Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ธรรมชาติ ตัวตน และผลงานของ ‘ศิเรมอร อุณหธูป’

 

             
 
          ถ้าจะให้กล่าวถึงชื่อของ ‘นักเขียนหญิง’ สักคน คงมีชื่อนักเขียนผุดกันออกมาเป็นล้านแปดชื่อ แต่ชื่อหนึ่งที่
สะกิดใจ      ‘นัดพบนักเขียน’    ในวันนี้    กลับเป็นชื่อของนักเขียนหญิงคนหนึ่ง   ที่แม้ผลงานของเธอนั้นจะปรากฏ
ออกมาน้อย   แต่ในจำนวนน้อยเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยคุณภาพ  และเป็นที่ตรึงตราน่าจดจำของเราเหล่านักอ่านได้
เป็นอย่างดี 
          เรากำลังพูดถึง  นักเขียนหญิงนามว่า    ‘ศิเรมอร อุณหธูป’    โดยผลงานของเธอนั้น     นักวิจารณ์วรรณกรรม
ต่างบอก เป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นนักเขียนที่มีความละเมียดละไมในผลงานมากคนหนึ่งในวงการวรรณกรรม  เราจึง
เจาะลึกถึงวิธีสร้างผลงาน พร้อมกับตัวตนของเธอที่น้อยคนนักจะได้รู้จักใน ‘ออล แม็กกาซีน’ ที่นี่ ที่เดียว
 
all : จบสายโบราณคดีมา แล้วมุ่งสู่ถนนสายวรรณกรรมได้อย่างไร
ศิเรมอร : ตอนนั้นทำนิตยสารอยู่ที่ตึกบีอาร์  โดยนิตยสารในเครือนั้นมีอยู่หลายฉบับ และห้องที่ตัวเองทำงานอยู่นั้น
ก็ติดกันกับห้องของนิตยสารลลนา ซึ่งตัวเองนั้นอยากที่จะไปทำนิตยสารลลนามาก  แต่ไม่มีโอกาส  เพราะเต็มแล้ว 
ต่อมาคุณสุวรรณี สุคนธา ซึ่งเป็นเพื่อนของพ่อ (ประมูล อุณหธูป เจ้าของนามปากกา ‘อุษณา เพลิงธรรม’) นั้น
เป็นบรรณาธิการนิตยสารลลนาอยู่ เขาบอก ‘เป๊ก เขียนเรื่องสั้นมา  เธอเป็นลูกพ่อ  เธอต้องทำให้ได้’  พอมีเวลาว่าง
จากการแปลงานเลยเขียนเรื่อง ‘นายกระจ่างกับนางยิหวา’แล้วพอส่งไปก็ได้ลง คือไม่มีการแก้ไข  พอไม่มีการ
แก้ไข เราก็รู้สึกว่า ดีจัง เราก็เริ่มทำต่อ จากนั้นก็เป็นเรื่อง‘โคมสี’และเขียนตามมาอีกเรื่อยๆซึ่งเวลาเรานั่งเขียนงาน
อยู่ที่บ้าน       มันมีความสุขค่ะ        มันเหมือนกับมีอะไรรินไหลลงมา       เพราะว่าจินตนาการกำลังออกดอกออกช่อ 
ซึ่งตอนหลังนี้ก็ไม่ได้สนใจงานแปลอีกเพราะว่าเราไม่ได้อยากทำจากงานคนอื่น เราอยากทำงานจากข้างในของเรา
จึงหยุดงานแปลไปโดยปริยาย
 
