ชูวงศ์ ฉายะจินดา กับวันอำลาชีวิตนักเขียน

ในโอกาสที่ ชูวงศ์ ฉายะจินดา นักเขียนนิยายแนวพาฝันชื่อก้องของเมืองไทย เจ้าของผลงานนวนิยายที่ได้รับความนิยมจากผู้อ่านตลอดกาลอย่าง จำเลยรัก, ตำรับรัก, สุดสายป่าน, พระจันทร์แดง, เงาอโศก ฯลฯ ประกาศวางปากกาอำลาเส้นทางวรรณกรรมเป็นการถาวร หลังจากก้าวเดินบนถนนสายนี้มายาวนานกว่า 6 ทศวรรษ
นิตยสารสกุลไทย และสำนักพิมพ์เพื่อนดี จึงได้ร่วมกันจัดงาน 'จิบน้ำชากับราชินีพาฝันชูวงศ์ ฉายะจินดา' ขึ้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ณ ห้องเจ้าพระยา โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล พร้อมร่วมฟังการเสวนาสบายๆ จากใจ 'ชูวงศ์ ฉายะจินดา กับ 6 ทศวรรษบนเส้นทางวรรณกรรม' โดยมี อาจารย์พจมาน พงษ์ไพบูลย์ และสุวนันท์ คงยิ่ง มาบอกเล่าเรื่องราวในฐานะนักอ่านและนักแสดงที่ถ่ายทอดผลงานวรรณกรรมไปสู่งานละครโทรทัศน์ยอดนิยม ดำเนินรายการโดย นิเวศน์ กันไทยราษฎร์
นอกจากนี้ยังมีเพื่อนพ้องน้องพี่และนักเขียนชื่อดังมาร่วมพบปะกันอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น กฤษณา อโศกสิน, ปราศรัย รัชไชยบุญ (นิดา), คุณหญิงกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ, ประภัสสร-ชุติมา เสวิกุล, ชมัยภร แสงกระจ่าง, รศ.ดร.คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์, ยุวดี ต้นสกุลรุ่งเรือง, กนกวลี พจนปกรณ์, ผศ.ดร.ญาดา อารัมภีร, โบตั๋น, นรีภพ สวัสดิรักษ์, พนิดา ชอบวณิชชา, มณฑา ศิริปุณย์ ฯลฯ ซึ่งแม้บรรยากาศภายในงานจะเต็มไปด้วยความอบอุ่นแต่ทุกคนก็อดรู้สึกเศร้าใจลึกๆ ไม่ได้ว่าต่อไปนี้จะไม่ได้เห็นนวนิยายเรื่องใหม่ของเธออีก
เจ้าตำรับนิยายรักพาฝัน ชูวงศ์ ฉายะจินดา กล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแสดงความปลาบปลื้มปีติเป็นที่สุดว่า…
"งานนี้คงจะไม่อบอุ่นมากขึ้นเช่นนี้ ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้สละเวลาอันมีค่าของท่านเดินทางมา ขนาดมีม็อบยังมากันขนาดนี้ ขอบพระคุณที่สุด และอันหนึ่งที่จะขอแก้ข่าวที่บอกว่า 'ชูวงศ์ ฉายะจินดา ราชินีนวนิยายพาฝัน' จริงๆ แล้วขอเรียนตามตรงว่า…นี่ล่ะ 'นักเขียนน้ำเน่าตัวแม่' เลย ไม่ใช่ราชินีอะไรเลย (เสียงปรบมือดังสนั่น) ฮาตรึมอย่างนี้แสดงว่าทุกคนแอบนินทาอยู่ในใจเหมือนกัน จริงๆ เขียนเรื่องขึ้นมาเพื่อที่จะให้ผู้อ่านทุกท่านได้รับความสุขเพราะชีวิตคนในปัจจุบันรีบกันเหลือเกิน รีบกันมาแต่ไหนแต่ไร ทำให้เคร่งเครียดหนักขึ้น การที่จะมีนวนิยายบางประเภทที่เขียนเพื่อสร้างความสุขความเพลิดเพลิน สร้างความแจ่มใสให้แก่ท่าน อาจจะไม่มีคุณค่าสูงส่งนักหนาแต่ก็ให้ความเพลิดเพลินได้และคลายเครียด ไม่เชื่อลองหยิบมาอ่านสิคะ หยิบขึ้นมาอ่านสักหนึ่งเล่ม"
