นักธุรกิจสื่อฯ ผู้สร้างหนังสือพิมพ์ครบ 3 ภาษา

ในฐานะที่ตัวเองเป็นสมาชิกสามัญสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ วันนี้นั่งถามตัวเองว่า..เคยเขียนอะไร-ทำอะไรรับใช้สมาคมฯ บ้าง
ในฐานะที่ตัวเองเป็นสมาชิกสามัญมีเลขประจำตัวลำดับที่ 173 ในทำเนียบรายชื่อสมาชิกของ สมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ก่อตั้งมาจะ 70 ปีอยู่รอมร่อแล้ว เลยนั่งถามตัวเองว่า…เคยเขียนอะไร-ทำอะไรรับใช้สมาคมฯ บ้าง?
แหม…เขียนไปก็ละอายใจไปเพราะไม่ค่อยจะทำอะไรเป็นโล้เป็นพายเอาเสียเลย จนวันนี้สมาคมฯ มีนายกสมาคมฯ ปาเข้าไป 24 คนแล้ว คุณทวยเทพ ไวทยานนท์ ท่านนายกสมาคมฯคนปัจจุบันก็มีเมตตาสูงมาก เจอหน้ากันทีไร ท่านบิ๊กจุ๋ง…ก็ไม่มีกระซิบกระซาบให้เขียนนั่นเขียนนี่หรือว่าให้เขียนเชียร์สมาคมฯ ท่านก็ไม่เคย…เอื้อนเอ่ย…???
เลยมานั่งนึกเอาเองว่ายกมือไหว้ท่านนายกสมาคมฯอย่างสนิทใจทุกครั้งที่เจอหน้ามาร่วม 20 ปี ทำการทำงานในหนังสือพิมพ์รายวันก็ชายคาเดียวกัน…แต่ห่างรุ่น-เพราะผมรุ่นลูกรุ่นหลานครับ…หลังท่านเยอะ-เลยบอกตัวเองเอาไว้ว่า…น่าจะเขียนอะไรให้ท่านนายกสมาคมฯชื่นใจบ้าง
ว่าแล้วก็ไปรื้อโน่นค้นนี้…จนชั้นหนังสือจะถล่มเลยได้เรื่อง!
ไม่ต้องเขียนเรื่องอื่นไกล…เขียนเรื่องนายกสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยนี่แหละ…ดีที่กระดาษสุด…ผมจะร่ายยาวมาตั้งแต่ท่านนายกสมาคมฯคนแรกเลย-ดีมั้ยครับ?
คนรุ่นใหม่ทั้งหลายทราบไหมว่า การได้มาซึ่งที่ดินเพื่อก่อร่างสร้างที่ทำการถาวรของสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยตรงแถวๆ แยกการเรือนเยื้อง มหาวิทยาลัยสวนดุสิตนั้น ได้มาเพราะว่าช่วยเหลือของผู้นำประเทศที่ขึ้นชื่อลือนามว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ชอบสั่งปิดหนังสือพิมพ์รายวันและในยุคที่เรืองอำนาจสั่งปิดหนังสือพิมพ์รายวันมาแล้วร่วม 20 ฉบับ และที่สำคัญ ฯพณฯ สั่งขังนักหนังสือพิมพ์มาร่วม 100 คน ไม่ว่าจะเป็นนายกสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยคนที่ 10 นามว่า อุทธรณ์ พลกุล หรือนายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยนามว่า อิศรา อมันตกุล
เขียนมาหลายย่อหน้าแล้วลืมบอกไปว่า ฯพณฯ มีนามว่า จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัช ต์ นายกรัฐมนตรี (ในสมัยนั้น)
เรื่องของเรื่อง…เกิดขึ้นในสมัยที่น้องชายต่างบิดาของ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ คือ คุณสุรจิตร จันทรสาขา นั่งเก้าอี้เป็นนายกสมาคมฯ คนที่ 13 ปรากฏว่า เป็นห้วงเวลาเดียวกับที่ทางสมาคมฯเพิ่งโดนไล่ที่ออกมาจากตึกแถว 2 ชั้นริมถนนบำรุงเมือง ซึ่งมีเนื้อที่ขนาด 300 ตารางวา ที่เช่าใช้จากทรัพย์มรดกของ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา พระธิดาในกรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย ด้วยความช่วยเหลือของ ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี (ในสมัยนั้น)
พอเช่าอยู่นานไปเลยโดนไล่ที่เมื่อปี 2502 โดนไล่มาก็มาเช่าห้องแถวเล็กๆ ตรงปากซอยทางเข้าวัดอินทรวิหาร ย่านบางขุนพรหม เพื่อใช้เป็นที่ทำการชั่วคราว จนกระทั่งราวปี 2504 คือคุณสุรจิตร จันทรสาขา นั่งเก้าอี้เป็นนายกสมาคมฯ คนที่ 13 (ท่านนั่งเป็นนายกสมาคมฯ 3 สมัยติดต่อกัน) พากรรมการชุดใหม่ไปคารวะแล้วเล่าปัญหาให้ฟัง
พอท่านจอมพลสฤษดิ์ทราบเรื่องเลยบัญชาให้สำนักงานทรัพย์สินฯ จัดสรรที่ดินขนาด 680 ตารางวา บริเวณสวนอ้อยที่ถนนราชสีมาตัดกับถนนราชวิถีให้เช่าที่แบบยาวๆ…เพื่อสร้างที่ทำการถาวรพร้อมกับอนุมัติเงินให้อีก 450,000 บาท (ในสมัยนั้น) จากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลมาสร้างอาคารสำนักงานจนเรียบร้อยและแข็งแรงมั่นคงมาจวบจนปัจจุบัน
