นักข่าวภาคสนาม กับเรื่องจริง ไม่อิงข้าง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อบ้านเมืองเกิดความไม่สงบ หรือมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น คอข่าวทั้งหลายล้วนต่างพร้อมใจกันเกาะติดสถานการณ์อยู่หน้าจอทีว
คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเมื่อบ้านเมืองเกิดความไม่สงบ หรือมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น คอข่าวทั้งหลายล้วนต่างพร้อมใจกันเกาะติดสถานการณ์อยู่หน้าจอโทรทัศน์อย่างไม่ให้คลาดสายตา ยิ่งกับยุคสมัยที่โลกดิจิทัลมีบทบาทเด่นชัดขึ้นทุกวันจนเริ่มจะนับเป็นนาทีแล้วนี้ การเกาะติดสถานการณ์ผ่านจอโลกดิจิทัลก็เป็นเรื่องที่ง่าย เร็ว และสะดวกกว่า ขอเพียงมีเทคโนโลยีในมือ แค่ปลายนิ้วสัมผัสก็เข้าถึงกันได้เพียงชั่วพริบตา
เมื่อวันเสาร์ที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา ณ บริเวณลานด้านหน้า DIGITAL GATEWAY สยามสแควร์ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NBC ได้จัดงานเปิดตัวหนังสือพอคเก็ตบุ๊ค "ชุดนักข่าวภาคสนาม" พร้อมกันถึง 3 เล่มด้วยกัน ได้แก่ บันทึกข้างสนามแบบที่เห็นและเป็นอยู่ โดย นภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์ และ ราชประสงค์ หน้าที่ และชีวิต โดย เสถียร วิริยะพรรณพงศา และเล่มสุดท้ายคือ เล่าหลังเลนส์ เบื้องหลังม็อบ โดย เกษม อินทปัทม์ โดยหนังสือทั้ง 3 เล่มนี้เขียนและเล่าผ่านประสบการณ์จริงของคนข่าวเครือเนชั่นในการลงพื้นที่รายงานเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา
ตลอดเวลากว่าสองปีที่เติบโตมาบนเส้นทางนักข่าวภาคสนามสายการเมืองของเครือเนชั่นนั้น เอม-นภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์ หรือที่นักทวีตรู้จักเขาในชื่อ "@noppatjak คนข้างม็อบ" ผ่านเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองมาแล้วไม่น้อย นับตั้งแต่ครั้งมีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยเมื่อปี 2551 เขาเล่าว่า สำหรับตัวเองหลักของการทำงานคือการเอาความจริงที่ผ่านการวิจารณญาณแล้วมาสื่อให้ประชาชนได้เห็นกัน แม้ว่าสถานการณ์ที่ออกไปทำข่าวนั้นจะเป็นเรื่องท้าทายความสามารถ แต่มันก็แฝงไปด้วยความกังวล ความกลัว ความห่วง ความเศร้าใจ ที่ซับซ้อนผสมผสานเข้ามาขณะนั้น
"อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังต้องรายงานข่าวตามความเป็นจริงที่เห็นอยู่ การทำงานตรงนั้นจึงต้องมีสติ ใจเย็น และยึดมั่นในสิ่งที่เราเชื่อ เวลารายงานข่าวแล้วไปถูกใจใคร ก็ไม่หลงระเริงไปกับคำชมหรือคำเชียร์ ในทางกลับกัน หากใครมาวิจารณ์หรือมาด่า ก็ใช่ว่าจะต้องกลัวหรือยอมแพ้ แต่ต้องยึดมั่นว่าเราทำสิ่งที่ถูกแล้ว ยกเว้นว่าทำผิด นั่นเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้เพื่อแก้ไข"
เขาแบ่งปันประสบการณ์ต่อว่า "เวลาไปทำข่าวภาคสนาม เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมต้องทำการบ้าน ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเลยแล้วจะออกไปทำได้ เพราะเหตุการณ์ที่เราเห็น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจริงตรงหน้า มันมีแบ็คกราวนด์ มีความเป็นมาเยอะมาก ซึ่งหากไม่ทำการบ้านก่อน ตัวเราเองก็จะรายงานได้แค่สภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วไป แต่ไม่สามารถบอกได้เลยว่าสิ่งที่ผู้ชุมนุมทำมีความหมายอะไร"
การทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวท่ามกลางสถานการณ์ที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้นแล้ว มีความหมายต่อสังคมในวงกว้างเป็นอย่างมาก ฉะนั้นเมื่อรายงานอะไรไป แม้มีข้อผิดพลาดเพียงนิดเดียว ความเป็นจริงพร้อมจะเพี้ยนไปทันที "การควบคุมสติ และอารมณ์" เป็นคำตอบที่นักข่าวอย่างเขาเชื่อว่าช่วยได้
"ต้องควบคุมตัวเราให้อย่าไหวเอนไปกับสถานการณ์ แม้การชุมนุมในที่เกิดเหตุจะมีการปะทะกัน เราเห็นภาพบางภาพที่ใช้ความรุนแรง ก็ต้องมีสติแยกไปเป็นกรณี ใช้จิตสำนึกของความเป็นนักข่าวนำเสนอว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง เพื่อสื่อให้กับประชาชนรู้ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นดำเนินไปถึงขั้นไหนแล้ว ซึ่งการนำเสนอความจริงที่เห็นอยู่นี้ ผมมองว่าไม่มีเวลาไปนั่งคิดบิดเบือนหรอกว่าจะบิดเพื่อไปเชียร์ข้างไหนดี แต่ข่าวที่เรานำเสนอไป หากไม่ค่อยตรงใจเขา เขาอาจคิดว่าเราบิดเบือนก็เป็นได้ ประเด็นคือนักข่าว 99 เปอร์เซ็นต์ออกไปทำงานข่าว ไม่มีใครมีความคิดปักธงไว้หรอกครับว่าจะบิดเบือนข่าว"
ดังนั้น "บันทึกภาคสนามแบบที่เห็นและเป็นอยู่" จึงเป็นคำบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เห็นมาอย่างไร ก็บรรยายไปอย่างนั้น ไม่ใส่ความเห็นลงไปมาก เพราะเจ้าของเรื่องเล่าเล่มนี้บอกว่า ยุคนี้ความคิดเห็นมันล้น แต่ความจริงมีน้อย เขาเลยพยายามเขียนอย่างที่เป็นจริงทั้งหมด
ถัดมาที่ เสถียร วิริยะพรรณพงศา กว่า 7 ปีของการเป็นนักข่าวสายการเมือง โดยแบ่ง 2 ปีแรกตามติดข่าวอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล และ 5 ปีถัดมาใช้ชีวิตการทำงานเพื่อเกาะติดสถานการณ์เคียงข้างกลุ่มผู้ชุมนุมเดินขบวนที่ขอใช้สิทธิเล่นการเมืองภาคประชาชน เขาย้อนความให้ฟังว่า มีโอกาสเข้าไปคลุกคลีกับการชุมนุมครั้งแรกเมื่อครั้งไปทำข่าวม็อบ กฟผ.ที่บางกรวย สมัยรัฐบาลนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งนับเป็นการทำงานที่เปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของตัวเขาเองค่อนข้างมาก เพราะทำให้เข้าใจว่าการต่อสู้ภาคประชาชนต่อสู้กันอย่างไร
"ม็อบ กฟผ.เป็นการขับเคลื่อนของภาคประชาชนที่ไม่มีอำนาจ เวลาสู้ เขาใช้การชุมนุมเป็นหลัก มีปราศรัย เดินขบวน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นกิจกรรมที่อยู่บนท้องถนน เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่เรียกร้อง ก็อดทน กลับมาตากแดด ร้องเพลง เดินขบวน ชุมนุม มันทำให้ผมศรัทธากับวิถีการต่อสู้ของประชาชน ซึ่งแตกต่างจากการต่อสู้ในทำเนียบหรือในรัฐสภา"
จากวันนั้นชีวิตของ 'นักข่าวม็อบ' ของเขาก็เริ่มต้นขึ้น และไม่หนีหายไปไหน จะมีก็แต่วิวัฒนาการการชุมนุมของม็อบที่เปลี่ยนไป เพราะเมื่อใดที่ม็อบหรือแกนนำหวังผลว่า 'ต้องชนะอย่างเดียว' ความสุดโต่งในการชุมนุมจะเกิดขึ้นทันที
