ซุสุกิ โคจิ สตีเฟ่น คิง เวอร์ชั่นญี่ปุ่น

ซุสุกิ โคจิ ซุสุกิ โคจิ ซุสุกิ โคจิ ซุสุกิ โคจิ ซุสุกิ โคจิ ซุสุกิ โคจิ ซุสุกิ โคจิ ซุสุกิ โคจิ…
คำคำนี้วนเวียนอยู่ในหัวมากมายในช่วงหนึ่ง
ช่วงนั้นคือ ช่วงก่อนที่จะได้พูดคุยกับชายผู้นี้ ผมแอบทำแบบสำรวจในใจตัวเอง
อย่างลับ ๆ โดยลองถามคนสนิทใกล้ตัวว่า รู้จักนักเขียนนามกระเดื่องชาวญี่ปุ่นที่มีนามว่า ซุสุกิ โคจิ หรือไม่ ?
จากการถามไถ่หลาย ๆ คน คำตอบคือ ความฉงนฉงายว่าเขาเป็นใคร ?
แต่พอผมเฉลยว่า เขาคือ คนเขียนวรรณกรรมญี่ปุ่นที่มีผลงานชิ้นโบแดงก็คือ ซีรีส์หนังสือเบสต์เซลเลอร์ชุด "ริง" ที่โด่งดังจนนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ทั้งเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและฮอลลีวูด
คงจำภาพติดตาคลาสสิกที่มีผีคลานออกมาจากโทรทัศน์กันได้นะ ต้นกำเนิดมาจากโคจินั่นล่ะ
ทุกคนที่บอกว่าไม่รู้จัก ซุสุกิ โคจิ ต้องร้องอ๋อ…รู้แล้วว่าเขาเป็นใคร
จากปี 1990 ที่ซุสุกิเริ่มเขียนนิยายเรื่องแรกที่มีชื่อว่า "แดนสวรรค์" จนมาถึงวันนี้เขาได้ผลิตวรรณกรรมออกมามากมายที่แปลเป็นภาษาไทยในตอนนี้มีทั้งหมด 6 เล่ม ได้แก่ ริง คำสาปมรณะ, สไปรัล พันธุ์อาถรรพ์, ลูป พิศวงโลกเหนือจริง, เบิร์ธเดย์ ปริศนาของผู้สูญหาย, ปริศนาใต้บาดาล, แดนสวรรค์ และ แสงสว่างใต้ทะเลลึก (ทั้งหมด
ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์เจ-บุ๊ค)
แนวงานเขียนของเขาเป็นงานเขียนแนว… เอ่อ ไม่รู้จะระบุว่าแนวไหนดี อันที่จริงแม้คนจะนิยามว่า นี่คือแนวสยองขวัญแบบญี่ปุ่น (J-Horror) แต่ซุสุกิบอกว่า เขาไม่ใช่นักเขียนแนวทางนั้นเสียทีเดียวนัก เพราะพื้นฐานความเชื่อของเขาอยู่บนความเป็นวิทยาศาสตร์ นิยายของเขาอธิบายความน่ากลัวบนพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่สิ่งลี้ลับ
แต่เขายินดีที่ทางฝั่งตะวันตก ที่เมื่ออ่านงานของเขาแล้วยกให้เขาเป็น "สตีเฟ่น คิง แห่งญี่ปุ่น"
หนุ่มใหญ่ผู้เรียนทางด้านวรรณคดีฝรั่งเศส คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคโอผู้นี้ชื่นชอบการเล่าเรื่องมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นหนุ่ม ๆ เขารู้สึกประทับใจในการเล่าเรื่อง
สนุก ๆ โดยเฉพาะเรื่องน่ากลัว ๆ ให้คนหนุ่มคนสาวฟัง นี่จึงเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาเดินทางบนเส้นทางนักเขียน
