จุดแจ้งเกิดวงการพ็อกเก็ตบุ๊กไทย

งานเขียน มีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ ทั้ง เรื่องสั้น เรื่องยาว นวนิยาย บทความ บทกวี สารคดีฯลฯ ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานิตยสารและหนังสือพิมพ์ เป็นพื้นที ่สื่อกลางระหว่างนักเขียนและผู้อ่านมาโดยตลอด เนื่องจากนักเขี ยนมักเริ่มต้นจากการเขียนเรื่องเป็นตอนๆ เพื่อลงในนิตยสารหรือ หนังสือพิมพ์ หากผู้อ่านชอบใจ ก็จะติดตามอ่านเรื่องของนักเขียนคนนั้นไปเรื่ อยๆ จึงนับว่าเป็นที่แจ้งเกิดให้กับนักเขียนหลายๆ คนในวงการน้ำหมึกก็ว่าได้ แต่ไม่ว่าในยุคสมัยใด สิ่งที่นักเขียนทั้งหลายใฝ่ฝันเมื่อก้าว เข้าสู่สวนอักษรแล้วก็คือ การได้มีผลงานรวมเล่มเป็นของตัวเอง เพราะนั่นหมายความว่า ผลงานเขียนของเขา มีความน่าสนใจมากพอที่สำนักพิมพ์จะลงทุนจัดพ ิมพ์จำหน่าย และหมายความว่า งานของเขาย่อมมีแฟนนักอ่านอยู่มากพอตัว
หลายสิบปีมาแล้วที่ชื่อของสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น ได้ปรากฏอยู่บนหน้าเครดิตหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กของไทยจำนวนนับไม่ ถ้วน หนึ่งในหนังสือเหล่านั้นก็เป็นส่วนในการสานฝันให้นักเขีย นจำนวนไม่น้อยได้มีผลงานเล่มแรกเป็นของตัวเอง รวมถึงได้มีผลงา นเล่มต่อๆ ไป กระทั่งกลายเป็นนักเขียนผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง สำนักพิมพ์เองก ็ปฏิเสธไม่ได้ว่า งานเขียนของนักเขียนหลายท่าน ก็ช่วยสานฝันให้เราเช่นกัน เพราะหากไม่มีผลงานเหล่านั้น ก็ไม่มีอะไรที่จะมาหล่อเลี้ยงให้เราเดินทางมาได้ถึงปีที่ ๕๐ จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หาก ๕๐ ปี ของสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น จะไม่กล่าวถึงนักเขียนที่ก้าวพาดผ ่านเข้ามาเพื่อจัดพิมพ์ผลงานในสำนักพิมพ์ของเรา จนบางท่านก็ได ้เปลี่ยนสถานะจากผู้อนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ เป็นเพื่อนสนิทกันม านานโข
ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น มีนักเขียนมากหน้ าหลายตาทั้งเดินเข้ามาเสนอต้นฉบับ และสำนักพิมพ์เข้าไปติดต่อขอต้นฉบับมาพิมพ์เอง แม้ไม่อาจกล่าว ถึงได้หมด แต่ก็จะขอกล่าวถึงหลายท่านที่เรียกได้ว่าผูกพันกันมา ทั้งในฐา นะผู้ร่วมลงทุนทั้งแรงทั้งใจและมิตรสหายในวงการ บางคนที่เคยพิมพ์ผลงานกับเราเป็นครั้งแรก จนวันนี้เขาเป็นนักเ ขียนที่มีชื่อเสียง หลายท่านแม้ไม่ได้เจอกันในเล่มแรก แต่ภายหลังเกิดติดอกติดใจ พิมพ์หนังสือกันต่อไปกระทั่งปัจจุบัน และกับบางท่านเราก็พิมพ์หนังสือกับเขามากมายเสียจนน่าคิดว่ามีน ัยยะสำคัญ