all : พอเข้าสู่ถนนสายนี้แล้ว กดดันไหมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกของ ‘ประมูล อุณหธูป’ 
ศิเรมอร : มันก็เป็นเส้นทางหนึ่งนะคะ ใคร ๆ ก็จะบอกว่า‘เป็นลูกพ่อ’ แต่คำพูดนี้ก็ผลักดันเราเหมือนกันนะคะ อย่าง
 ‘วารสารสวนแก้ว’ ก็ผลักดันเราว่า‘เป็นลูกพ่อต้องทำได้’ในขณะที่พี่ชายหรือน้องชายเขาก็ไม่ได้มายุ่งกับอักษร
ตรงนี้ ตอนเราเขียนแรก  ๆ ก็มักจะถูกมองว่า   เรามีท่วงทำนองภาษาที่คล้ายพ่อนะ   เพราะว่าเวลาพ่อดื่มจะเกาะโต๊ะ
อยู่กับพ่อเลย   เนื่องจากเวลาพ่อดื่มมักจะมีภาษาที่ไม่ใช่ภาษาพูด    แล้วเป็นภาษาที่สวยงาม พอพ่อดื่มทีไรต้องไป
เกาะโต๊ะฟัง    แล้วเราก็รู้สึกซาบซึ้งไปกับสิ่งที่พ่อพูด       เพราะนั้นเราจะได้ตรงนี้จากพ่อมามาก    โดยที่ว่าเราไม่ได้
อ่านงานพ่อเลยนะคะ(หัวเราะ)เพราะเราอ่านช้า ในขณะเรียน ม.7 ม.8 เพื่อนที่อยู่โรงเรียนราชินีจะบอกเราว่า เป็นลูก
คุณประมูล   โง่จังเลย   (หัวเราะ)  ทำไมไม่รู้จัก   ทำไมไม่อ่าน   ซึ่งเขาไม่ได้พูดนะคะว่า   ‘โง่จังเลย’  แต่ความรู้สึก
ของเรานั้น เราเหมือนถูกเพื่อนเหยียดว่าไม่อ่านงานพ่อ   พ่อเขียนดีจะตาย   ในตอนนั้นเราน่าจะยังไม่อดทนพอที่จะ
อ่านงานของพ่อให้จบด้วยค่ะ ก็เลยทิ้งไป แล้วพอมาอ่านทีหลังนั้น เราร้องโอ้โหออกมาเลย (ยิ้ม)
 
all : คุณพ่อให้คำแนะนำหรือสนับสนุนอะไรในวงการน้ำหมึกบ้างหรือเปล่า
ศิเรมอร : พ่อจะพูดตลอดเวลาว่าให้ไปทำงานอื่น   และมักจะบอกกับเราเสมอว่า   ‘นักเขียนไส้แห้งนะลูก’    ซึ่งคำ
แนะนำหรือสนับสนุนอะไรจากพ่อนั้นไม่มีเลย       เพราะพ่อไม่อยากให้เราดำเนินรอยตามท่าน    มันเลี้ยงตัวลำบาก 
แต่เผอิญตัวเราเองเป็นคนที่สมถะและไม่ทะเยอทะยานเราทำงานด้วยใจที่เรารักไป มันก็เลยทำมาโดยตลอด ไม่มี
อาชีพอื่นใดเกื้อหนุนเลยค่ะ           ได้เท่าไหนก็คือเท่านั้น       ทุกวันนี้ก็เขียนแค่นิตยสารดิฉันสองฉบับเป็นรายปักษ์ 
และนิตยสาร home & decor ทั้งหมดสามเรื่องก็อยู่ไป ไม่ได้คิดว่าจะได้เงินมาก ถ้างานเราไม่ดี เราก็ไม่ยอมปล่อย
 แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับเรา
 
all : การเข้ามาอยู่ในวงการวรรณกรรมถือเป็นการสืบทอดเจตนารมณ์ต่อจากคุณพ่อใช่หรือไม่
ศิเรมอร : มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ เป็นไปโดยธรรมชาติ ซึ่งเขาใช้คำว่า‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’มากกว่าการที่จะไป
สืบทอดอะไร    เราตกใต้ต้นพ่อก็เป็นลูกพ่อ     คนอื่นตกใต้ต้นแม่ก็เป็นลูกแม่      แต่ทุกอย่างมันเริ่มขึ้นมาอย่างเป็น
ธรรมชาติ ไม่ได้หวังว่าจะไปสืบทอดอะไรค่ะ
 