หลายๆ คนเริ่มสงสัยว่าทำไมเจ้าของต้นตำรับนิยายรักแนวตบจูบถึงได้ประกาศอำลาเส้นทางนักเขียนอย่างน่าใจหาย เธอบอกถึงสาเหตุว่าเนื่องมาจากสุขภาพในวัย 80 ปี เพราะการเขียนหนังสือสำหรับเธอต้องมีการค้นคว้าที่ต้องใช้แรงเยอะและวัยขนาดนี้ไม่สามารถจะทำได้ดีเหมือนเดิม
"ตัดสินใจนานมากเลย คิดนานคิดหนัก การเขียนเป็นสิ่งที่รัก ยังกับคู่รัก รักสิ่งนี้สิ่งเดียว ดังคำที่พูดถึงเรื่องความรักแรก ยังจำได้ว่า 'รักแรกมันแยกยาก รักมากยากจะแยก รักเธอเป็นคนแรก เมื่อจะแยกมันจึงยาก' รู้สึกโดนใจมาก แต่ว่าไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา จะเขียนไปจนตายคงไม่ได้ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงนักเขียนท่านอื่นๆ ที่ยังมีเรี่ยวแรง มีสมอง มีคุณภาพ สำหรับตัวเองความสามารถด้านสุขภาพไม่ได้ทัดเทียมกับผู้อื่น ยอมรับว่าต้องหยุด เนื่องจากสุขภาพและวัย การที่จะเขียนไปทั้งๆ ที่อายุมากแล้วมันอาจจะทำให้คุณภาพของเรื่องบกพร่องไป จะให้แจ่มใส่กว้างไกลเหมือนคนวัยหนุ่มสาวนั้นยาก เขียนมาจนถึง 80 แล้ว ได้เขียนทุกเรื่องที่อยากเขียนแล้ว ประเด็นไหนๆ ที่คิดไว้ก็เขียนได้หมดแล้ว
การจะเขียนเรื่องให้ใช้ได้มันจะต้องหาข้อมูล อย่างอยู่ต่างประเทศ ต้องติดต่อเข้ามาหาข้อมูลในไทย ก็เหน็ดเหนื่อย การติดต่อก็ไม่ง่าย มันทำให้เรารู้สึกว่าถึงเวลาต้องหยุดได้แล้ว ถ้าหยุดเขียนก็มีโอกาสจะดูแลตัวเองมากขึ้น คงคิดถึงแฟนๆ นักอ่านเหมือนกัน แต่ว่าไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา เราก็ไม่สามารถจะเขียนกันไปตลอดชีวิตได้ แต่อยากให้ท่านผู้อ่านนึกถึงชูวงศ์บ้าง แม้จะไม่มีคุณภาพที่จะเป็นที่นิยมยกย่องสรรเสริญมากมาย แต่ขอฝากชูวงศ์ไว้ในใจของท่านบ้าง ไว้ในจุดเล็กๆ มุมเล็กๆ ในใจของท่าน อย่าลืมกันไปเสียทีเดียว" เธอกล่าวอย่างไม่ทิ้งลายนักเขียนขวัญใจมหาชน
ตลอดเวลากว่า 60 ปีที่โลดแล่นอยู่ถนนสายนักเขียนและมีผลงานนวนิยายที่ได้รับความนิยมมาทุกยุคทุกสมัย ป้าชูวงศ์ของนักอ่านพูดถึงหลักการทำงานหรือว่าหลักการเขียนที่อยากจะฝากไปถึงนักเขียนรุ่นน้องได้นำเอาไปใช้ในการทำงานเขียนว่า…
"ขอให้นักเขียนมีความพยายามทำงานให้สม่ำเสมอ มีความอดทน นักเขียนบางคนพอเริ่มเขียนปั๊บก็อยากที่จะดังเลย เด็กรุ่นใหม่อยากที่จะดังเลย เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็รู้สึกว่าทำไมยาก ทำไมไม่อย่างนั้นไม่อย่างนี้ เราก็เขียนดีกว่าคนนั้นคนนี้ มันยากเหมือนกัน เราคิดว่าเราเขียนดี แต่บังเอิญมีคนเขียนดีกว่าเราเสียอีก เลยทำให้คล้ายกับว่าเราเขียนไม่ดี จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย มันเป็นความดีกันคนละสมัย อย่างสมัยนี้เราเขียนดีที่สุด พออีกสองสามปีมีคนเขียนดีกว่า เราก็เกิดความน้อยอกน้อยใจ ไม่ต้องคิดอย่างนั้น เราทำดีที่สุด แข่งขันกับตัวเอง อย่าแข่งขันกับคนอื่น อดทนและทำงานสม่ำเสมอ เขียนให้อ่านง่ายๆ เอาอย่างนี้ดีกว่า อย่าลวดลายแบบอ่านแล้วงง เพราะคนสมัยนี้มีเวลาน้อยที่จะมานั่งพิจารณาอะไรยากๆ ฉะนั้นจะเขียนจะสื่ออะไรก็สื่อดีๆ อ่านง่ายๆ ให้คนเข้าใจง่ายๆ นั่นแหละ