นักเขียนที่จะขอกล่าวเล่าถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ของเขาและสำน ักพิมพ์ประพันธ์สาส์นอย่างคร่าวๆ อาทิเช่น มนัส จรรยงค์, ‘รงค์ วงษ์สวรรค์, ณรงค์ จันทร์เรือง, อาจินต์ ปัญจพรรค์, สุจิตต์ วงษ์เทศ, ขรรค์ชัย บุนปาน, สุรชัย จันทิมาธร และหยก บูรพา เป็นต้น
ณรงค์ จันทร์เรือง นับเป็นนักเขียนคนสำคัญอีกท่านหนึ่ง ที่เคียงข้างประพันธ์สาส์นมาตลอด กระทั่งปัจจุบันก็ยังมีงานมาพิมพ์กับสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นอย ู่ประปราย นักเขียนท่านนี้ไม่ได้เริ่มต้นงานวรรณกรรมที่ประพัน ธ์สาส์นเป็นครั้งแรก แต่เรียกว่าเกิดในวงการและใช้ชีวิตนักเขียนเคียงคู่กับสำนักพิม พ์ประพันธ์สาส์นมาเลยก็ว่าได้ ณรงค์รู้จักกับเฮียชิวเจ้าของปร ะพันธ์สาส์น ตั้งแต่ปี 2508 ตอนที่เฮียชิวเป็นผู้อำนวยการนิตยสารขวัญจิต รายสัปดาห์ โดยมีคุณประเสริฐ พิจารณ์โสภณ เป็นบรรณาธิการอยู่ ความสัมพันธ์ครั้งนี้เริ่มจากประเสริฐ รู้จักทั้งเฮียชิวและณร งค์ จึงเป็นสื่อกลางในการนำณรงค์เข้ามารู้จักกับเฮียชิวและได้ มาร่วมงานกันที่ขวัญจิต จนกระทั่งขวัญจิตปิดตัวลง แทนที่แต่ละคนจะแยกย้าย ก็กลับกลายเป็นรู้จักมักคุ้นกันมากยิ่งขึ้น และตามมาร่วมงานกั นต่อที่สำนักพิมพ์
ณรงค์เล่าถึงที่มาของนามปากกาใบหนาดที่ใช้เขียนเรื่องผีว่า…
สาเหตุที่มาของนามปากกาใบหนาดก็ คือ คุณวิชิต เพ็ญมณี เขาคุมคอลัมน์ขวัญหายในนิตยสารขวัญจิตอยู่ แล้วงานเขาเยอะ วันหนึ่งเขาก็มาบอกเพื่อนๆ ว่า เฮ้ย! กูไม่ไหวแล้วนะ หาคนอื่นมาเขียนแทนก็แล้วกัน เราก็มาคิดกันว่าจะหาใครมาเขียนดี ก็จะมีเรื่องที่ผู้อ่านส่งม าอยู่บ้าง แต่เรื่องผีที่ผู้อ่านส่งมานั้น ใน 100 เรื่อง ใช้ได้สักเรื่องหนึ่งก็บุญแล้ว พี่เสริฐก็เลยมาบอกผมว่า งั้นคุณเขียนแล้วกัน เพราะคุณเคยเขียนเรื่อง วิญญาณพิศวาส เป็นเรื่องยาวในเพลินจิตมาก่อนหน้านั้นแล้ว ตั้งแต่ปี 2503-2504 ตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะเกิดชื่อขวัญจิต ตั้งสี่ห้าปีมาแล้ว ผมก็เลยเขียนเรื่องไปให้ ตั้งชื่อว่า วิญญาณห่วง พอเขียนเสร็จช่างเรียงก็รออยู่แล้ว สมัยก่อนนี้เรียกว่าหาเช้ากินค่ำน่ะนะ เขียนแล้วก็รีบเอาไปให้ พี่เสริฐดู แกก็บอกว่าใช้ได้เลย ผมก็ว่า แล้วจะใช้นามปากกาอะไรดี เขาก็บอกว่างั้นนามปากกา ใบหนาด ก็แล้วกัน เพราะว่าใบหนาดเนี่ย ผีกลัว ซึ่งมันก็มีเรื่องที่น่าเล่าให้ฟังต่อนิดหนึ่งว่า แกเป็นคนชาว สวนบางขุนเทียน แกจะรู้จักต้นใบหนาด ผมน่ะเหรอไม่รู้จักเลย ก็เลยใช้ชื่อใบหนาด เขียนเรื่องผีเรื่อยมา