"เวลาไปทำงานข่าวต้องไม่ทำวันต่อวัน เลิกแล้วลืม เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปใหม่ สัมภาษณ์ใหม่ ต้องไม่เป็นอย่างนั้น แต่เราต้องเก็บรายละเอียดเอาไว้ว่าวันนี้เรื่องราวเป็นอย่างไร ต้องพยายามตั้งคำถาม พยายามคิดต่อยอด เหมือนเราเห็นต้นไม้ทุกวัน ต้นนี้เห็นวันนี้ ไม่จำ พรุ่งนี้เจอต้นใหม่ ไม่จำ พอเดินผ่านไปสัก 11 ต้น ปัญหาของการลืมต้นไม้ทั้งหมด คือเราจะไม่รู้ว่าป่านี้คือป่าอะไร ดังนั้น การศึกษาข้อมูลก่อนลงสนามจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ จะได้รู้และมองโครงสร้างของความขัดแย้งออกว่าที่เราเห็นอยู่นี้ อยู่ในโครงสร้างอะไร ใครทะเลาะกับใคร จะได้เห็นว่าสิ่งที่เขากำลังเถียงกันอยู่คือเรื่องอะไร เหตุผลของความขัดแย้งอยู่ตรงไหน การชุมนุมมีแนวโน้มว่าจะเป็นอย่างไร
ส่วนนี้ต้องรู้จักคิดและพิจารณา เป็นพื้นฐานที่ต้องเรียนรู้ ถ้ามองเห็นเราก็จะรู้และมองสถานการณ์ออกว่าเรื่องราวในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะมีความรุนแรงเกิดขึ้นมั้ย ถ้ามีก็ถือเป็นการเตือนภัยให้สังคม เตรียมความปลอดภัยในการทำงานให้ตัวเอง"
หากมีการใช้ระเบิด สิ่งแรกที่ควรทำคือนั่งลงแล้วนิ่ง อย่าพรวดพราดหรือรีบวิ่งเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะอาจตกเป็นเป้าล่ออันตราย ถ้ามีการระเบิดซ้ำ การเรียนรู้จักวิธีป้องกันและดูแลตัวเองเมื่อเกิดเหตุการณ์คับขัน จึงถือเป็นอีกบทเรียนหนึ่งของนักข่าวภาคสนาม
"การทำงานตรงนี้มีสิ่งที่เรียนรู้ได้ตลอดเวลา ได้พัฒนาตัวเราไปเรื่อย จากที่ไม่รู้หลักเรื่องการหมอบ ตอนนี้ก็รู้มากขึ้นว่าเวลาหมอบ เขาไม่แนะนำให้หน้าอกชิดกับพื้นมากเกินไป แต่ข้อสำคัญเวลาลงสนาม ผมศึกษาไปถึงเรื่องเส้นทางด้วยว่าแถวนั้นเป็นอย่างไร มีทางหนีทีไล่มั้ย เวลามีเหตุฉุกเฉินอันตรายจะได้หลบทัน หรืออย่างน้อยๆ ถ้าเกิดความวุ่นวาย ตัวเราก็ต้องไม่ตกอยู่ในวงล้อมตรงกลาง อยู่มุมอับ หรือหลังพิงกำแพง หนีไม่ได้ต้องลงคลอง
ม็อบครั้งล่าสุด ทำงานเครียดทุกวัน ถามว่ากลัวไหม กลัว แต่สุดท้ายแล้วมันก็จะประมาณว่าถ้าเราไม่รายงานข่าวแล้วใครจะรายงาน ถ้าเราไม่ทำแล้วสังคมจะรู้เรื่องได้อย่างไร การเป็นนักข่าวภาคสนามเหมือนเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างหนึ่ง ถ้าคุณอยู่ คนอื่นก็จะได้รับรู้ สุดท้ายความภูมิใจที่ได้รายงานข่าวมันมีมากกว่าความกลัวตายของเรา" เสถียร เล่าอย่างภาคภูมิ
ฉะนั้น "ราชประสงค์ หน้าที่ และชีวิต" จึงเป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นจากความเอาใจใส่ต่องาน เป็นบันทึกการทำหน้าที่รายงานข่าวตลอดการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง กลางสมรภูมิเลือด ณ แยกราชประสงค์ ด้วยศักยภาพทั้งหมดที่เขาทุ่มเทเพื่อถ่ายทอดความจริงตรงหน้าออกสู่สาธารณชน
การรายงานข่าวครั้งหนึ่งๆ ภาพเหตุการณ์ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การทำงานสมบูรณ์พร้อมขึ้นได้ เกษม อินทปัทม์ หรือ "พี่เสม" ของน้องๆ ในแวดวงช่างภาพ คนหลังเลนส์ที่ทำหน้าที่รายงานเหตุการณ์จริงด้วยภาพ เป็นสื่อมวลชนที่ทำงานมาแล้วถึง 17 ปี
เขาเล่าว่านับแต่ปี 2543 ม็อบสมัชชาคนจน จนถึงวันนี้รวมแล้วเป็น 10 ปีของการทำภาพข่าวสายการเมือง ตระเวนทำข่าวม็อบมาแล้ว 1 ใน 3 ของงาน การจะถ่ายภาพแต่ละครั้งสิ่งที่ต้องคำนึงคือดูสถานการณ์ ดูอารมณ์ของคนที่ไปร่วมชุมนุม "ถ้าอารมณ์เขากำลังตึงเครียด เราก็ต้องเลี่ยงที่จะเข้าไป" ไม่อย่างนั้นแล้วอาจเกิดอันตรายขึ้นกับตัวเองได้
