Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ซะการีย์ยา…เมื่อเข้าใจพื้นที่…จึงจะมี “วรรณกรรม” :จากนิตยสาร นิสา

ซะการีย์ยา…เมื่อเข้าใจพื้นที่…จึงจะมี “วรรณกรรม”

                   เมื่อกวีเยือนถิ่นกำเนิดปลายด้ามขวาน จึงมีโอกาสได้พูดคุยถามไถ่เรื่องราวบางอย่างจากเขา  “แม้จะไม่มีกินอย่างไร ผมอนุญาตให้เป็นสิ่งฟุ่มเฟือยของชีวิตจนถึงทุกวันนี้”  คือคำยืนยันถึงความรักและหลงใหลในตัวอักษรของซะการีย์ยาเป็นอย่างดี

                เขาบอกว่าการอ่านบทกวี คือ การตีความ ตอนที่อยู่อินเดียเขาจะเขียนบทกวีช่วงกลางคืน โชคดีที่เขามีคุณตาคอยสอนอ่านคัมภีร์อัลกุรอานตอนเด็ก  ทำให้มีการขบคิดมากกว่าการใช้อารมณ์ เมื่อมาอ่านบทกวีจึงเป็นการทำความเข้าใจที่ต่างจากการอ่านหนังสือ  และโชคดีที่มีพี่สาวและน้าเรียนหนังสือทำให้เขาได้รู้จักหนังสือต่างๆและอ่านมาตั้งแต่นั้น

                “จะอ่านทุกเรื่องที่มีโอกาสได้อ่าน เรื่องที่เป็นแรงใจในการอ่านตั้งแต่อยู่ชั้นป.4 คือ “แผ่นดินนี้เราจอง” เป็นเรื่องราวของสิทธิพลเมืองที่จะต้องรู้สิทธิ์ของตนเองจะได้ไม่ถูกเอาเปรียบ  และต้องมีความกล้าหาญที่จะใช้กฎหมาย ซึ่งนำมาใช้ได้กับสถานการณ์ปัจจุบันที่ดำเนินอยู่ของแผ่นดินนี้  และจะเห็นได้ว่าอัลกุรอานสอนให้อ่านชีวิต  อ่านโลก  อ่านเพื่อครุ่นคิด  พ่อแม่ควรปลูกฝังลูกตั้งแต่เล็กให้รักการอ่าน มีหนังสือและสร้างบรรยากาศการอ่านในบ้าน  สักวันเขาจะเป็นนักอ่านที่ดี”

                ความจริงที่ซะการีย์ยาเป็นคนพื้นที่ชายแดนใต้  บ้านแคแระ  อ.บาเจาะ  จ.นราธิวาส  หากเขาจากบ้านเกิดไปสู่ถนนการศึกษานับเป็นสิบปี  เรื่องราวที่เกิดขึ้นในพื้นที่บ้านเกิดยังเป็นสิ่งที่เขาบอกว่ายังไม่เข้าใจเช่นกัน  และยังไม่สามารถบอกเรื่องราวบางอย่างผ่านงานเขียนหรือบทกวีได้ หากยังไม่เข้าใจถ่องแท้  เขาบอกว่าคนที่สามารถเล่าเรื่องเหล่านี้ได้ คือ คนในพื้นที่ที่เข้าใจสถานการณ์และความเป็นจริง  เขาเน้นว่ามุสลิมมีความสามารถด้านงานเขียนไม่ด้อยไปกว่าใครเช่นกัน

                “แม้ว่าผมไม่ได้อยู่บ้านอย่างจริงจังเสียนาน  แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องราวสถานการณ์ที่เกิดขึ้น  ความตายที่สามจังหวัดของเราไม่ใช่เรื่องของศาสนา  ผมมองไปไกลกว่าเรื่องของชาติพันธุ์และศาสนา  สิ่งที่เกิดขึ้นละเมิดความเป็นมนุษย์  ปัญหาจึงเกิดตามมา  รากของผมผมไม่ปิดบัง พร้อมบอกเสมอว่าเกิดและเป็นคนในพื้นที่นี้ เมื่อตอนเด็กกลัวเจ้าหน้าที่รัฐ เม่อโตขึ้นรู้ว่าไม่ต้องกลัวใคร ตราบใดที่ยังมีบัตรประชาชนที่ใช้สิทธิพลเมือง รู้หน้าที่ของเรา ใช้สิทธิของเรา หากเราไม่รู้ก็จะถูกกดขี่และถูกเอาเปรียบ