เอาล่ะ…เมื่อเขียนถึงที่ตั้ง-ที่ทำการของสมาคมฯแล้วก็ขอย้อนรอยกลับไปถึงที่มาของการก่อตั้งสมาคมฯและประวัติชีวิตของนายกสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเลยก็แล้วกัน.. เพราะจะว่าไปแล้วเส้นทางชีวิตของนักหนังสือพิมพ์แต่ละท่านนั้น ล้วนแล้วแต่มีคุณูปการต่อนักหนังสือพิมพ์รุ่นหลังยิ่งนัก
พวกเรา-คนรุ่นหลังจะได้ทราบว่ากว่าที่นายกสมาคมฯแต่ละท่านจะมารับตำแหน่งนั้นต้องผ่านการเคี่ยวกรำบนเส้นทางชีวิตของการเป็นนักหนังสือพิมพ์มืออาชีพมาอย่างหนักหน่วง…การเป็นนายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่มาจากคุณงามความดีที่สร้างสมไว้กับเพื่อนพ้องน้องพี่หมู่มวลสมาชิกของสมาคมฯ
ครับ-สมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยก่อร่างสร้างตัวขึ้นเมื่อราวปี 2484 หลังจากที่นักหนังสือพิมพ์หลายคนหลายกลุ่มต่างนั่งลงพูดคุยกันและลงมติเป็นเสียงเดียวกันว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีสมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดยมีผู้ประสานงานให้เกิดการจับมือกันคือ คุณวิลาศ โอสถานนท์ อธิบดีกรมโฆษณาการ (กรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน) และ คุณชวาลา สุกุมลนันทน์ ลูกเขยของพระยาอนุมานราชธน
ณ ในหนังสือวารสาร ส.น.ท.ฉบับประจำปี 2507 คุณชวาลา สุกุมลนันทน์ เขียนบันทึกความทรงจำเอาไว้ว่า
"นักหนังสือพิมพ์ผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการรวมเพื่อนๆ มาจับกลุ่มกันเป็นสมาคมฯคือ คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ ทั้งๆ ที่มีอายุอานามเพียง 36 ปี
แต่ คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ ก็ยืนยันเสียงหนักแน่นว่าผลักดันทุกอย่างให้เดินหน้าเพื่อสร้างสมาคมฯเพื่อเพื่อนนักหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่เพื่อตัวเองเพราะฉะนั้นเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว สมควรเชิญพระยาปรีชานุสาสน์ นักหนังสือพิมพ์อาวุโสมาดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฯ คนแรก"
ท่านพระยาปรีชานุสาสน์ จึงเป็นนายกสมาคมหนังสือพิมพ์ฯ คนแรก นับจากวันก่อตั้งเมื่อ 17 พฤษภาคม 2484 จนถึง พ.ศ. 2485 รวม สองสมัยติดต่อกัน
ใครคือ…พระยาปรีชานุสาสน์?
ผมว่า…นักหนังสือพิมพ์รุ่นใหม่…ไม่สมควรสงสัย แต่สมควรไปศึกษาเส้นทางชีวิตของท่านเจ้าคุณผู้เป็นบิดาของคุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี…แต่ถ้าไม่มีเวลา…ผมจะเล่าให้ฟัง…
……………………………………
ท่านมหาอำมาตย์ตรี พระยาปรีชานุสาสน์ (เสริญ ปันยารชุน) เกิดเมื่อ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2433 ในอดีตท่านเป็นปลัดทูลฉลองกระทรวงศึกษาธิการ, ผู้บังคับการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง เชียงใหม่, รักษาการผู้บังคับการโรงเรียนราชวิทยาลัย เจ้ากรมโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ในสมัยรัชกาลที่ 6, อดีตผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย ซึ่งปัจจุบันนี้วชิราวุธวิทยาลัยยังระลึกถึงท่านด้วยการตั้งทุนการศึกษาในนามรางวัลพระยาปรีชานุสาสน์ มอบทุนให้นักเรียนทุกปีและเมื่อวันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553 นักเรียนที่ได้รับรางวัลพระยาปรีชานุสาสน์ ประจำปี 2554 ไปกราบลาผู้บังคับการเพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศ 2 คน คือ นายปัญญ์ ชัยกุล คนนี้ได้รับทุนศึกษาที่ Shrewsbury School ประเทศอังกฤษ และ นายพิชาภพ สุนทรจิตตานนท์ คนนี้ได้รับทุนศึกษาที่ Cranbrooks College ประเทศสหรัฐอเมริกา
……………………………………………………….