"การยกกล้องขึ้นถ่ายแต่ละครั้ง คนถูกถ่ายอาจจะกลัวว่าเราไปถ่ายภาพเขามาออกอากาศหรือเปล่า เป็นสายให้ใครมั้ย ยอมรับว่ากดดันมาก แต่งานมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอดเวลา ช่วงจังหวะที่ผู้ชุมนุมไม่มีปฏิกิริยากับเราก็มี แต่ถ้าเราเข้าไปถูกทาง เราเข้าไปที่แกนนำเลยก็จะทำงานได้ง่ายขึ้น"
คำว่า 'เลี่ยง' ของเขาคือการไม่เปิดเผยตัวว่าเป็นนักข่าวสังกัดไหน ไม่ใช่ไม่ภูมิใจ แต่เพื่อป้องกันภัยและหาความสะดวกในการทำงานด้วย
"ถ้าจุดไหนไม่มีความเคลื่อนไหว อยู่นิ่งๆ ผมมักจะไม่ได้ไป แต่ส่วนใหญ่จะได้ไปทุกที่ และมักเป็นทีที่เกิดความรุนแรง (ยิ้ม) สิ่งที่ถ่ายแต่ละครั้ง เริ่มจากต้องดูประเด็นข่าว อันดับแรกเราต้องรู้ว่าจะถ่ายใคร ถ่ายไปทำอะไร เป็นข่าวสั้นหรือเป็นสกู๊ป จะถ่ายอย่างไรให้มันมีคุณภาพ หรือหากชุลมุนมาก ผมขอแค่ได้กดกล้องให้บันทึก ได้ภาพ ได้เสียง แล้วก็ไปเกาะติดสถานการณ์ตรงนั้น ตามสิ่งที่กำลังเป็นประเด็นข่าว ถ้าสถานการณ์ตรงนั้นอันตรายมาก จริงๆ ผมว่ามันไม่คุ้มกับการที่จะเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง ถ้ายังไปทำวันหลังได้ ค่อยไป แต่กับบางงานที่จบแล้ว จบเลย ด้วยนิสัยของความเป็นสื่อมวลชน งานนั้นก็ต้องเสี่ยงเข้าไปเอาความจริงออกมาเผยแผ่ให้คนรู้
ผมถือคติอย่างหนึ่งว่าเวลาออกไปทำงาน ผมไปถ่ายภาพมาเพื่อทำข่าว เพราะฉะนั้นใครจะพูดอะไรมาก็ไม่มีผลอะไร ไม่สามารถโน้มน้าวเราได้ ผมก็ทำงานของตัวเอง ออกไปแสวงหาความจริง ณ สถานที่จริง ออกไปทำงานเพื่อให้ภาพให้ผลงานเป็นประโยชน์กับสังคม คนทำข่าว หากรักที่จะทำข่าว การนำเสนอความจริงเท่านั้นแหละ ที่จะทำให้ยืนอยู่ได้"
การเสี่ยงเข้าไปตรงนี้ เกษม บอกว่า ต้องรู้หลัก และมีอุปกรณ์อย่างเสื้อเกราะ หมวกเหล็ก รองเท้าที่กันเศษแก้ว เศษตะปู ครบ และที่สำคัญคือต้องรู้จักแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า หากมีเหตุการณ์มายั่วยุอารมณ์
"เล่าหลังเลนส์ เบื้องหลังม็อบ" จึงเป็นงานข่าวที่คนทั่วไป รวมทั้งตัวผู้เขียนเองเรียกว่า 'ม็อบ' สะท้อนเรื่องราวของกลุ่มผู้ชุมนุม จุดมุ่งหมายของแกนนำ พฤติกรรม อารมณ์ และความรู้สึกแบบม็อบ ม็อบ ผ่านเลนส์กล้องคู่กายของช่างภาพมืออาชีพที่ไปเฝ้า กิน อยู่ กับม็อบมาหลากหลายเวทีจนภาพ เสียง กลิ่น ยังคงติดหู ติดตาจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้น จุดมุ่งหมายของหนังสือทั้ง 3 เล่มนี้ ผู้เขียนไม่มีอะไรมากไปกว่าต้องการตีแผ่ความเป็นจริงสู่สังคมและเป็นการบันทึกเหตุการณ์ทางการเมือง ซึ่งอีกไม่นานมันจะกลายเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งที่คนรุ่นหลังจะได้รับรู้นั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นไปได้แล้วคนข่าวภาคสนาม ก็หวังจะสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกัน เพื่อให้เกิดความปรองดองและยุติความขัดแย้งที่จะนำไปสู่ความรุนแรงเหมือนเช่นที่ผ่านมา และนำมาเป็นบทเรียนให้ประเทศฝ่าวิกฤติเดินหน้าไปให้ได้ 0
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.bangkokbiznews.com