                คนที่นี่ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายไปกว่าการได้ปฏิบัติศาสนกิจ ส่งลูกเรียนหนังสือและมีงานทำ  เป็นชีวิตที่เรียบง่าย  เรื่องของการมีความรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญ  เมื่อมีการศึกษาทุกคนจะคิดเองได้  สามารถประเมินได้ว่าเรื่องไหนจริงหรือไม่จริง  ตัดสินใจเลือกหรือชอบได้  เมื่อมีความรู้จึงจะมีความเอื้ออาทรต่อมนุษย์และจรรโลงสังคมโลก   หากไม่มีการศึกษาก็ไม่มีการเปิดโลกทัศน์  ยิ่งการอ่านหนังสือจะมองเห็นความเป็นมนุษย์และสามารถหลุดพ้นจากอะไรได้หลายๆอย่าง”

                ใครๆอาจคิดว่าการได้รับรางวัลของเขาเป็นการเปิดโอกาสให้นักเขียนและกวีมุสลิมได้มีพื้นที่ทางงานเขียนมากยิ่งขึ้น หากซะการีย์ยามองในมุมที่ต่างกัน  “การที่ผมได้รับรางวัลอาจเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจบอกเล่าเรื่องราวมากขึ้นแต่ไม่ใช่การเปิดโอกาสของนักเขียนและกวีมุสลิม  เพราะโอกาสเปิดมานานแล้วแต่เราไม่เขียน ไม่นำเสนอเองมากกว่า พื้นที่ของงานวรรณกรรมเปิดให้ทุกศาสนา  ไม่มีการปิดกั้นหากมีฝีมือและความสามารถ มีพื้นที่พร้อมเสมอในการตีพิมพ์บทกวี  ถ้าผมยังคงไม่เข้าใจเรื่องของพื้นที่ดีพอเพราะยังต้องทำความเข้าใจว่าจะฟังหรือจะเชื่อใครดี ผมยังไม่เชื่อใครเพราะมีความซับซ้อน สิ่งที่ผมอ่านและเห็นยังไม่ละเอียดมากพอ  ผมก็จะไม่เขียนเรื่องในพื้นที่  สิ่งที่เกิดขึ้นนำไปสู่การเล่าเรื่องได้โดยที่คนในที่ต้องเล่าเรื่องของตัวเองออกมา  คนในพื้นที่ไม่ได้ด้อยความสามารถไปกว่าใคร”

                เขาบอกว่า  งานกวีเป็นเป็นต้องครุ่นคิดตลอดเวลา  แม้ไม่ได้รางวัลก็จะทำงานนี้ไปตลอดชีวิต  รางวัลเป็นเพียงสิ่งตอบแทนความมุ่งมั่นของเขาเท่านั้น  เขายังอยากเล่าเรื่องผ่านนวนิยายและเรื่องสั้น  พร้อมค้นหาวัตถุดิบมานำเสนอผ่านถ้อยอักษร

                “ตั้งใจเขียนเรื่องสั้นแต่ยังไปไม่ถึงไหน ยังไปไม่ถูกทาง อยากเล่าเรื่องราวของบ้านเกิดซึ่งไม่ใช่เรื่องราวความขัดแย้ง  เป็นเรื่องราวชีวิตของผู้คนที่น่าสนใจมากกว่า  ตอนนี้ผมยังต้องศึกษาความเป็นมาและข้อมูลจากหลายๆด้าน  แล้วค่อยสื่อให้คนข้างนอกได้รับรู้เรื่องราวที่นี่ผ่านงานวรรณกรรม”

                “คนทำงานเขียนไม่ร่ำรวยนอกจากต้องดังอย่างเดียว  ยิ่งเป็นนักเขียนในเมืองไทยยิ่งต้องอดทนกับชีวิตที่ไม่สะดวกสบายมากนัก  ความสำเร็จไม่ได้มาชั่วข้ามคืน  เวลาจะช่วยฝึกปรือฝีมือไปในตัว  อยากให้งานของผมเป้นงานที่อ่านได้เสมอ แม้ผมตายไปเป็นร้อยปีแล้วก็ตาม”

                เรื่องราวที่เขาสื่อสารผ่านบทกวี เขาไม่คิดว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ได้  หากช่วยบรรเทาเบาบางได้เพียงน้อยก็ชื่นใจ “ผมคิดว่าบทกวีของผมทำได้แค่ให้ผลทางความคิดและให้ความหวังได้ใฝ่หาสันติภาพและช่วยกระทบใจปลุกสำนึกได้บ้างแต่คงไม่สามารถไปแก้ไขปัญหาที่ใหญ่ได้” ซะการีย์ยาหวังไว้แค่นั้น และความหวังท้ายสุดของชีวิตคือ “อยากกลับมาทำงานที่มีบรรยากาศดี มีภูเขา ทุ่งนา ธรรมชาติยังบริสุทธิ์ ได้ทำงานเขียนอย่างมีความสุข คือความตั้งใจของผม”

:โต๊ะข่าวภาคใต้  สถาบันอิศรา

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

จากนิตยสาร นิสา คอลัมน์ Nisa infocus : เลขา เกลี้ยงเกลา