 
 
all : ผลงานส่วนใหญ่   ออกมาในรูปแบบของเรื่องสั้น  ทำไมถึงเขียนงานประเภทนี้มากกว่าประเภทอื่น ๆ
ศิเรมอร : เพราะว่าเราทำได้ เรารู้สึกว่าเราทำได้ เพราะไม่มีใครแก้งานของเราเลย พอรู้สึกทำได้แล้วมันก็แตกดอก
ออกช่อมาเรื่อย    ๆ   ไม่หยุดค่ะ    มันก็มาของมันเรื่อย   ๆ    จากเรื่องนั้นไปเรื่องนี้   แล้วเราก็ชอบค้นคำ     เช่นคำว่า 
‘อ่อนกัลยาประพีร์’   ซึ่งเราอยากจะให้มีคำด่าในสมัยก่อนปรากฏอยู่ภายในเรื่อง  ซึ่งตรงนี้ทำให้เราอยากจะพูดว่า
เด็กรุ่นหลังที่ถูกให้ใช้แค่พจนานุกรมฉบับนักเรียน      จะไม่สามารถเข้าไปได้ถึงคลังคำ    ซึ่งงดงามมาก    เราถึงขั้น
ติดงอมแงมเลย  เวลาอยู่ว่าง  ๆ   จะเปิดพจนานุกรม  แล้วเราก็รู้สึกว่า  โอ้โห   คำไทยมันทั้งเพราะและไพเราะทั้งนั้น
ถ้าใครเข้าถึงจะรู้เลยว่า   ความละเอียดอ่อนของคำไทยนั้นมีอยู่หลายระดับ  เมื่อเข้าถึงมันลึก  ๆ  แล้ว  ซึ่งความงาม
ตรงนี้เด็กไม่เคยได้สัมผัสเลย   เพราะฉะนั้นมันก็จะเหมือนกับเราถูกฆ่าตัดตอนจากภาษานั้นเลย  และใช้ภาษานั้น
เท่าที่มันเหลืออยู่    จากตรงนั้นเองจึงนำมาสู่การเขียนเรื่องสั้นในแบบฉบับของเราเอง      อาจจะติดรสพ่อด้วยมั้งคะ 
(หัวเราะ)    เพราะพ่อก็มีคำไพเราะใช้อยู่มากมาย   แต่ก่อนเราจะจดเอาไว้เลย    ไม่ว่าพ่อพูดอะไรก็ตาม   ก็จะจดมัน
ออกมา แล้วมันจะเข้าไปโดยอัตโนมัติค่ะ  ในช่วงเขียนเรื่องสั้นใหม่  ๆ  มีคนเคยบอกเราว่า  ยังติดสำนวนของพ่ออยู่ 
แต่ตอนหลังเขาก็บอกว่า หมดแล้ว เป็นศิเรมอรแล้ว ซึ่งเราก็ไม่รู้ตัวว่าเป็นตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่
 