จนกระทั่งเลิกทำขวัญจิต ขวัญจิตรายสัปดาห์อยู่มาได้ 2 ปี ก็หยุดทำ (2507-2509) ป๋าก็บอกว่า คุณเขียนเรื่องผีลงในขวัญจิตก็สนุกดีนี่ ไหนลองเขียนมาเป็นเล่ มให้พิมพ์ซิ ผมตั้งชื่อให้เลยก็แล้วกัน เอาเรื่อง ผีผู้หญิง เราก็คิดว่า สบายเลยผีผู้หญิงมีเยอะแยะ ทั้งผีตานี นางไม้ นางพราย ผีตายทั้งกลม ผีตะเคียน ฯลฯ ก็เขียนออกมาเป็นเรื่องผีผู้หญิง ขายดีระเบิดเลย ต้องไปเลี้ยงฉลองกันที่สุระภัตตาคาร ป๋าก็บอกว่า เล่มที่ 2 ตั้งชื่อเลยว่า ผีดุ เล่มนี้ได้ค่าเรื่องเพิ่มมาอีก ๕๐๐ บาท ในฐานะที่หนังสือเล่มแรกขายดี ทีนี้ก็เลยเขียนเรื่องผียาวเหยี ยดมาจนถึงปัจจุบันนี้เลย ประมาณ ๑๕-๒๐ เล่ม ที่เขียนกับประพันธ์สาส์นในช่วงนั้น เป็นปกอ่อน เริ่มจากปี 2510-2516 หลังจากนั้นก็มีสำนักพิมพ์อื่นๆ ที่มาขอเรื่องผีของใบหนาดไปพิมพ์
จากนั้นมา ณรงค์ จันทร์เรือง ก็พิมพ์หนังสือกับสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นเรื่อยมา และรู้จักม ักคุ้นกันดีมากกว่าการร่วมงาน อีกทั้งยังเป็นผู้ให้ข้อมูลเก่าๆ เกี่ยวกับสำนักพิมพ์ประพันธ์ สาส์นได้อย่างแม่นยำ และเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “เฮียชิว สุพล เตชะธาดา เทพบุตรเบื้องหลังลายลักษณ์อักษร” ในปีครบรอบ ๗๒ ปี ของสุพล เตชะธาดา อีกด้วย จึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งมิตรน้ำหมึกที่คงส ัมพันธ์กันมากระทั่งรุ่นลูกในปัจจุบัน
‘รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นนักเขียนผู้มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่งที่ไม่กล่าวถึงคงไม่ได้ เพราะ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นนักเขียนคนสำคัญ ที่มารวมเล่มครั้งแรกกับคุณสุพลครั้งยังอ ยู่ที่สำนักพิมพ์ผดุงศึกษา และโด่งดังเป็นพลุแตกในชั่วข้ามคืน เหตุที่มาเกี่ยวพันธ์กับประพันธ์สาส์นในครั้งแรกคือ ได้มารู้จ ักกับคุณสุพลแห่งประพันธ์สาส์น ตั้งแต่ยังช่วยงานพ่ออยู่ที่สำ นักพิมพ์ผดุงศึกษา กุนซือของสำนักพิมพ์ในตอนนั้น คือ ประเสริฐ พิจารณ์โสภณ ซึ่งรู้จักกับ ‘รงค์ อยู่ก่อนแล้ว ก็แนะนำกับสุพลว่า “วันนี้จะไปกินเหล้ากับไอ้ปุ๊กันมั้ย เขาเป็นนักข่าวอยู ่สยามรัฐ เขาเป็นนักเขียนอยู่ แต่ยังไม่เคยรวมเล่มเลย เขียนแต่คอลัมน์กับเรื่องสั้นในสยามรัฐกับชาวกรุง” ได้ฟังดังนั้นสุพลก็นัดกันไปกินกัน คุยกัน จนถูกคอกัน พอกินดื่มกันได้ที่ ประเสริฐก็บอกว่า “ชิวพิมพ์เรื่องของปุ๊หน่อยสิ” เฮียชิวก็ตอบรับว่า “เอาเลย พรุ่งนี้คุณเอาเรื่องไปส่งเลย”
พอรุ่งเช้าสองโมงครึ่งยังไม่สามโมงเลย คุณประพันธ์มาปลุกเฮียชิว บอกว่า “มีแขกมาหา”
