แล้วตัดสินใจรีไทร์ตัวเองออกมา
 
 
เรื่องของทุนทรัพย์ ในการเริ่มทำสำนักพิมพ์
 
มีเงินอยู่สี่หมื่นบาทเพื่อทำสำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรมเมื่อปี 2539 ผ่านมาถึงปี 2545-46 สำนักพิมพ์นี้มีหนังสือที่จัดพิมพ์มาแล้ว 13 ปก คาดว่าปี 2546 จะเพิ่มขึ้นอีกสักเท่า
ทัศนคติ มีชีวิตอยู่ได้ก่อนไล่ตามความฝันและอย่าทำให้ใครเดือดร้อนเพราะเราเอง
สุขพอประมาณ สุข เพราะ ไม่เป็นหนี้ใคร พอมีเงินเลี้ยงครอบครัว – ไม่สุข เพราะ ปัญหาคือ ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดี มักแปรวิกฤติเป็นโอกาส และมีความเชื่อว่าปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ เลยไม่ค่อยรู้ว่าจะตอบข้อนี้ยังไง
 
เงินลงทุนส่วนใหญ่เป็นเงินจากผลกำไร ผมไม่เอาเงินเก็บมาลงทุน กลัวเหมือนกัน 
 
 
รายได้ของการเป็นนักเขียน /สำนักพิมพ์
 
เรื่องรายได้ มีฐานการคิดรายได้ยังไง ไม่มีฐานเรื่องนี้เลย
แต่ถ้าดูในกระเป๋าสตางค์เวลาจะซื้อของ ถ้าไม่มีเงินนั่นแสดงว่า เศรษฐกิจเราแย่แล้ว ต้องประหยัดแล้ว ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไม่ได้
 
 
หักรายจ่ายแล้วอาชีพนี้อยู่ได้หรือเปล่า
 
1. อาชีพนักเขียน ถ้าขยันเขียนคอลัมน์อยู่ได้แบบสมถะ 
2. อาชีพสำนักพิมพ์ ถ้ามีเงินลงทุนเยอะโอกาสก็จะมีมา 
3. พนักงานเดินเอกสาร เป็นรายได้เลี้ยงครอบครัว
 
 
จรรยาบรรณของคนทำทั้งสามอาชีพคืออะไร
 
1. อาชีพนักเขียน ความซื่อสัตย์ต่อคนอ่าน จรรยาบรรณที่คุณต้องมีต่อสังคม คุณจะเขียนอะไรต้องนึกถึงผลกระทบต่อสังคมด้วย
2. สนพ.มีรายละเอียดคล้ายการเป็นนักเขียน แต่สนพ.มันมีเรื่องของทุน ผลกำไรทางธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจรรยาบรรณของการทำธุรกิจก็คือ คุณไม่ไปเบียดเบียนใคร ไม่คิดที่จะแข่งขันกับคู่แข่งจนใครสักคนล้มตายไปข้าง แต่ต้องต่อสู้ด้วยความยุติธรรม
3. พนักงานเดินเอกสาร ต้องขยัน อดทน 
 
 
แนวของหนังสือที่เขียน นิยาย เรื่องสั้น บทความ
 
ผมแบ่งงานตัวเองออกเป็นสามยุค ยุคแรกค้นหา เขียนในหลากหลายสไตล์มุ่งเน้นปัญหาสังคม การสำรวจภายในจิตใจมนุษย์ ซึ่งอ่านค่อนข้างยาก ยุคที่สองเป็นยุคค้นหาตัวตน ยุคนี้งานเขียนส่วนใหญ่คลี่คลายมาจากยุคแรก เป็นช่วงที่มีงานลงตีพิมพ์ในหนังสือ "ช่อการะเกด" แม้เนื้อเรื่องจะไม่ต่างจากยุคแรก แต่กลวิธีการนำเสนอจะมีชั้นเชิงมากขึ้น (มั้ง) ยุคปัจจุบันโดยตัวเนื้อของมันอาจจะเบาลง เล่าเรื่องมนุษย์และความรู้สึกมากขึ้น โดยไม่ทิ้งกลวิธีการประพันธ์ ผมมองว่าการเขียนหนังสือสไตล์แบบนี้ ทำให้เราเสนอแง่มุมมนุษย์ โดยเฉพาะชีวิตคนชั้นกลาง มีคนนำเสนอไม่มากนัก ยิ่งเสนอถึงแก่นแล้วยังมีน้อยเกินไป ไม่ใช่ผมทำถึงแก่นนะ แต่ชอบเพราะมันอยู่ใกล้ตัวเรา เรารู้จักมันดี
 
 
ปกติเวลาเขียนหนังสือชอบเขียนที่ไหน
 
เขียนที่บ้านกับที่ทำงานครับ เพราะสะดวก
 
 
มีองค์กรของรัฐคอยควบคุมดูแลบุคลากรในสาขาวิชาชีพนักเขียนนี้มากน้อยแค่ไหน อย่างไร
 
ตอนนี้ประเทศของเรามีกระทรวงวัฒนธรรมแล้ว แต่ไม่รู้เขาจะมีนโยบายสนับสนุนนักเขียนหรือเปล่า หรือจะรณรงค์เรื่องแต่เรื่องสิ่งที่ตายไปแล้ว ซึ่งจริง ๆ มันต้องทำสองอย่างพร้อมกันนะระหว่างวัฒนธรรมที่ตายไปแล้วกับวัฒนธรรมที่มีชีวิตอยู่ แต่ประเทศเรามักมีข้ออ้างว่างบประมาณไม่พอเพียงบ้าง แต่ผมว่าไม่ใช่หรอก มันน่าเป็นเพราะวิสัยทัศน์มากกว่า อย่างเวลาผมไปขอวีซ่าไปต่างประเทศ ผมจะเขียนไปเลยว่าเป็น Writer ซึ่งสะดวกมาก ผมเอาหนังสือที่เขียนไปให้เขาดู ไม่ต้องสัมภาษณ์ การให้ความสำคัญของแต่ละประเทศต่างกัน
 
 
ฝันไว้ว่าต่อไป อยากให้เป็นอย่างไร
 
อยากทำงานให้ดีที่สุด
 
 
มีฐานะแล้วจะไปทำกิจการให้ใหญ่โตขึ้นหรือเปล่า
 
ผมยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงนะ คงทำได้เท่าที่ทำ และไม่เคยคิดจะกู้เงินมาทำธุรกิจให้ยิ่งใหญ่ มันไม่มีเหตุผลว่าทำไมต้องมีเงินเหลือเฟือ น่าจะมีเงินพอใช้จ่าย ทำให้ชีวิตไม่ลำบาก มีเงินเหลือเพื่อเดินทางบ้าง เหตุผลเพราะ ไม่อยากเป็นหนี้ ไม่อยากดูแลกิจการที่ใหญ่เกินตัว เพราะเราคนเดียว ดูแลองค์กรใหญ่ ๆ ตามลำพังไม่ได้
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจากนิตยสาร YES