all : งานเขียนของคุณมักให้ความสำคัญกับรายละเอียด ตัวละคร   และความรู้สึกของตัวละคร  ทำไมถึง
ให้ความสำคัญกับรายละเอียดต่าง ๆ เหล่านั้น
ศิเรมอร : อาจจะเป็นเพราะเราช่างสังเกตในจุดที่เขาไม่มองกัน   มักจะเป็นอย่างนั้นค่ะ    คือเรามองเห็นอะไรที่เพื่อน
เขาไม่เห็นกัน เพราะฉะนั้นเราจะอยู่ในโลกของเพื่อน    และอยู่ในโลกของตัวเองด้วย  ที่เราไม่มองข้ามสิ่งเล็กน้อย
เหล่านั้น       เพราะว่าในความเล็กและในความใหญ่สำหรับตัวเองแล้ว     เรารู้สึกว่ามันเท่ากันเราควรดูแลสิ่งเล็กน้อย
กะล่อยกะหลิบไปด้วยกันเหมือนกันกับสิ่งแวดล้อมของเราบ้านของเรา เราก็ต้องดูแลสิ่งแวดล้อมทั้งในบ้านของเรา
และรอบบ้านของเราด้วยใช่ไหมคะ   หรือแม้กระทั่งส่วนตัวกับส่วนรวม   ข้างนอกบ้านเรา       ก็ถือว่าเป็นสิ่งแวดล้อม 
เราก็ต้องยิ่งดูแลใหญ่ เพราะมันล้อมรอบบ้านของเรา สิ่งแวดล้อมรอบบ้านคือส่วนรวม ความเป็นสาธารณะทั้งหลาย
คือส่วนรวมแต่เรามักจะดูแลส่วนตัวให้ดูดี ดูสะอาด แล้วก็ขว้างส่วนที่ดูไม่ดีออกไป ดังนั้นเรื่องตรงนี้ทุกคนต้องช่วย
กันรักษาและดูแล     และการเป็นคนช่างสังเกตนี้เอง  จึงทำให้เกิดการสร้างตัวละครหลายต่อหลายตัวละครภายใน
เรื่องสั้น รวมถึงการใส่รายละเอียดต่าง ๆ ลงไปภายในเรื่องสั้นเหล่านั้น
 
all : นักวิจารณ์และนักอ่านพูดถึงกันมากเกี่ยวกับงานของคุณ   คือ   เน้นการเขียนเรื่องด้วยมุมมองของ
ผู้หญิง คุณตั้งใจให้เป็นแบบนั้นหรือเปล่า
ศิเรมอร : เพราะตัวเองเป็นผู้หญิง เราจะไปมองผู้ชาย เราก็ไม่สามารถ(หัวเราะ)เพราะเราไม่ใช่ผู้ชาย เราไม่ใช่คนนั้น
และมีอีกอย่างหนึ่งที่คนมักบอกเราว่าเหมือนเราเอาเรื่องของตัวเองมาเขียนใช่ ก็เรารู้จักตัวเราเอง เราไม่แสแสร้งว่า
ไปรู้จักคนโน้นคนนี้แล้วนำมาปั้น ปั้นไม่เป็นค่ะ (ยิ้ม) เราต้องเอาสิ่งที่เขียนออกมาจากข้างในของเราล้วน ๆพยายาม
สร้าง  สร้างมันขึ้นมา  สร้างเป็นเรื่องราว  แต่อาจไม่ใช่ทั้งหมด  ใช้แค่เพียงบางส่วนที่เราเข้าใจ      แต่ถ้าเราไม่เข้าใจ 
แล้วเราไปหยิบมา นำมาปั้นเพื่อที่จะเข้าใจ  ทำแบบนั้นมันไม่ใช่เรา    แค่ความรู้สึกก็ไม่ได้แล้ว  คนอื่นเขาอาจจะเก่ง
นะคะ แต่สำหรับเรา มันไม่ได้จริง ๆ ต้องค่อยเป็นค่อยไปในความรู้สึกของเราค่ะ
 
all : ถ้าจะให้สรุปตัวตนทางวรรณกรรมของคุณ     มันคือความเป็นตัวเองผสมผสานกับธรรมชาติ ถือว่า
ถูกต้องไหม
ศิเรมอร : มันต้องเป็นเราค่ะ ไม่เป็นคนอื่น แล้วก็ไม่อยากเป็นคนอื่นด้วย(หัวเราะ) เพราะว่าชีวิตก็เป็นของตัวเราเราก็
อย่าไปเป็นคนอื่นสิ ชีวิตเป็นของเรา เราก็ทำชีวิตของเราให้งดงามที่สุด หรือเป็นประโยชน์ที่สุดก็พอค่ะ
 