เฮียวชิวเล่าไว้ว่า เขาไม่เคยตื่นเลยเวลานี้ ก็เลยถามภรรยาว่า “ใครมาหาเนี่ย เวลาเนี้ย” เมียก็บอก ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า แล้วก็เล่ารูปพรรณสัณฐานให้ฟังว่า “ไว้หนวดเฟิ้มเลย แล้วก็ใส่แว่นตา”
เฮียก็รำพึงว่า “ใครวะ นึกไม่ออก”
“อุ้ย! ตายแล้ว รงค์ วงษ์สวรรค์ นี่หว่า นัดไว้เหรอเนี่ย”
พอนึกได้แล้วเฮียก็ลงไป พบคุณปุ๊หอบต้นฉบับมาฟ่อนเบ้อเร่อมาที่สำนักพิมพ์ ด้วยความรู้ สึกว่า สำนักพิมพ์เขารับปากว่าจะพิมพ์งานของเราเป็นเล่มแรกแล้วนะ อาร ามตื่นเต้นดีใจ คุณปุ๊จึงรีบมาแต่เช้าเลย พอร้านเปิดก็เข้ามาเลย ตอนนั้นเฮียชิวยังทำงานให้คุณทรวง ที่ผดุงศึกษา ฉะนั้นงานเล่มแรกของคุณรงค์ที่พิมพ์ คือ หนาวผู้หญิง ประมาณปี 2502 ซึ่งยังพิมพ์ในนามของผดุงศึกษา ปรากฏว่าขายดีระเบิดเถิดเทิงจน งงกันไปหมด เฮียชิวยังพูดขำๆ ว่า
“ก็งงๆ อยู่เหมือนกัน ทีแรกก็แข็งใจพิมพ์เพราะต้องรักษาคำพูด เราดันไปรับปากเขาแล้ว ไม่พิมพ์ได้ไง ยอมขาดทุน รักษาคำพูด แต่ดันขายดีน่าดูเลย”
ภายในเดือนเดียวหนังสือของ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ก็หมดเกลี้ยง ทั้งที่เป็นหนังสือปกแข็งมีความหนามาก ราคาต่อเล่มประมาณ 25-30 บาท ซึ่งจัดว่าราคาสูงอยู่ แต่ก็ขายดีราวกับเทน้ำเทท่า
หลังจากนั้นผลงานรวมเล่มของ ‘รงค์ ก็ออกมาสู่แผงหนังสืออย่างพรั่งพรู และไม่เคยทำให้เฮียชิวได้ผิดหวัง
สุจิตต์ วงษ์เทศ และ ขรรชัย บุนปาน เป็นสองนักเขียนหนุ่มสมญานาม สองกุมารสยาม ที่หลายคนในวงการคงรู้จักกันดี ในช่วงที่ทั้งสองคนกำลังเรียนหนังสืออยู่ที่คณะโบราณคดี มหาวิ ทยาลัยศิลปากร ขรรค์ชัย-สุจิตต์ เริ่มมีบทบาทในแวดวงหนังสือและการเขียน โดยทั้งคู่ได้รับทำนิต ยสาร ช่อฟ้า รายเดือน ของมูลนิธิอภิธรรมวัดมหาธาตุ ที่ต่อมาได้กลายเป็นแหล่งชุมนุมข อง "กลุ่มหนุ่มเหน้าสาวสวย" ๑ ในกลุ่มปัญญาชนนักคิดนักเขียนในช่วงยุคก่อน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ซึ่งมีอยู่หลายกลุ่ม ที่โดดเด่นเช่น "ชมรมพระจันทร์เสี้ยว" และ "เจ็ดสถาบัน" และในปีพ.ศ. ๒๕๑๑ สุจิตต์-ขรรชัย ก็ได้ก้าวเข้ามาร่วมงานกับสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น “ครึ่งรักครึ่งใคร่” เป็นพ็อกเก็ตบุ๊กรวมเรื่องสั้นเล่มแรกที่ทั้งสองคนเขียนร่วมกัน และจัดพิมพ์ครั้งแรกกับสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นในปีนั้นเอง แล ะจากนั้นทั้งสองก็มีผลงานเขียนร่วมกัน รวมเล่มออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ กูเป็นนิสิตนักศึกษา, หันหลังชนกัน,หยิบเงามาชักเงา เป็นต้น ภายหลังที่ทั้งสองได้ร่วมกับเพื่อนลงทุนจัดตั้งโรงพิมพ์พิฆเนศ เฮียชิว ก็มีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือสำหรับการจัดตั้งโรงพิมพ์ครั้งนั้น ด้วย นับว่าเป็นมิตรสัมพันธ์ที่มีต่อกันมายาวนาน