สำหรับวงการวรรณกรรมมันมีทั้งผู้เขียนผู้อ่าน ถ้าเป็นผู้อ่านในปัจจุบันนี้จะอ่านในวงกว้างมากขึ้น สมัยก่อนอ่านแต่เรื่องชิงรักหักสวาทกัน สมัยนี้อ่านเพื่อชีวิตอะไรต่ออะไรมากขึ้น ผู้เขียนก็เหมือนกัน เขียนกว้างมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ก่อนนี้มีนักเขียนน้อย ส่วนมากจะเป็นเรื่องชิงรักหักสวาทเสียเป็นส่วนใหญ่ อยากขอให้แฟนๆ อ่านแล้วใช้ความพิจารณาด้วย เวลาอ่านก็อย่าอ่านแต่เฉพาะให้เรื่องจบไป ติดตามตัวละครเพื่อให้จบไปด้วยดีเท่านั้น ขอให้อ่านการที่นักเขียนพยายามสอนวิธีใช้ชีวิต สอนวิธีแก้ปัญหาด้วย สังเกตการณ์ใช้ชีวิต การแก้ปัญหา แล้วส่วนใหญ่นักเขียนจะลงเอยด้วยการที่ว่าสอนการทำความดี สอนให้เกิดคุณธรรมความดี สอนให้รู้จักรักกัน" เจ้าของบทประพันธ์เรื่อง 'จำเลยรัก' อันโด่งดังกล่าว
ถ้าเปรียบเทียบการนำบทประพันธ์ไปทำเป็นละครของยุคอดีตกับสมัยนี้ ป้าชูวงศ์บอกว่า "ปรับเปลี่ยนบทประพันธ์เยอะเหมือนเดิม (หัวเราะ) ไม่มีเปลี่ยนแปลงเลย แต่ทีนี้ถ้าจะถามว่าโกรธไหม ไม่โกรธนะ เพราะว่าเขาก็ต้องอยากทำให้ดีที่สุด ไม่มีใครที่อยากเปลี่ยนบทประพันธ์ของเราให้มันเลวลงถูกไหม เขาต้องเปลี่ยนให้มันดีที่สุด น่าสนใจ น่าดู เพราะฉะนั้นเราก็ต้องให้อภัยซึ่งกันและกัน ซึ่งละครที่ประทับใจที่สุดคงจะเป็นเรื่อง 'จำเลยรัก' เพราะว่าทำให้ดังที่สุด จากนั้นมีต้นฉบับถูกฉุดเข้าป่าตามออกมาเป็นพรวนเลย ละครทำได้โดนใจผู้ชม เวอร์ชั่นล่าสุดนี้มีความสมจริงที่สุด หมายความว่านางเอกต่อสู้ แต่เวอร์ชั่นที่สองนางเอกก็ยังไม่ต่อสู้ ยังร้องไห้งอแงอยู่เลย ชอบที่ว่านางเอกต่อสู้ มันทำให้เห็นว่าผู้ชายจะมารังแกไม่ได้ง่ายๆ นะ
ส่วนนวนิยายที่ประทับใจมากที่สุดคือเรื่อง 'ผู้ชายในอดีต' เรื่องนั้นชอบมากเพราะตามธรรมดาเรื่องทั่วไปจะมีพระเอก-นางเอก และตัวโกงหญิง-ตัวโกงชาย แต่เรื่องนี้ไม่มีตัวโกง แต่เป็นเรื่องที่คนติดตามมากในสมัยนั้นทีเดียว เพราะเราเขียนอย่างทุ่มเทความรู้สึกจริงๆ เลย เป็นคนดีทุกคน แต่เหตุการณ์ที่ทำให้เขาไม่สามารถที่จะสมหวังได้ คือพระเอกมี 2 คน นางเอกคนเดียว ถึงยังไงก็เป็นความลงตัวกันไม่ได้ เป็นคนดีทั้งสองคน และนางเอกจะเลือกใคร อย่างนี้ต้องลุ้นระทึกแล้ว นั่นแหละคือทำให้เรารู้สึกพอใจเรื่องนี้มาก แต่ไม่ได้สร้างเป็นละครเพราะว่าชื่อไม่ขาย จริงๆ เป็นเรื่องที่สนุกมาก มันปูพื้นฐานอย่างหนึ่งคือคุณงามความดี ความรัก ความเสียสละ ความกตัญญู พร้อมอยู่ในเรื่องนั้น มันดีไปหมด ฉะนั้นถ้ามีโอกาสได้ลองอ่านก็อาจจะชอบ"