 
 
all : พูดถูกไหม ถ้าจะบอกว่า ‘ศิเรมอร’ คือนักเขียนแนวคิดสตรีนิยม 
ศิเรมอร :  ไม่เข้าใจตรงนี้  ไม่เข้าใจที่ใคร  ๆ  เขาพูดกัน  เพราะเรารู้สึกว่าเขาพยายามให้เราเป็น  แต่เรารู้ว่าเราอยาก
ทำงาน เราอยากทำงานแบบนี้  แล้วก็ทำออกมา  แค่นั้น  จบ  เราไม่ใช่อย่างที่เขาบอกกัน     เรารักธรรมชาติมากกว่า
จะรักและให้ความสำคัญกับผู้หญิง  โดยงานเรื่องสั้นตัวเองที่มักจะเป็นผู้หญิง  ก็เพราะเรารู้จักแต่ผู้หญิง  ความตื้นลึก
หนาบางของผู้หญิงเราก็รู้จัก แค่นั้น เราไม่เคยเป็นผู้ชาย เราเข้าไม่ถึงเขาหรอกค่ะ (ยิ้ม)
 
all : ในช่วงหลัง  เห็นงานวรรณกรรมของคุณน้อยลง   และเห็นบทความสุขภาพมากขึ้น  จะพูดได้เต็มปาก
ไหมว่าได้หันหลังให้วงการวรรณกรรมแล้ว
ศิเรมอร :  หัวใจมันย้ายที่ค่ะ    หัวใจมันย้ายมาทางบทความนี้   แล้วยังไม่ย้ายกลับ   เพราะเห็นว่าตรงนี้มีความสำคัญ
และประโยชน์มากกว่าจินตนาการแตกออกดอกช่อ แต่ก็มีเหมือนกันที่คิดถึงเรื่องสั้น ตอนแรกไฟที่จะเขียนเรื่องสั้น
มันก็โชน ๆ    ขึ้นมา    แต่เราไม่มีเวลาทำ   เพราะว่าเรื่องสั้นมันยากกว่างานบทความ      ซึ่งต้องทุ่มเทตรงนั้นมากกว่า 
เลยต้องหันเหค่ะ ความคิดที่จะเขียนเรื่องสั้นมันก็โชน ๆ อยู่เป็นพัก ๆ แต่พอเข้าไปแตะมัน   มันก็มอด  มันไม่ได้เชื้อ
มันก็รา   เราเป็นแบบนี้มาสัก   3 – 4   หนแล้วค่ะ   (หัวเราะ)   มีนิตยสารบางเล่มบอกให้เราเขียนสักที อยากอ่าน เราก็
พยายามนะ     แต่เดี๋ยวเราก็ต้องกระโดดไปโต๊ะบทความ      แล้วเรารู้ตัวว่าเรายังทำไม่ได้       เพราะต้องอยู่กับสิ่งใด
สิ่งหนึ่งก่อน     นอกเสียจากวันหนึ่ง   เราจะเลิกเขียนบทความสิ่งแวดล้อม   บทความเกี่ยวกับธรรมชาติทั้งหลาย
แล้วกลับมาอยู่กับตัวเองร่างกายของเราแก่ลงเรื่อยๆเราก็อาจจะอยู่นิ่ง ๆ แล้วเราก็บ่มงานของเราไป ใจจริงอยากทำ
เรื่องยาวค่ะ ซึ่งเรื่องสั้นนี่ ก็ไม่รู้จะทำได้อีกไหม เพราะเรื่องยาวมันแทรกเข้ามาก่อน (ยิ้ม)   แทรกเข้ามาให้เราได้จด
เอาไว้เยอะทีเดียว แต่เมื่อไหร่ก็ยังไม่ทราบเหมือนกันนะคะ ต้องรอเวลาค่ะ
 
