Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ธุรกิจหนังสือพระเครื่อง ใจรัก+ใจถึง+เงินถึง

 

 
วงการพระเครื่อง เป็นวงการที่ไม่ธรรมดาพอๆ กับวงการหนังสือโดยรวมที่ทางสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯบอกว่า ปีที่แล้วทำเงินไปกว่า 20,000,000 บาท
 
 
เพราะในอดีตเราต้องยอมรับว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่มองวงการพระเครื่องเป็นแวดวงนักเลง วงการของคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบายที่จะหลอกลวงขายพระปลอมพระเก๊ มีการฆ่ากันวุ่นวายไปหมดเรื่องแย่งพระชิงพระปล้นพระ
 
 กว่าจะล้างภาพเก่า สร้างภาพใหม่ได้ กว่าจะยกระดับวงการพระเครื่องฯได้ ต้องทำงานหนักอย่างหนัก ไล่มาตั้งแต่นายกสมาคมฯจนถึงกรรมการและบรรดาเซียนพระที่มีความรู้ มีความตั้งใจจริงทุกคน
 
 พอมาเจอคนทำหนังสือที่เห็นแต่เงินค่าโฆษณา เจอคนสร้างพระที่เห็นแก่ตัว คนทำงานจริงก็เหนื่อยใจครับ!!
 
พรรคพวกผมที่อยู่ในวงการทำนิตยสารพระเครื่องคนหนึ่ง บอกว่า ปัญหาแบบนี้มีอยู่จริงและต้องช่วยกันแก้ไขและจะว่าไปแล้วในภาพรวมของวงการธุรกิจหนังสือพระตอนนี้บูมพอสมควร แม้ว่าพฤติกรรมผู้นิยมส่วนหนึ่งจะเริ่มหันไปหาอ่านหนังสือพระเครื่อง หาซื้อหนังสือพระมือสอง หรือหนังสือพระเล่มเก่าๆ     เพราะยังสามารถอ่านไว้ประดับความรู้ได้ ข้อมูลยังไม่ล้าสมัย  แต่นิตยสารใหม่ๆ ยังขายได้ดี เพราะระบบการพิมพ์ดีขึ้น ภาพถ่ายพระเครื่องคมชัดมากขึ้น ทำให้ตรงจุดนี้ไม่เป็นปัญหา
 
 
เชื่อหรือไม่ว่า…มีเงินหมุนเวียนวงการโฆษณา สูงถึง 100-200 ล้านบาทต่อปี แยกเป็น โฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวัน สัปดาห์ละกว่า 3 ล้านบาท และหนังสือพระ ประมาณ 3 ล้านบาทต่อฉบับต่อปีนะครับ 
 
 
เพราะฉะนั้น จึงไม่น่าสงสัยว่าทำไมใครๆ ก็อยากทำหนังสือพระเครื่อง- แต่ถ้าทำแบบมั่วๆ ไม่คิดถึงส่วนรวมก็ต้องออกไปจากวงการหนังสือพระเครื่อง!!  ครับ-วงการพระเครื่อง เป็นวงการใหญ่โตมาก เงินสะพัดมากกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี เพราะราคาซื้อหาพระเครื่องขึ้นอยู่กับความพอใจของคนเช่าและคนปล่อยพระ…ไม่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย  ฯลฯ 
 
 
ลองคิดดูว่า อย่าง พระสมเด็จวัดระฆังฯพิมพ์พระประธาน ตอนนี้ราคาอยู่ที่องค์ละ 8,000,000 – 10,000,000 บาท ว่ากันตามสภาพของพระ หรืออย่าง พระกำแพงซุ้มกอ พิมพ์ใหญ่ ตอนนี้องค์ละ 3,000,000-5,000,000  บาท ราคาตามสภาพพระ  แล้วในตลาดพระยังมีพระดีๆ ราคาแพงๆ อยู่อีกเพียบ….เงินหมุนเวียนมหาศาลจริงๆ ครับ
 