"ผมคิดว่าคนหนุ่มสาวชอบฟังเรื่องน่ากลัว ผมได้รับแรงบันดาลใจเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ว่าจะเขียนนิยายที่สนุกในจำนวน 500 หน้าให้ได้ วิธีการเขียนไม่ได้คิดพล็อตเป็นทางการ แต่ใช้การพิมพ์สด ๆ เลย ผมไม่เคยคิดว่าจะเขียนเรื่องสยองขวัญเลย เพียงแต่คิดจะเขียนเรื่องที่สนุก"
หลังจากที่เขาเขียนเรื่อง "แดนสวรรค์" แล้วได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดนิยายแฟนตาซีในปี ค.ศ. 1990 โคจิจึงนำบทนิยายที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้ 1 ปี เสนอตามสำนักพิมพ์ดู นิยายที่ว่าคือเรื่อง "ริง คำสาปมรณะ" ที่สำนักพิมพ์เอโดกาว่าให้โอกาส ตีพิมพ์ในปี 1991
"เจตนาเริ่มต้นที่ผมเขียนนิยายเรื่อง "ริง" ผมไม่คิดว่านี่คือนิยายแนว Horror แต่เมื่อ บก.ที่ได้อ่านหนังสือบอกว่า นี่ล่ะใช่แนว Horror ผมตกใจมาก กว่าจะตีพิมพ์เป็นรูปเล่ม ใช้เวลา 2 ปี ซึ่ง บก.ประจำตัวผมชอบนิยายเรื่องนี้มาก เขาบอกกับผมว่า จะต้องเขียนเล่มต่อได้อย่างแน่นอน ความจริงแล้วผมไม่คิดจะเขียนเรื่องต่อเลย (นิยายเรื่องต่อเลยคือ "สไปรัล พันธุ์อาถรรพ์") แต่ บก.บอกให้ลองเขียนให้ได้ ผมก็เลยลองเขียนดู"
พอนิยายเรื่อง "สไปรัล พันธุ์อาถรรพ์" ถูกตีพิมพ์ หนังสือเล่มนี้กลายเป็นนิยายเล่มแรกของเขาที่ขายได้ถึงล้านเล่ม จนทำให้ซีรีส์ "ริง" โด่งดังเป็นพลุแตก คราวนี้ทางสำนักพิมพ์จึงขอให้เข้าเขียนภาคสามต่อเลย นั่นคือ "ลูป พิศวงโลกเหนือจริง" อันที่จริง โคจิ ตั้งใจให้ซีรีส์นี้จบแค่สามภาคนี้ แต่มีเกร็ดสนุก ๆ เล่าให้ฟังถึงที่มาของ "ริง" ภาคพิเศษที่มีชื่อว่า "เบิร์ธเดย์ ปริศนาของผู้สูญหาย" ว่าเกิดจากการร้องขอของผู้บริหารในสำนักพิมพ์เอโดกาว่า
"ตอนแรกคิดจะเขียนเล่มเดียวคือ ริง แต่ก็ต่อไปจนถึง สไปรัล และ ลูป ผมก็คิดว่าควรจะให้จบแค่เล่มลูป แต่ว่าลูปก็กลายเป็นเบสต์เซลเลอร์ที่ญี่ปุ่นอีก บุคคลระดับ
ผู้บริหารจึงชวนไปกินสุกี้ยากี้ แล้วผมถูกชวนไปร้านสุกี้ยากี้ที่ราคาแพงมาก ผู้บริหารของสำนักพิมพ์เอโดกาว่าเลยถามว่า ริง ยังไม่จบแค่นี้ใช่ไหม ? ผมบอกว่า จบแล้ว แต่
ผู้บริหารบอกว่า เป็นไปไม่ได้ ต้องเขียนได้ แล้วผมก็เลยเขียนภาคพิสดารขึ้นมาอีกเล่มนั่นก็คือ เบิร์ธเดย์ เพราะเขาเลี้ยงสุกี้แล้ว ก็เลยต้องตอบแทน (หัวเราะ)"
มาถึงวันนี้ โคจิ เขาตีพิมพ์งานชิ้นล่าสุดแล้ว นั่นคือ เรื่อง "Edge" (ในตอนนี้ยังไม่แปลเป็นภาษาไทย)
เนื้อหาของนิยายก็ยังน่าสนใจอยู่เช่นเคย เพราะเขาพูดถึงเหตุการณ์ในปี 2012 ที่กล่าวถึงหายนะจักรวาลตามสไตล์ของโคจิ