เมื่อถามถึงจุดเด่นของนวนิยายแต่ละเรื่องที่ทำให้โดนใจนักอ่านและได้รับความนิยมจนถึงทุกวันนี้ เธอบอกว่า "ต้องจบแบบแฮปปี้ทุกเรื่องเลย และทุกเรื่องต้องมีอุปสรรค ถ้าไม่มีอุปสรรคก็ไม่สนุก และในที่สุดก็ต้องฟันฝ่าอุปสรรคสำเร็จ จบดี-จบแฮปปี้ พอเอ่ยชื่อ 'ชูวงศ์ ฉายะจินดา' จบแฮปปี้ทุกเรื่องเลย ไม่มีการสงสัยว่าจะจบไม่ดี เพราะตัวเองชอบเขียนนิยายรัก เป็นคนขี้รักขี้หลงจะตาย เป็นคนชอบรัก ชอบความรัก ความรักทำให้คนมีความสุขจริงไหม ความเกลียดจะชอบเหรอ มันเป็นความรู้สึกที่จรรโลงจิตใจให้แช่มชื่นมีความสุข เขียนมาตลอด 60 ปีไม่มีเปลี่ยนแนวเลย มุ่งไปสู่ความรักทุกเรื่องเหมือนกัน มีอุปสรรคบ้าง มีเรื่องราวปัญหาชีวิตบ้างอะไรบ้าง มีความเข้าใจผิดบ้างอะไรบ้าง แต่ความดีต้องชนะความชั่วเสมอไป เป็นหลักการเลย การเขียนต้องสื่ออะไรบางอย่างคือคุณธรรมความดี"
การจะกลับมาพำนักอยู่เมืองไทยในช่วงบั้นปลายชีวิตสำหรับราชินีนวนิยายพาฝันคงเป็นเรื่องยากเพราะว่า "ชีวิตเราคุ้นชินกับทางโน้นแล้ว คุ้นชินกับการทำอะไรเองแล้วสบายใจ อยู่ต่างประเทศคงไม่เหงาเพราะว่าไม่มีลูกจ้างเหมือนที่นี่ ถ้าเราขยันจะทำงานบ้านงานสวนได้ตลอดวัน จะไม่มีเวลาว่างได้เลย ถ้าตื่นเช้ามาก็มีรดน้ำต้นไม้ ทำงานบ้าน ซักผ้า รีดผ้าอะไรตามประสาแม่บ้าน ไม่ถึงกับเหงา แต่ตอนที่เขียนหนังสือนี้ต้องพยายามเขียนทั้งๆ ที่ไม่มีเวลาก็ยังต้องพยายามเขียน" เธอเล่า
เชื่อเหลือเกินว่าถึง 'ชูวงศ์ ฉายะจินดา' ซึ่งประกาศว่าตัวเองเป็น 'นักเขียนน้ำเน่าตัวแม่' จะวางปากกาอำลาเส้นทางวรรณกรรมไป แต่จากผลงานที่ได้สั่งสมมาตลอดกว่า 6 ทศวรรษที่ผ่านมา จะยังคงทำให้นักอ่านจำนวนไม่น้อยคิดถึงอยู่เสมอเพราะหลายคนต่างเคยตกเป็น 'จำเลยรัก' ของเธอมาเนิ่นนานแล้วทั้งนั้น 0
@@@@@@@@@@@
ประวัติ ชูวงศ์ ฉายะจินดา
ชูวงศ์ ฉายะจินดา เป็นชื่อ-นามสกุลจริงซึ่งใช้ในการเขียนนวนิยายมานานกว่า 6 ทศวรรษ เธอจบการศึกษามัธยมบริบูรณ์ (เตรียมอักษรศาสตร์) ปีที่ 2 จากโรงเรียนราชินี (บน) บางกระบือ เมื่อปี 2490 เมื่ออายุได้เพียง 13 ปี เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกับ สุกัญญา ชลศึกษ์ (กฤษณา อโศกสิน) และปราศรัย รัชไชยบุญ (นิดา) ซึ่งการเรียนในแผนกอักษรศาสตร์ทำให้เธอมีความรักในการประพันธ์มากยิ่งขึ้นเพราะมีนิสัยรักการขีดเขียนมาตั้งแต่เด็ก โดยได้รับแรงบันดาลใจจากงานประพันธ์ของประพันธกรอาวุโสท่านหนึ่งคือ 'ดอกไม้สด'
หลังจบการศึกษาจากคณะอักษรศาสตร์ ด้วยความตั้งใจที่เป็นนักประพันธ์อาชีพ จึงได้ศึกษาผู้คนมากหน้าหลายตา ศึกษาประวัติชีวิต อุปนิสัย และจริตกิริยาของเพื่อนมนุษย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ วันหนึ่งจึงเริ่มลงมือเขียนเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งชื่อ 'หนึ่งในห้าร้อยจำพวก' ส่งไปยังนิตยสารศรีสัปดาห์ โดยส่งไปทั้งที่ไม่มีความหวังว่าจะได้ลง แต่แล้วเวลาผ่านไปไม่นานเรื่องสั้นเรื่องแรกก็ได้ลงในนิตยสารศรีสัปดาห์ภายในเดือนนั้นเอง โดยได้รับค่าเรื่อง 60 บาท