 
รวมไปถึงยังมีธุรกิจเกี่ยวกับวงการพระเครื่อง และอยู่ควบคู่วงการพระเครื่องมากมายไม่ว่าจะเป็น  อุปกรณ์สะสม เช่น ตลับใส่พระ สร้อยคอ แหนบแขวนพระ กล่องใส่พระ รวมทั้งร้านทองรูปพรรณต่างๆ ที่รับเลี่ยมพระ และจำหน่ายกรอบพระ    ตลอดจนร้านจำหน่ายเครื่องเงิน ที่รับทำกรอบพระ และตลับใส่พระเครื่อง แม้แต่ช่างไม้ที่รับทำฐานรองพระบูชา เหล่านี้ ล้วนเป็นธุรกิจเกี่ยวข้องวงการพระเครื่อง   แนวโน้มเติบโต ควบคู่กับธุรกิจพระเครื่อง เช่นกัน 
 
 
ธุรกิจพระเครื่องและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เป็นธุรกิจหนึ่งในธุรกิจน่าจับตามอง เนื่องจากตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมาครับ 
และราคาพระเครื่องมี แนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะพระเครื่องเก่าหายากรุ่นแรกๆ ของพระเกจิอาจารย์สมัยก่อน แถมยังมี การโฆษณาประชาสัมพันธ์สร้างพระเครื่องและวัตถุมงคล รวมทั้งจัดประกวดพระเครื่อง ที่เกิดขึ้นมากมาย   ธุรกิจแผงพระ ก็มีผู้คนคึกคักมากขึ้น และผู้ประกอบธุรกิจแผงพระ เริ่มขยายธุรกิจมากขึ้น โดยเปิดกิจการหลายพื้นที่ รวมทั้งยังได้ปัจจัยหนุน จากการที่นักลงทุนชาวต่างประเทศ สนใจเช่าพระเครื่องและวัตถุมงคลจากไทย เพื่อนำไปให้เช่าต่อ สำหรับผู้สนใจพระเครื่อง และวัตถุมงคล ของไทยในต่างประเทศ 
 
ส่งผลธุรกิจพระเครื่องและหลากธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เงินหมุนเวียนคล่องตัวมากขึ้น บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเคยออกมาคาดการณ์ว่า   เงินธุรกิจพระเครื่องและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง สูงถึงกว่า 10,000 ล้านบาท เมื่อเทียบช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ   เพิ่มถึง 40% ธุรกิจเหล่านี้ ยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง ตามภาวะเศรษฐกิจ คาดว่าจะยังมีอัตราขยายตัวเฉลี่ยสูงถึง 10-20% ต่อปี     
 
ประเด็นน่าสนใจอย่างมากเท่าที่เซียนพระเล่าให้ผมฟัง คือ ธุรกิจพระเครื่อง   ไม่ได้เฟื่องฟูเฉพาะแต่ในไทย ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย และสิงคโปร์ ก็มีแผงพระเครื่อง ในมาเลเซีย มีแผงพระเกือบทุกรัฐ   แต่ละรัฐ จะมีแผงพระ 2-3 แผงอย่างน้อย ส่วนในสิงคโปร์ แผงพระกว่า 300 แผง  ในไต้หวัน ฮ่องกง หรือแม้แต่ยุโรป และสหรัฐฯ
 
โดยเฉพาะย่านที่มีคนเอเชียที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ แนวโน้มจะตั้งแผงพระ เนื่องจากพระเครื่อง เป็นที่นิยมกลุ่มคนต่างประเทศด้วย        
 
 
ส่วนหนึ่ง เนื่องจากการเผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ และเผยแพร่ข้อมูลของหนังสือพระเครื่องที่มีถึง 34   ฉบับปัจจุบัน ทำให้ชาวต่างประเทศเข้าใจเรื่องราวพระเครื่อง   รวมทั้งชีวประวัติเกจิอาจารย์ ดีขึ้น
 
 
ตอนนี้….วงการพระเครื่อง จึงเป็นวงการที่ไม่ธรรมดาพอๆ กับวงการหนังสือโดยรวมที่ทางสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯบอกว่า ปีที่แล้วทำเงินไปกว่า 20,000,000 บาทนั่นแหละครับ
 
 
ผมว่าเผลอๆ บูมกว่าด้วย-จะบอกให้ซึ้งนะ…อมิตพุทธ!!

ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : หนังสืิอพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ โดย : Mr.QC