"เหตุการณ์ในเรื่อง Edge เป็นเรื่องราวของโลกในปี 2012 พูดถึงเหตุการณ์ปริศนา 3 ประการ นั่นคือ เหตุการณ์คนหายตัวไปอย่างลึกลับที่อเมริกา เหตุการณ์ที่สองก็คือ เครื่องซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดคำนวณ ค่า Pi ซึ่งที่จริงเป็นทศนิยมไม่รู้จบ แต่พอคำนวณไปมาก ๆ ทศนิยมกลับเป็น 0 ซึ่งเป็นค่าที่บิดเบี้ยว ส่วนเหตุการณ์ที่สามเกิดขึ้นที่ฮาวาย ที่หอดูดาวซูบารุของญี่ปุ่น พบปรากฏการณ์ดับสลายของดาวที่ไกลออกไปที่แปลกประหลาดมาก การหายไปของดาวไม่ได้ระเบิด อยู่ดี ๆ ก็หายไปเลย ทั้งสามเหตุการณ์นี้เป็นกุญแจสำคัญในการคลี่คลายปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับจักรวาล…
…แม้ในเรื่องนี้ใช้ทฤษฎีคณิตศาสตร์และฟิสิกส์เข้ามาอธิบาย แต่แก่นเรื่องไม่เข้าใจยากขนาดนั้น เพราะเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกสาว ตอนที่โลกเกิดปรากฏการณ์ประหลาด พ่อได้บอกกับลูกสาวเขาว่า ในอนาคตเบื้องหน้าเธอมีปัญหาสังคมมากมายที่ต้องเผชิญ การที่เราจะหาคำตอบต้องเข้าใจโครงสร้าง ที่มา ว่าโลกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ? แล้วพ่อสอนลูกว่า การคลี่คลายปัญหาโลกมีสามอย่าง คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ แล้วก็ปรัชญา ซึ่งเป็นความคิดส่วนตัวของผมที่ผมเอามาเป็นแก่นในการเขียนเรื่อง ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่า โลกนี้ควรจะเป็นอย่างไร มีความคิดเห็นต่อประเด็นนี้ตลอดเวลา เมื่อเอาความคิดเห็นเหล่านี้มารวมกันก็จะเป็นแก่นในนิยายที่ผมเขียน"
ว่าแต่ว่า นิยายเรื่องนี้ไม่ได้เกาะเทรนด์ฮิตที่ว่ากันว่าโลกจะเกิดหายนะในปี 2012 นะ…
"ไม่ใช่ครับ ผมเขียนพล็อตนิยายเรื่องนี้ไว้นานมากแล้ว แล้วผมก็ไม่รู้มาก่อนว่ามีการทำนายในปี 2012 อยู่ เพียงแต่ว่านิยายผมเสร็จในช่วงเวลานี้พอดี ผมจึงวางโครงเรื่องไว้ที่ปี 2012 แต่พอมาเห็นหนังเรื่อง 2012 เมื่อปีที่แล้ว ผมแปลกใจมาก ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ แต่งานของผมไปไกลกว่านั้นนะ เพราะ 2012 พูดถึงเรื่องโลกแตก แต่นิยายของผมพูดถึงจักรวาลที่กำลังจะสลายนะ (หัวเราะ)"
โคจิเผยเคล็ดลับที่ทำให้งานของเขาเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางว่า…