สุจิตต์ถึงกับเคยกล่าวเอาไว้ว่า
“หากไม่มีสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น ก็คงไม่มี สุจิตต์ วงษ์เทศ ในวันนี้”
นักเขียนทั้งสองเรียกได้ว่าเป็นศิษย์เก่าประพันธ์สาส์นที่ไม่เค ยลืมความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อน แม้ปัจจุบัน ขรรชัย บุนปาน จะเป็นถึงเจ้าของหนังสือพิมพ์มติชน หรือสุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นนักเขียนนักวิชาการที่ได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย และได้รับเลือกให้เป็นเป็นศิลปินแห่งชาติแล้วก็ตาม แต ่เมื่อย้อนอดีตก็จังเป็นเรื่องที่น่าจดจำ และเป็นที่น่าภาคภูมิใจที่ประพันธ์สาส์นเคยได้พิมพ์ผลงานของนัก เขียนดีๆ ที่กลายเป็นบุคคลสำคัญของประเทศในวันนี้
มนัส จรรยงค์ นักเขียนที่ได้รับฉายาว่า ราชาเรื่องสั้นไทย เป็นนักเขียนเก่าแก่ท่านหนึ่งที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้อีกเช่นกัน แม้ว่า มนัส จรรยงค์ ไม่ใช่นักเขียนที่พิมพ์หนังสือครั้งแรกกับประพันธ์สาส ์น แต่เมื่อได้ก้าวเข้ามาร่วมงานกันแล้ว ประพันธ์สาส์นก็พิมพ์ผลงานของมนัส จรรยงค์ มาตลอด กระทั่งเขาเสียชีวิตลง ซึ่งนับเป็นจำนวนผลงานพิมพ์ที่มากมายเส ียจนต้องกล่าวถึง ทั้งยังนำมาพิมพ์ซ้ำอีกหลายต่อหลายครั้ง และทุกครั้งก็ขายดิบขายดี ยกตัวอย่าง ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขา ได้แก่ ชุดเฒ่า –เฒ่าโพล้ง –เฒ่าเสเพล –เฒ่าลอยลม –สวัสดี ฒ.ผู้เฒ่า เป็นต้น และเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๐๑ เรื่องสั้น 'ซาเก๊าะ' ได้รับการคัดเลือกตีพิมพ์เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาระดับมัธยมศึกษ าตอนปลายของกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนั้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘ สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยได้ยกย่องมนัส จรรยงค์เป็น ๑ ใน ๑๕ ของนักเขียนเรื่องสั้นดีเด่นเนื่องในวาระครบ ๑๐๐ ปีเรื่องสั้นไทย นอกจากนั้น มนัส จรรยงค์ยังเป็นนักเขียนสารคดีที่มีความสามารถคนหนึ่ง ที ่สร้างชื่อเสียงให้เขาคือเรื่อง 'ข้าพเจ้าเป็นบ้าไป 36 ชั่วโมง' ซึ่งผลงานรวมเล่มส่วนใหญ่จัดพิมพ์ขึ้นที่สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส ์น และยังคงจัดเก็บอยู่ในห้องสมุดประพันธ์สาส์นมากมายหลายร้อย เล่ม แม้วันนี้ มนัส จรรยงค์ จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ก็นับว่าเขาเป็นนักเขียนอีกท่านหนึ่งที่ พิมพ์หนังสือกับเรามาก และเราก็ได้รับการหล่อเลี้ยงมาจากผลงาน ของเขามานานเช่นกัน นับเป็นมิตรน้ำหมึกท่านหนึ่งที่สำนักพิมพ์ ประพันธ์สาส์นไม่เคยลืมเลือน
อาจินต์ ปัญจพรรค์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ เมื่อพ.ศ. ๒๕๓๔ และนักเขียนรางวัล “ศรีบูรพา” ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นนักเขียนอีกท่านหนึ่งที่มีความเกี่ยวพันกับประพันธ์ส าส์น เนื่องจากสนิทสนมกับคุณสุพลมานาน และได้พิมพ์นวนิยาย “เลือดในดิน” เป็นครั้งแรกกับสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น เมื่อปี ๒๕๐๙ ถึงแม้ภายหลังอาจินต์จะตั้งสำนักพิมพ์ของตนเองชื่อว่า “ โอเลี้ยง ๕ แก้ว” เพื่อพิมพ์หนังสือเอง แต่ก็ยังคงให้สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นเป ็นผู้จัดจำหน่าย อาจินต์ ปัญจพรรค์เป็นเจ้าของนิตยสาร “ฟ้าเมืองไทย” รายสัปดาห์ ออกฉบับปฐมฤกษ์ วันจักรี ๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๒ ในราคาเล่มละ ๓ บาท ซึ่งเป็นที่นิยมมากในขณะนั้น จึงได้เกิดหนังสือเล่มใหม่ตามมา โดยสุพล เตชะธาดา เป็นผู้ลงทุน ชื่อว่า “ฟ้าเมืองทอง” รายเดือน เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๑๙ ซึ่งถือว่าประสบผลสำเร็จอีกเช่นกัน หลังจากนั้นจึงออกนิตยสาร “ฟ้านารี” รายเดือนให้สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นอีกฉบับหนึ่ง มีคุณศรีเฉลิม สุขประยูรเป็นบรรณาธิการ อยู่ได้ไม่นานก็เลิก ภายหลังทำ “ฟ้าอาชีพ” รายเดือนอีกระยะหนึ่ง ก็หยุดทำ ”ฟ้าเมืองทอง” ส่วน “ฟ้าเมืองไทย” มาสิ้นสุดตอน ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ ผู้อ่านแสดงความรู้สึงเสียดาย จึงได้ตัดสินใจทำนิตยสาร “ฟ้า” รายเดือนอีกครั้งเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๓๒ ทำต่อมาได้ ๓ ปี และได้ยุติลงเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งถือว่าเป็นความผูกพันที่อาจินต์กับประพันธ์สาส์นมีด้วยกันม ายาวนาน ทั้งในฐานะผู้ร่วมงานและเพื่อน
ซึ่งคุณอาจินต์จะพูดถึงคุณสุพลไว้ว่า “เฮียชิวเขาเป็นคนที่มีน้ำใจ ใจถึง และไม่เคยเอาเปรียบนักเขียน เขาลงทุนให้ผมทำฟ้าเมืองทอง เขาเป็นออกเงิน ผมเป็นคนทำ แล้วก็เอารายได้มาแบ่งกับผมคนละครึ่งพอดีเป๊ะ นับกันตรงหน้า นี่คือเฮียชิว คนที่ดูแลนักเขียนของเขาอย่างดี”