all :  การทำงานในวงการวรรณกรรมให้อะไรกับคุณ 
ศิเรมอร :  ให้ชีวิต เพราะมันก็เป็นชีวิตจิตใจของเรา เหมือนกับว่าเราอาจจะไม่เคยทำงานอย่างอื่น  เพราะว่าเราพึงใจ
กับสิ่งที่เราทำตรงนี้ แม้ค่าตอบแทนอาจจะไม่ได้สูง ค่าตอบแทนสูงๆ หรือเงินไม่ได้มีความหมายความหมายของมัน
อยู่ที่ เรามีความพอใจในสิ่งที่จะทำรักที่จะทำ มีความสุขที่จะทำ พอแล้วเงินเป็นเพียงแค่ส่วนประกอบ ความเป็นงาน
ต้องมาก่อน ไม่ใช่เงิน   เราไม่ควรวางค่าของเงินมากกว่าเนื้องานหรือชีวิตจิตใจ  งานจะต้องนำทุกอย่าง    อย่าให้เงิน
นำเรา ไม่อย่างนั้น ‘พัง’ ค่ะ   (หัวเราะ)   พังทั้งชีวิตและจิตวิญญาณของเราเลย  ไม่ใช่พังตื้น ๆ ระบบความคิดก็จะพัง 
ทุกสิ่งทุกอย่างจะพังไปหมด เพราะเราโลภ คิดว่านั่นคือความสุข แต่ไม่ใช่เลย ทำไมเขาถึงคิดว่ามันคือ ‘ความสุข’
เราก็งงค่ะ     เขาลนลานเพื่อให้ตัวเลขในแบงค์มันถีบตัวสูงขึ้นและบูชากันตรงนั้น  ถ้าคิดแบบนี้ ถือว่า  ‘จบ’   เลยค่ะ 
คุณค่าไม่เหลือเลย นี่คือ ‘ความรู้สึกส่วนตัว’ ของเรา
 
all : ในฐานะที่เคยเป็นบรรณาธิการนิตยสาร เรื่องสั้นที่ดีในสายตาของคุณเป็นอย่างไร
ศิเรมอร : มันบอกไม่ได้ค่ะ   บางคนไม่ต้องเขียนอะไรมากหรอก  แค่มีอะไรเล็ก  ๆ  น้อย  ๆ   อยู่ในนั้นก็เพียงพอแล้ว 
ทุกเรื่องสั้นที่มีจุดอะไรก็ได้เล็ก ๆ  แล้วเกิดพองได้ในหัวใจคนอ่าน  เรื่องนั้นถือว่างามแล้ว งามด้วยรสของความรู้สึก
ที่คนอ่านจับต้องได้ งามด้วยรสของสาระที่แฝงอยู่ภายในนั้น แม้จะเพียงเล็กน้อยก็งามพอแล้ว งามเพราะความพอดี
ของเรื่องนั้น     ๆ    เรื่องสั้นที่ดีไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่     หรือต้องได้รางวัล        คนอ่านเราเพียงคนเดียวนี่ถือเป็น
‘รางวัลสุดยอด’ แล้ว     งานคือการทำเพื่องาน    ไม่ได้ทำเพื่อรางวัล    เดี๋ยวรางวัลมันก็มาเอง    ปล่อยให้มันไปเป็น
ธรรมชาติ อย่าปล่อยให้สิ่งเหล่านี้มาครอบงำเราเด็ดขาด เราต้องทำงานเพื่อเนื้องานของเรา ทำงานด้วยความรัก 
ทำงานเพื่อประโยชน์ สาระนิดหน่อย ให้หล่นเข้าไปถึงหัวใจของคนอ่าน เราก็ถือว่าเราทำงานสำเร็จแล้ว
 
นัดพบนักเขียน : ยุทธชัย สว่างสมุทรชัย
ภาพ : พศิน สาทสนิท
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.all-magazine.com