"มีหลายสาเหตุ แต่ที่สำคัญคือ ผู้ใช้ภาษาควรจะมีความกล้า ผมเชื่อว่า ภาษาที่บอกเล่าด้วยความกล้าจะสามารถดึงดูดจิตใจผู้คนได้ การที่เราเล่าเรื่องอะไร เช่น เล่าว่าดอกไม้สวย จะมีคนเถียงว่าไม่สวย ทันทีที่เราบอกเล่าอะไรบางอย่างก็จะมีคนมาคัดค้าน การใช้ภาษาบอกเล่าอาจจะบอกว่า ดอกไม้มันสวยสำหรับคนที่คิดว่าสวย ไม่สวยสำหรับคนที่คิดว่าไม่สวย การพูดแบบนี้เป็นการพูดที่กำกวม ไม่ชัดเจน ไม่ใช้ความกล้าก็พูดได้ แล้วการพูดแบบนี้ไม่ก่อให้เกิดการถกเถียงกัน ผมอยากจะถ่ายทอดเรื่องราวใหม่ ๆ อยู่เสมอ ซึ่งต้องใช้ความกล้าเป็นอย่างมาก อยากจะบอกสิ่งที่ไม่เคยบอก ผมชอบที่จะเป็นเช่นนั้น…
…หากอ่านหนังสือสักเล่มแล้วรู้สึกสบายใจ แสดงให้เห็นว่า เราเคยอ่านเนื้อเรื่อง
ทำนองนี้หลายครั้ง อย่างสมมติเราเชื่ออะไรบางอย่าง พอเราอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง แล้วสามารถทำให้เราละทิ้งความเชื่อได้ ก็จะเกิดความไม่มั่นใจไปพร้อมกับความสนุก ซึ่งผมหวังให้หนังสือผมจะเป็นเช่นนั้น นั่นคือความท้าทาย"
แม้ว่าเรื่องราวในนิยายของซุสุกิจะพูดถึงมหันตภัยต่าง ๆ เพียงใด แต่ส่วนตัวเขาคิดว่า ไม่ว่าโลกจะเป็นอย่างไร เราต้องเข้มแข็งเพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าให้ได้
"ขอให้นึกภาพโลกที่เราอยู่ เราเดินอยู่ที่ขอบพร้อมที่จะหล่นได้ทุกเมื่อ แต่เราไม่มีทางเลือก ต้องเดินทางไปข้างหน้าเท่านั้น เพราะแม้ว่าเราจะนึกถึงสิ่งดีงามในอดีตอย่างไร เราก็ไม่สามารถย้อนกลับไปจุดนั้นได้ เราเดินอยู่ที่แคบ ๆ พร้อมจะตกขอบได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้นเราต้องทรงตัวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ทางที่เราเดินไปมีสิ่งน่าสนใจรออยู่ คุกคามเราอยู่ เพราะมีหลุมพรางหลอกล่อว่ามีสวรรค์อยู่ข้างหน้า แล้วก็ยังมีหลุมพรางยั่วยวนให้อยากย้อนกลับไปอดีตเพราะเชื่อว่าอดีตดีกว่า แต่เราต้องไม่สนใจ ผมเชื่อว่ามีปัญหามากมายในสังคมปัจจุบัน เราต้องต่อสู้และเดินหน้าต่อไป ผมคิดอย่างนี้มานานแล้ว จนถึงวันนี้ก็ยังคิดเช่นนี้อยู่…
…มนุษย์อาจจะล่มสลายในตอนไหน ไม่มีใครรู้ได้ แต่เราไม่ควรล้มเลิกความตั้งใจที่จะใช้ชีวิตให้เต็มที่ เราควรพยายามหาคำตอบว่าควรใช้ชีวิตเช่นไร"
แม้เขาจะเขียนนิยายแนวกดดันจิตใจ แต่ท้ายที่สุดโคจิเผยออกมาว่า เขาอาจจะเขียนนิยายแนวอื่นบ้าง
"ตอนนี้ผมอยากคิดที่จะเขียนผลงานที่มีอิทธิพลในด้านดีแล้วครับ หลังจากที่เขียนนิยายแนวน่ากลัวออกมามาก"
(หน้าพิเศษ D-Life)
คอลัมน์ EXCLUSIVE INTERVIEW
โดย ณัฐกร เวียงอินทร์/ภาพ … sunaonne
วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4202
จาก : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