ประมูล อุณหธูป หรือที่รู้จักกันในนามปากกา อุษณา เพลิงธรรม เป็นนักเขียนอีกท่านหนึ่งที่หลาย ๆ คนคงได้รู้จักผลงานอันมีชื่อเสียงของเขาเป็นอย่างดี คือ “เรื่องของจัน ดารา” ที่ได้รับความนิยมตั้งแต่เริ่มพิมพ์ครั้งแรก และ จนถึงปัจจุบันก็ยังได้นำไปทำเป็นภาพยนตร์อย่างที่หลาย ๆ คนคงเคยได้ชมมาแล้ว สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นเอง ก็ได้จัดพิมพ์หนังสือของ อุษณา เพลิงธรรม ออกมาจำหน่ายมากมายหลายเล่มด้วยกัน และที่น่าเก็บไว้ในความทรงจำคือ “เรื่องของจัน ดารา” ได้จัดพิมพ์รวมเล่มกับสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นเป็นแห่งแรก ในปี ๒๕๐๗ จากนั้น นามปากกาอุษณา เพลิงธรรม ก็มีผลงานในชื่อสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นตามมาอีกมากมาย อาทิ ชุดรวมเรื่องสั้น แกมเก็จ พิมพ์เป็นปกอ่อน 7 เล่ม คือ เสพสมบ่มิสม, ฤจะเริด รมเยศ, สิเกลศยังโลดเถลิง, สเริงระบำดำรู, พรูควั่งถั่งนรกแลสวรรค์, ตราบเดือนฟั่นฟ้าแลดิน, เพียงประคิ่น แหล่งหล้า บารนี ซึ่งเป็นผลงานที่ถูกกล่าวขานของอุษณา เพลิงธรรม
หยก บูรพา เป็นนามปากกาคุ้นหูที่รู้จักกันมานานอีกท่านหนึ่ง และมีผลงานท ี่มีชื่อเสียงจนได้รับเลือกเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของเด็กในวัย เรียน ที่ใคร ๆ ก็ต้องเคยอ่านหรือเคยได้ยินกันมาบ้าง อย่างเรื่อง “อยู่กับก๋ง” ซึ่งเป็นเรื่องที่หยกบูรพา เขียนลงเป็นตอนในนิตยสารฟ้าเมืองทอง และรวมเล่มครั้งแรกที่สำน ักพิมพ์ประพันธ์สาส์น ปี ๒๕๑๙ และเป็นนวนิยายรางวัลดีเด่นประจำปี ๒๕๑๙จากการจัดประกวดของคณะ กรรมการงานสัปดาห์หนังสือ ปี ๒๕๒๐ อีกด้วย จากนั้นก็ยังมีผลงานร่วมกันอีกหลายเล่ม เช่น กตัญญูพิศวาส, เกิดกลางตลาด, เด็กห้องแถว เป็นต้น
สุรชัย จันทิมาธร หรือ หงา คาราวาน ศิลปินแห่งชาติประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ สาขาวรรณศิลป์ เป็นศิลปินและนักประพันธ์คนสำคัญของประเทศคนหนึ่ง ที่เดินพาดผ่านเข้ามาที่สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นเมื่อปี พ.ศ ๒๕๑๓ กับผลงานรวมเล่ม เล่มที่ ๒ ของเขา ที่มีชื่อว่า “เดินไปสู่หนไหน” จากการได้มารู้จักมิตรน้ำหมึกในกลุ่มเดียวกันในประพันธ์สาส์น เช่น ประเสริฐ จันดำ และมนัส สัตยารักษ์ ความโดดเด่นของหนังสือเล่มนี้ คือเนื้อหาที่สะท้อนภาพชีวิตจิต ในของ “หงา” ผ่านตัวละครชื่อ “ทองเสน เจนจัด” และต่อมาก็มีผลงานพิมพ์กับประพันธ์สาส์นอีก เช่น คิดถึงคาราวาน พิมพ์ครั้งแรก ๒๕๑๓ เป็นต้น แม้หงา คาราวาน จะไม่ได้พิมพ์งานกับประพันธ์สาส์นมากมายนัก แต่ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อน และมิตรสหายที่รู้จักมักคุ้นกันด ีกับสำนักพิมพ์และเฮียชิวมาโดยตลอดนับจากบัดนั้น