พระยาปรีชานุสาสน์ เดิมท่านชื่อว่า เสริญ ปันยารชุน เกิดที่บ้านริมคลองบางหลวง ฝั่งธนบุรี ท่านเป็นบุตรของพระยาเทพประชุน (ปั่น ปันยารชุน) กับ คุณหญิงจัน จบการศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และโรงเรียนเทพศิรินทร์ ได้รับทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2452 ในขณะนั้นท่านอายุเพียง 19-20 ปี และว่ากันว่าจุดเริ่มความสนใจในวิชาชีพนักหนังสือพิมพ์ก็เกิดขึ้นมาในช่วงนี้เพราะเมื่อท่านอ่านหนังสือพิมพ์แมนเชสเตอร์การ์เดียน พบว่ามีชาวอังกฤษคนหนึ่งที่เคยมาอยู่เมืองไทย เขียนสารคดีเรื่อง "โรงบ่อนและโรงหวยในเมืองไทย" ข้อมูลคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง ท่านรีบเขียนจดหมายชี้แจงไปทันทีและหนังสือพิมพ์แมนเชสเตอร์การ์เดียนก็ลงพิมพ์จดหมายทั้งฉบับโดยไม่ตัดทอนแม้แต่น้อย
หลังจบการศึกษาได้กลับมาเป็นครูสอนหนังสือที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนสวนกุหลาบ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย ระหว่าง พ.ศ. 2469-2476 และได้เป็นปลัดทูลฉลอง กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อ พ.ศ.2476
เมื่อพระยาปรีชานุสาสน์ลาออกจากราชการเมื่อ พ.ศ. 2478 ได้ก่อตั้งบริษัท สยามพาณิชยการ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจการพิมพ์ ซึ่งนอกจากรับจ้างงานพิมพ์ทั่วๆ ไปแล้วยังลงทุนออกหนังสือพิมพ์ทั้งรายวันและรายสัปดาห์ครบทั้ง 3 ภาษาเจ้าแรกของเมืองไทย คือ หนังสือพิมพ์รายวัน สยามนิกร และนิตยสาร สุภาพสตรี ในภาษาไทย, หนังสือพิมพ์รายวัน ไทยฮั้วเซี่ยงป่อ ในภาษาจีน และหนังสือพิมพ์รายวัน บางกอกโครนิเกิล ในภาษาอังกฤษ ฯลฯ
และท่านยังมีลูกน้องเป็นนักหนังสือพิมพ์-นักเขียนในสังกัดมากมาย หลายคนมีชื่อเสียงโด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ เช่น โชติ แพร่พันธุ์ (ยาขอบ), มาลัย ชูพินิจ (แม่อนงค์, เรียมเอง, น้อย อินทนนท์), สุภา ศิริมานนท์, เฉลิม วุฒิโฆษิต, ประภาศรี ศิริวรสาร, มาลี พันธุมจินดา (สนิทวงศ์) ฯลฯ
หลังจากเป็นเจ้าของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์มานานพอสมควร…ต่อมาท่านเจ้าคุณได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น ไทยพาณิชยการ และขายกิจการทั้งหมดให้แก่คุณอารีย์ ลีวีระ ใน ปี พ.ศ. 2489 ก่อนจะผันตัวเองไปทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยวแทน
ท่านพระยาปรีชานุสาสน์ จึงเป็นนายกสมาคมหนังสือพิมพ์ฯ คนแรก นับจากวันก่อตั้งเมื่อ 17 พฤษภาคม 2484 จนถึง พ.ศ. 2485 สำหรับชีวิตส่วนตัวของท่านนั้นได้ สมรสกับคุณหญิงปรีชานุสาสน์ (ปฤกษ์ โชติกเสถียร) มีบุตรธิดา 12 คน
ท่านพระยาปรีชานุสาสน์ ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2517 ขณะที่อายุ 84 ปี…ฝากไว้เพียงคุณงามความดีและคุณูปการต่อลูกหลานชาวนกน้อยในไร่ส้มรุ่นหลังสืบมาตราบจนทุกวันนี้…0
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก http://www.bangkokbiznews.com/