เธอจึงเริ่มเขียนเรื่องยาวเรื่องแรกในชีวิตคือ 'ตำรับรัก' ความยาว 55 ตอน ซึ่งประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับจากนักอ่านจำนวนมากและเป็นที่น่าพอใจ หลังจากนั้นเธอจึงได้รับโอกาสเขียนเรื่องยาวต่อไปในชื่อเรื่อง 'ม่านบังใจ' เป็นภาคแรก และเรื่อง 'หัวใจรัก' เป็นภาคสมบูรณ์ ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสารเดลี่เมลวันจันทร์และเรื่องอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย
ในปี 2514 เธอเริ่มทดลองเขียนเรื่องหนักๆ ดูบ้างซึ่งก็ได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง แต่แฟนนักอ่านส่วนใหญ่เรียกร้องให้กลับมาเขียนเรื่องรักพาฝันเหมือนเดิม ทำให้เธอเขียนเรื่องหนักๆ ไว้เพียงไม่กี่เรื่อง อาทิเช่น เพชรร้าว, ไฟอารมณ์ เป็นต้น และระหว่างปี 2546-2547 เธอได้กลับมาเขียนเรื่องหนักๆ อีกครั้งเกี่ยวกับยาเสพติดและการค้ามนุษย์ในเรื่อง 'สร้อยเสน่ห์ เล่ห์พิศวาส' ลงตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในนิตยสารพลอยแกมเพชร รายปักษ์ นอกจากเรื่องหนักๆ ซึ่งมีเพียงไม่กี่เรื่องแล้วเธอยังได้ทดลองเขียนเรื่องเร้นลับ เช่น อสรพิษดำ (ต่อมาลงพิมพ์ซ้ำเป็นตอนๆ อีกครั้งในนิตยสารสกุลไทยในชื่อ 'แรงอาถรรพณ์'), ดอนโขมด, พระจันทร์แดง, ตามรักตามล่า และมณีมรณะ เป็นต้น
จากนั้นมาชื่อของเธอโด่งดังก้องฟ้าในยุควรรณกรรม 'พาฝัน' มีผู้อ่านติดตามนวนิยายของเธอมากมายในฐานะ 'ราชินีนวนิยายพาฝัน' ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน มีผลงานที่ได้รับความนิยมมากมาย เช่น ตำรับรัก, จำเลยรัก, เงาอโศก และสุดสายป่าน เป็นต้น แต่เธอหยุดเขียนนวนิยายไปนานตั้งแต่ปี 2521 เมื่อเดินทางไปพำนักที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ทำให้พักงานเขียนเป็นเวลา 20 ปี จนกระทั่งปี 2540 เธอได้กลับเข้าสู่วงวรรณกรรมอีกครั้งตามคำชักชวนของ 'สุภัทร สวัสดิรักษ์' บรรณาธิการอาวุโสนิตยสารสกุลไทย รายสัปดาห์ โดยเริ่มเขียนนวนิยายเรื่อง 'เกสรหน่ายแมลง' หลังจากนั้นได้มีผลงานนวนิยายตามมาอีก 20 เรื่อง
ปัจจุบัน 'ชูวงศ์ ฉายะจินดา' พำนักอยู่ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียเป็นการถาวร ในวัยสนธยาของชีวิต เธอตัดสินใจวางปากกาอย่างถาวร โดยมอบงานเขียนชิ้นที่ 94 กำนัลผู้อ่านเป็นเรื่องสุดท้ายในเรื่อง 'หนึ่งรักนิรันดร'
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.bangkokbiznews.com