กฤษณา อโศกสิน เป็นนามปากกาที่แพร่หลายของ สุกัญญา ชลศึกษ์ เป็นนักเขียนที่มีผลงานนวนิยายที่โด่งดังหลายต่อหลายเล่ม จนได ้ฉายาว่า “ราชินีนักเขียนนวนิยาย” นิยายหลายต่อหลายเล่มได้นำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ นั่นเป็นตั วชี้ถึงความนิยมของผลงานในนามปากกา กฤษณา อโศกสิน สำหรับสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นแล้ว กฤษณา อโศกสิน เป็นนักเขียนหญิงที่เราควรกล่าวถึง แม้ว่าที่นี่ไม่ได้ถือว่าเ ป็นจุดกำเนิดงานเขียนของกฤษณา อโศกสิน แต่ผลงานจำนวนไม่น้อยถูกพิมพ์รวมเล่มขึ้นที่นี่เป็นครั้งแรก ต ั้งแต่ยังใช้นามปากกา กัญญ์ชลา และพิมพ์กันมาตั้งแต่ยังเป็นสำนักพิมพ์ผดุงศึกษา อาทิ หยาดน้ำค้าง( ปี ๒๕๐๑) ระบำดอกหญ้า (ปี ๒๕๐๕) เป็นต้น และภายหลังก็ยังมีนวนิยายที่มาจัดพิมพ์ในนามประพันธ์ส าส์นอีกหลายเล่ม พิมพ์ตั้งแต่รุ่นคุณสุพล จนมาจัดพิมพ์ซ้ำถึงรุ่นอาทร(ลูกชายสุ พล) ก็ยังคงขายได้อยู่ตลอด เช่น กระเช้าสีดา, ตะวันตกดิน, เรือมนุษย์, ลมที่เปลี่ยนทาง, บัลลังก์ใยบัว,ประตูที่ปิดตาย, ลานลูกไม้, ลมบูรพา เป็นต้น กฤษณา อโศกสิน จึงเรียกได้ว่าเป็นนักเขียนคนสำคัญของสำนักพิมพ์อีกคน หนึ่ง ที่ได้ทำงานร่วมกันมาเนิ่นนาน กระทั่งทุกวันนี้ที่สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นก็ยังมีนิยายของกฤษ ณา อโศกสิน วางจำหน่าย เรียกได้ว่าเป็นผลงานอมตะที่หล่อเลี้ยงสำนักพิมพ์ม านานแสนนานเช่นกัน
จากรายชื่อนักเขียนที่กล่าวมา เป็นเพียงเสี้ยวส่วนหนึ่งในระยะ เวลา ๕๐ ปีของสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น ที่พอจะกล่าวได้ว่ามีบทบาทสำคัญ ต่อวงการพ็อกเก็ตบุ๊กไทยอยู่พอสมควร นับแต่หนังสือฉบับกระเป๋า ได้รับความนิยม สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นก็เป็นอีกชื่อหนึ่งที่ นักเขียนทั้งหลายนึกถึง เมื่ออยากจะรวมเล่มผลงานของตัวเอง แล ะได้สานฝันให้นักเขียนได้มีผลงานเล่มแรกมาหลายท่าน กระทั่งเป็นนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นักวิชาการ ผู้มีบทบาทต่อสังคมไปแล้วในวันนี้ก็มี ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิ ใจเล็กๆ ของสำนักพิมพ์ และยินดีกับนักเขียนทุกท่าน และขอบคุณมิตรสหายในวงการที่ยังไม ่เคยลืมเราเช่นกัน
เรียบเรียงโดย…ลักขณา สมพงษ์
ขอบคุณเรื่องราวจาก : Praphansarn Publishing